5 ส.ค. 2020 เวลา 20:15 • ธุรกิจ
วันนี้จะมาพูดต่อถึงกลุ่มเป้าหมาย ทั้ง 3 แบบ รวมถึงคำแนะนำในการยิงโฆษณาในวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ที่คนนิยมใช้
มาเริ่มกันที่ กลุ่มเป้าหมายหลัก (Core Audience)
เป็นการยิงโฆษณาไปหากลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ เพื่อหาฐานลูกค้า เก็บข้อมูลลูกค้า ทำให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์และสินค้าของคุณ
การยิงโดยใช้กลุ่มเป้าหมายหลัก จุดประสงค์หลักไม่ใช่เพื่อขายสินค้า เรายิงโฆษณาออกไป เพื่อให้คนรู้จัก ไม่ใช่เพื่อขาย น้อยคนมากที่จะซื้อสินค้าในครั้งแรกที่เห็น
เรามักพบว่าพ่อค้าแม่นค้าออนไลน์ส่วนมาก เลือกใช้กลุ่มเป้าหมายนี้ แล้วคิดว่าจะต้องขายสินค้าได้ พอขายไม่ได้ก็ท้อแท้ หมดกำลังใจ แก้ Ads ปรับเปลี่ยนกันวุ่นวายหลายต่อหลายครั้ง เพราะต้องเป้าไว้ว่ายิงแอดปุ้บ ต้องสร้างยอดขายกลับมาทันที บางคนยิงออกไปยังไม่ทัน 3 วัน ผลตอบรับไม่ดี ก็ปิดโฆษณา เลิกขายก็มี
ผมจะบอกว่าการยิงโดยใช้กลุ่มเป้าหมายหลักนั้น ไม่ได้สูญเปล่า เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะทุกยอด Like comment share inbox ที่ทักเข้ามา ส่วนเป็นข้อมุลที่สำคัญ เฟสบุ๊กเก็บส่วนนี้เอาไว้ให้คุณแล้ว รอคุณเอามันไปต่อยอด เพื่อสร้างรายได้ต่อด้วยการยิงไปหากลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเอง (Custom Audience)
ก่อนจะไปพูดถึงกลุ่มเป้าหมายแบบ Custom ขอพูดถึงวัตถุประสงค์ที่คนส่วนใหญ่นิยมเลือกใช้กัน
วัตถุประสงค์ “การเข้าถึง” ถ้าเราเพิ่งเปิดตัวสินค้า เพิ่งเปิดร้าน อยากให้เป็นที่รู้จัก เป็นที่สนใจ อยากให้ผ่านหูผ่านตาคนมากที่สุด ก็ต้องเลือกการเข้าถึง
เฟสบุ๊กจะส่งโฆษณาของเราไปหาผู้คนให้แก่เรา เราสามารถตั้งความถี่ได้ ว่าอยากให้คนเห็นโฆษณาของเรากี่ครั้งใน 1 วัน ในช่วงแรกวัตถุประสงค์นี้ค่อนข้างสำคัญ เพราะถ้าหากคนรู้จักน้อย ก็คงไม่มีคนซื้อ มันเหมือนการเดินแจกใบปลิวประชาสัมพันธ์ หรือการไปออกบูธตามจุดต่าง ๆ ซึ่งแน่นอน เราต้องเลือกพื้นที่ให้เหมาะสม ส่งใบปลิวให้แก้ผู้คนที่คิดว่าจะเป็นลูกค้าของเราจริง ๆ คนที่คิดว่าน่าจะสนใจในสินค้าและบริการของคุณ วัตถุประสงค์นี้ค่อนข้างถูก ใช้งบเพียงไม่กี่ร้อย ก็ใช้ได้แล้ว
