6 ส.ค. 2020 เวลา 05:52 • กีฬา
"เรายังเป็นเพียง ร็อคกี้ บัลบัว ไม่ได้ถึงขั้น อิวาน ดราโก้" เจอร์เก้น คล็อปป์ พูดไว้ตอนช่วงก่อนเปิดฤดูกาล 2018/19
หลังใช้เงินเสริมทัพไป 170 ล้านปอนด์ เพื่อหวังลดช่องว่างจาก แมนฯ ซิตี้ ที่ ลิเวอร์พูล มีแต้มน้อยกว่าถึง 25 คะแนนในซีซั่นก่อนหน้า ประโยคดังกล่าวเขาไม่ได้พูดเพื่อพยายามจะบอกว่าทีมของตัวเองยังเป็นทีมรองบ่อน
แต่ประเด็นที่ คล็อปป์ ต้องการจะสื่อจริง ๆ คือหาก ลิเวอร์พูล อยากเป็นฝ่ายชนะดังเช่นตัวละคนที่ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน รับบท คือต้องยอมเสียสละบางอย่าง แล้วทำงานให้หนักกว่าคู่แข่ง
...
ช่วงปรี-ซีซั่น 2018 การเก็บตัวที่ เอวิย็อง ประเทศฝรั่งเศส นับว่าเป็นงานหนักสุด ๆ ทีมต้องซ้อมถึง 3 ช่วงต่อวันเพื่อให้สภาพร่างกายและจิตใจอยู่ในระดับสูง พร้อมรับมือกับความท้าทายที่รออยู่
แต่ละวันจะเริ่มด้วยการวิ่งตั้งแต่ 7 โมงเช้า แล้วมาซ้อมตามโปรแกรมอีกทีตอน 11 โมงและ 5 โมงเย็น
มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่บรรดาผู้เล่นนอนหมดแรงบนสนามตอนช่วงก่อนมื้อเที่ยง คล็อปป์ บอกกับลูกทีมไปว่า "ท่านสุภาพบุรุษทั้งหลาย ถ้าแค่นี้พวกคุณรู้สึกเหนื่อยแล้วล่ะก็ ผมบอกเลยว่านี่ยังแค่จิ๊บ ๆ ถ้าเทียบกับช่วงเย็นที่รออยู่ ตอนนั้นคุณจะได้รู้ว่าความเหนื่อยที่แท้จริงมันเป็นยังไง"
...
ซัมเมอร์ปี 2018 ไม่ใช่แค่เรื่องตัวผู้เล่นที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทีมงานของผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ก็มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นกัน เซลจ์โก้ บูวัช ที่เป็นมือขวาของเขานาน 17 ปี และร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่ตอนอยู่ ไมน์ซ, ดอร์ทมุนด์ รวมถึงที่ ลิเวอร์พูล ตัดสินใจแยกทางกับ คล็อปป์ ในเดือนเมษายน ปี 2018 หรือตอนช่วงเวลาไม่นานก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะเจอกับ โรม่า ในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดสอง
ที่จริงตอนแรก ลิเวอร์พูล บอกว่า บูวัช แค่พักจากการทำงานจนถึงจบฤดูกาลเนื่องจากติดปัญหาส่วนตัว ทว่าไม่นานหลังจากนั้นก็มีการชี้แจงว่าคนที่ คล็อปป์ ยกให้เป็นระดับขั้น "มันสมอง"(The Brain) จะไม่กลับมาทำงานให้ทีมอีกต่อไป
ตอนนั้นมีกระแสเกิดขึ้นว่าทั้ง คล็อปป์ และบูวัช ทะเลาะกันรุนแรง แต่แท้จริงแล้วมันไม่ได้เป็นแบบนั้น..
ผู้เล่นทีมชุดใหญ่คนหนึ่งเผยกับ ดิ แอธเลติก ว่า บูวัช เริ่มทำตัวเหินห่างไปเอง แล้วพอผ่านไปเรื่อย ๆ สิ่งที่ทำให้บรรดานักเตะในทีมเอะใจว่ามีอะไรแปลก ๆ ก็การที่ บูวัช มีบทบาทน้อยลงเวลาพูดเรื่องแท็กติกตอนประชุมทีม "เขาดูเหมือนจะไม่มีใจในการทำงานอีกต่อไปแล้ว"
บูวัช รู้สึกว่าบทบาทของตัวเองน้อยลง หลังจาก คล็อปป์ หันไปให้ความสำคัญกับ สตาฟฟ์ คนอื่น ๆ มากขึ้น ในขณะเดียวกันอิทธิพลของ เป๊ป ลินเดอร์ส ซึ่งเป็นโค้ชด้านพัฒนาศักยภาพในทีมชุดใหญ่เริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ มากขึ้นตั้งแต่ก่อนจะออกไปคุม เอ็นอีซี ไนจ์เมเก้น เมื่อเดือนมกราคม ปี 2018 เสียอีก
อย่างไรก็ตาม คล็อปป์ ก็มักปฏิเสธที่จะพูดถึงการบอกลาทีมของ บูวัช อยู่เสมอ โดยเขายืนยันว่าเป็นเรื่องส่วนตัว
บางคนตั้งคำถามว่า ลิเวอร์พูล จะรับมือกับสถานการณ์ที่ คล็อปป์ ขาดมือขวาคนรู้ใจได้อย่างไร? ซึ่งคำตอบเรื่องนี้คือการที่เราได้เห็นอย่างเด่นชัดในตอนนี้