วัตถุประสงค์ การมีส่วนร่วม จุดประสงค์หลักเลย คือต้องการให้คนมาปฏิสัมพันธ์กับโฆษณาของเรา ไม่ว่าจะเป็นการกด like share comment inbox ส่วนมากจะได้เป็นยอด like ซะเยอะ แน่นอนว่าไม่ค่อยไ้ด้สร้างยอดขายมากนัก ลูกค้าอาจมา comment เพื่อถามรายละเอียดสินค้า เราก็สามารถส่งข้อความไปหาลูกค้า เพื่ออธิบายเพิ่ม และปิดการขายได้
การยิงในวัตถุประสงค์นี้ สามารถเก็บฐานข้อมูลลูกค้าได้มาก ยิ่งมียอด like comment share เยอะ ๆ ยิ่งทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นในตัวสินค้า เพราะคนมักจะคิดว่า comment เยอะ like เยอะ แสดงว่าสินค้าน่าสนใจ ทำให้เขากล้าที่จะคลิกเข้าไปอ่าน comment ของคนอื่น ๆ ถ้าความเห็น มีแนวโน้มไปในทางบวก โอกาสที่เขาจะซื้อก็มีสูง
สิ่งที่ Facebook ชอบ ไม่ใช่ยอด like ถล่มทลาย หรือ comment กระจาย แต่กลับเป็น comment ที่อยู่ใต้ comment อีกที เพราะนั่นแสดงให้เห็นถึงปฏิสัมพันธ์ที่ดี
ก่อนจะเอาโพสต์ไหนไปยิงโฆษณา แนะนำให้โพสต์ในหน้าเพจก่อน ถ้าโพสต์ไหนดี มีคนสนใจเยอะ like comment share เยอะ เอาโพสต์นั้นไปยิงโฆษณาได้เลย ปังแน่นอน ค่า Ads จะถูก
วัตถุประสงค์ การรับชมวิดีโอ อันนี้ก็ได้รับความนิยมอย่างมาก สื่อที่คนสนใจมากในยุคนี้คือ Video และ Live สด เฟสก็ชอบมากเช่นกัน สังเกตเวลาที่เราเอาวิดีโอไปยิงโฆษณา จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าภาพนิ่ง แต่วิดีโอนั้นต้องดีด้วยนะ ไม่งั้นก็ดับเหมือนกัน ลองไปหาดูว่าวิดีโอที่ดี ต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง
แนะนำเล็กน้อย ควรใช้ขนาด 1:1 เพราะสามารถแสดงผลได้หลาย platform และสวยงาม วิดีโอแนวตั้งเริ่มได้รับความนิยมมากกว่าแนวนอน เพราะมองเห็นได้เต็มตากว่าแนวนอน เราจับมือถือแนวตั้ง คงไม่สะดวกหากตั้งหมุนไปแนวนอนเพื่อดู ซึ่งขนาด 1:1 ดูง่ายดี
วิดีโอสั้นดีกว่ายาว ๆ เพราะนี่คือ FB ไม่ใช่ YouTube ฉะนั้นเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ต้องปรับให้เหมาะสมกับ platform ที่ใช้
การรับชมวิดีโอ ก็เป็นอีกตัวที่ทำให้เราได้ฐานลูกค้ากลับมาเยอะพอสมควร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราก็ต้องยิงไปให้ถูกกลุ่มเป้าหมายด้วย
วัตถุประสงค์ ข้อความ ขอกล่าวถึงเป็นอันสุดท้าย เป็นวัตถุประสงค์ที่ได้รับความนิยมสูงมาก และค่า Ads ก็แพงมากเช่นกัน จุดประสงค์ของตัวนี้คือการนำส่งโฆษณาไปหาผู้คนที่มีพฤติกรรมชอบส่งข้อความ ชอบ inbox ชอบ chat ซึ่งแน่นอนว่ามีจำนวนจำกัด
แต่ที่ได้รับความนิยมและแพง เพราะว่าคนยิงกันเยอะ แข่งขันกันสูง ที่ยิงเยอะ เพราะว่าการซื้อขายส่วนมากเกิดขึ้นใน inbox คนไทยมีนิสัยชอบคุยกันเป็นการส่วนตัวเวลาจะซื้อของ เพราะจะได้สอบถามรายละเอียดได้เต็มที่ ถ้าทุกอย่างลงตัว ถูกใจสินค้าและราคา ก็พร้อมโอนเลย สะดวกดี เป็นการรวบรัดตัดตอน และสร้างยอดขายได้มากสุด เป็นการกรองคนที่สนใจในตัวสินค้าจริง ๆ เพราะถ้าเราไม่สนใจ ก็คงไม่ส่งข้อความไปถามคนขายถูกไหมครับ
แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ทักมา จะซื้อทุกคนนะครับ บางคนก็เผลอไปกด หรือทักมาสอบถามแล้วเงียบหายไป อาจจะแค่ถามดู ถามเพื่อนำไปเปรียบเทียบกับเจ้าอื่น ถามไว้ก่อน แล้วตัดสินใจภายหลัง หรือสั่งซื้อแล้ว แต่ยังไม่โอน ไม่ส่งที่อยู่มา ก็มีเหมือนกัน จะเจอหลากหลายรูปแบบ ฉะนั้นอย่าคาดหวังสูง บริการเขาให้ดีที่สุดเป็นพอ
มาต่อกันที่กลุ่มเป้าหมายแบบกำหนดเอง (Custom Audience) เป็นการยิงโฆษณาไปหาลูกค้าเก่า เก่าในที่นี้หมายถึง ทั้งที่เคยซื้อแล้ว และยังไม่เคย อาจจะแค่มากด Like comment share inbox ถูกใจเพจ เข้ามาดูแล้วออกไป หรือเคยผ่านหูผ่านตามาบ้าง คือ ไม่ใช่คนใหม่ที่เพิ่งเห็นสินค้าและแบรนด์เป็นครั้งแรก
กลุ่มคนเหล่านี้ก็คือคนที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับโฆษณาของเรา คือกลุ่ม core audience เราสามารถเลือกแหล่งที่มาของฐานข้อมูลได้ ส่วนมากผมเลือก เพจ Facebook ซึ่งเมื่อเลือกแล้ว ระบบจะมีให้เราเลือกว่าเราต้องการคนกลุ่มไหน รู้สึกว่าจะมีทั้งหมด 6 ประเภท คุณก็เลือกดูว่า ต้องการกลุ่มไหน คนที่เคยถูกใจเพจไหม หรือคนที่เคยมีส่วนร่วมกับเพจของคุณ
เมื่อเลือกได้แล้ว ก็ตั้งชื่อกลุ่มไว้ ให้ง่ายต่อการจดจำ เมื่อเรากดสร้าง ระบบจะนำเราไปสู่การสร้างกลุ่มเป้าหมายแบบสุดท้าย ก็คือ กลุ่มเป้าหมายที่คล้ายคลึงกัน (Look a Like)
เหตุที่เราต้องยิงกลับไปหาลูกค้าเก่า หรือคนที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับโฆษณาของเรา เพราะผู้คนไม่ซื้อสินค้าที่รู้จักเพียงครั้งแรก เรายิงต้องยิงกลับไปหาเขา ให้เขาได้เห็นโฆษณาของเราอีกครั้ง อาจเป็น content ใหม่ เป็น promotion หรืออะไรที่ไม่ซ้ำเดิม เมื่อคนเราเห็นอะไรเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ก็จะเกิดอาการอยากรู้อยากเห็น จดจำสินค้าและบริการของเราได้
นึกง่าย ๆ คุณจำโฆษณาทางทีวีได้ไหม ไม่ว่าจะเป็นขนม น้ำอัดลม นม รองเท้า อะไรที่คุณเห็นบ่อย ๆ คุณจะจดจำสิ่งนั้นได้ ยิ่งถ้ามีเพลงประกอบ ก็ร้องได้กันเลยทีเดียว นี่แหละคือหัวใจสำคัญ และอย่าลืมความถี่ หรือก็คือจำนวนครั้งที่เขาเห็นโฆษณา บางคนต้องเห็นเป็น 10 รอบ ถึงจะเปิดใจก็มี หรือสินค้าของคุณ ถ้ามีราคาสูง หรือต้องใช้เวลาในการตัดสินใจนาน อันนี้ก็ต้องยิงกลับไปหาเรื่อย ๆ กินเวลานานหลายเดือน เป็นปีก็มี
กลุ่มสุดท้าย คือ กลุ่มเป้าหมายที่คล้ายคลึงกัน (Look a Like Audience) คล้ายคลึงกับอะไร คล้ายคลึงกับกลุ่ม Custom เป็นกลุ่มที่ค่อนข้างแม่นยำพอสมควร กลุ่มนี้คือกลุ่มลูกค้าใหม่ ที่มีความคล้ายคลึงกับลูกค้าเก่าเมื่อกี้ เราต้องยิงออกไปคู่กับกลุ่ม Core และ Custom เพื่อให้เกิดผลลัพธ์สุงสุด
เวลาเลือก ให้เลือกประเทศไทย และเลือกสัก 1-3% จะมีความใกล้เคียงมากขึ้นมาหน่อย ถ้าเราเลือก 3% ก็จะได้มาทั้งหมด 3 กลุ่มเป้าหมาย คือ 1%, 2%, 3% ถ้ามีงบเยอะ ก็จัดเลย จะยิงด้วยวัตถุประสงค์แบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการอะไร
เป้าหมายมี 3 แบบ ก็ควรใช้ให้ครบ อย่าใช้แต่กลุ่มเป้าหมายหลักอย่างเดียว จะเสียโอกาส
เวลาที่คนจะซื้อสินค้า มักจะซื้อด้วยอารมณ์ ขั้นตอนปิดการขายจึงสำคัญ เป็นหน้าที่ของแอดมินที่ดูแลจะมีฝีมือมากน้อยแค่ไหน เราต้องยั่วให้ลูกค้าอยาก เสนอในสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการให้เขา ทำให้เขาเห็นว่าเขาจะได้อะไรบ้าง ซึ่งมันต้องคุ้มค่าและว้าวสำหรับเขา
ถ้าเราปล่อยให้เขากลับไปคิด โอกาสที่จะขายได้ก็น้อยลง แต่ก็มีเหมือนกันที่กลับมาซื้อ เพียงแต่ขอเวลาปรึกษากับเพื่อน หรือใคร่ครวญอยู่หลายวัน ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของการยิงแบบ Remarketing เพื่อไปกระตุ้นต่อมอยากของเขาอีกครั้ง รีวิวจากลูกค้าจะเป็นสิ่งที่ดูน่าเชื่อถือที่สุด มากกว่าแม่ค้าบอกเอง ถ้าใครมีรีวิวเยอะ ๆ จะได้เปรียบ และเวลาขายต้องเว้นจังหวะด้วย ไม่ใช่อัดใส่ ๆ อย่างเดียว ควรปิดด้วยคำถามเสมอ เพื่อให้ลูกค้าได้มีการโต้ตอบกับเรา ถ้าหนักขวาด้านเดียว บางทีลูกค้าลายตา ไม่อ่านเลยก็มี ซึ่งตรงนี้เป็นศิลปะที่ต้องฝึกฝน เรียนรู้จากหน้างานจริง ๆ
เอาละวันนี้ขอฝากไว้เพียงเท่านี้ เดี๋ยวมือจะหงิกเสียก่อน หวังว่าจะอ่านจนจบนะครับ ผมไม่ได้เก่งมาก แค่ถ่ายทอดจากสิ่งที่ได้เรียนรู้มาและจากประสบการณ์ตรง หากมีจุดไหนที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน ก็แนะนำได้นะครับ
ฝากกด like กดติดตาม หรือแชร์ให้เพื่อน ๆ อ่านด้วยก็ได้นะครับ ถ้าท่านเห็นว่าบทความนี้มีประโยชน์ มีสาระ ขอบคุณมาก ๆ ครับ
6 Aug 2020
Indy Posts
โฆษณา