คล็อปป์ เลือกอุดช่องโหว่อย่างรวดเร็วด้วยการเอา ลินเดอร์ส กลับมาทำงานกับทีม ซึ่งเดิมที ลินเดอร์ส เริ่มทำงานกับ ลิเวอร์พูล ตั้งแต่เมื่อปี 2014 ในฐานะกุนซือของทีมชุดอายุไม่เกิน 16 ปี ก่อนจะถูกโปรโมตขึ้นมารับตำแหน่งที่ใหญ่กว่าเดิมตอนยุคของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ในปีต่อมา
ลินเดอร์ส ย้ายไปคุม ไนจ์เมเก้น ได้ไม่เดือน ก็ถูก คล็อปป์ ดึงตัวกลับมาในช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนถึงนัดชิงชนะเลิศ ที่กรุงเคียฟ ซึ่งตอนแรกมีการปิดข่าวนี้เอาไว้อย่างมิดชิด
ด้วยบุคลิกที่มีความกระตือรือร้นสูงจนถึงขนาดที่สามารถส่งความรู้สึกนั้นไปยังคนอื่น ๆ ในทีมได้ ลินเดอร์ส จึงเป็นที่ชื่นชอบของบรรดาผู้เล่นอย่างไม่ต้องสงสัย
"เจอร์เก้น มอบหมายหน้าที่ให้ผมคุมการซ้อมทั้งหมด และนั่นถือเป็นเรื่องที่สำคัญกับผมมาก ๆ ผมคงไม่กลับมาที่นี่หรอกถ้าต้องทำงานแบบเดิม ๆ" ลินเดอร์ส เผยกับ ดิ แอธเลติก
"การที่ผมออกจาก ลิเวอร์พูล ไป ถือเป็นเรื่องดีสำหรับการประเมินตัวเอง ตอนนี้ผมมีความคิดที่ชัดเจนมากขึ้นในแง่ที่ว่าผมอยากทำงานแบบไหน และอะไรที่ถือเป็นเรื่องที่จำเป็นเพื่อที่จะประสบความสำเร็จ มันไม่มีการยอมผ่อนปรนให้อีกต่อไป"
"ในการซ้อมเราต้องทำกันตามแบบที่ผมต้องการเท่านั้น ซึ่งในแต่ละวันมันก็มีความชัดเจน, ทำให้นักเตะมีความสุข, มีแผนงานตลอดทั้งสัปดาห์ที่ชัดเจน และเราสามารถเล่นแบบเดิมได้อยู่ตลอด รวมถึงมีความกระตือรือร้นอย่างเต็มที่อยู่เสมอไม่ว่าจะต้องเล่นที่ไหนก็ตาม"
บทบาทของ ลินเดอร์ส มีความสำคัญพอ ๆ กับ ปีเตอร์ คราเวียตซ์ อีกหนึ่งผู้ช่วยเจ้าของฉายา "ดิ อาย"(The Eye) ที่ทำงานร่วมกับ คล็อปป์ ราว 2 ทศวรรษก่อน ตั้งแต่ตอนอยู่ ไมน์ซ ในตำแหน่งหัวหน้าแมวมอง
และขณะที่ ลินเดอร์ส ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการวางแผนและจัดแจงการซ้อมนั้น หน้าที่ของ คราเวียตซ์ คือคอยวิเคราะห์แผนผ่านทางคลิปวิดีโอ ทั้งคู่ต่างทำงานเติมเต็มซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี
"สิ่งที่สำคัญคือการให้ข้อมูลกันและกัน และทำงานร่วมกันอยู่เสมอ" ลินเดอร์ส กล่าวเสริม
"จริงอยู่ว่าการมีหัวหน้าที่ดี มันก็จะทำงานได้ง่ายขึ้นอยู่เสมอ แต่นี่ก็ยังเป็นกีฬาที่ต้องทำงานกันเป็นทีม เราต่างก็สนับสนุน เจอร์เก้น ในทางที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เราต่างก็รู้ว่าเราต้องใช้จุดเด่นของแต่ละคนเพื่อที่จะสามารถประสบความสำเร็จเรื่องที่ยอดเยี่ยมร่วมกันได้"
"พีท(คราเวียตซ์) เป็นหนึ่งในนักวิเคราะห์ที่เก่งที่สุดในโลก และรู้จัก เจอร์เก้น เป็นอย่างดี เขาแสดงความเห็นเรื่องที่สำคัญตามมุมมองของตัวเองในแต่ละครั้งที่เราเตรียมความพร้อม เขาสนับสนุนผมกับ เจอร์เก้น ด้วยข้อมูลที่สำคัญเพื่อให้เราเอามันไปรวมในการซ้อมของเรา รวมถึงการหาจุดอ่อนเพื่อที่จะเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์"
"นักวิเคราะห์ด้านฟุตบอลที่เก่งที่สุดน่ะจะทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้น ไม่ใช่ทำให้มันซับซ้อนขึ้น ที่นี่มีวัฒนธรรมเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมและการทำให้มันสมบูรณ์แบบ แต่เราก็ทำได้โดยที่ให้คนทำงานมีอิสระในการทำงานอย่างมากด้วย"
นอกจาก ลินเดอร์ส จะทำให้ คล็อปป์ ต้องใช้ความคิดมากขึ้นตอนระหว่างดวลเทนนิสกันแล้ว ฝ่ายแรกยังทำให้อีกฝ่ายต้องขบคิดเวลาที่ประชุมกันในห้องทำงานอีกด้วย ซึ่ง คล็อปป์ เองก็ไม่ชอบพวกที่เออออเห็นด้วยกับทุกเรื่องแบบทันที เขาอยากให้คนอื่นค้านแนวทางการจัดทีมกับการวางแผนของตัวเอง แล้วค่อยมาถกกันว่าจะทำยังไงกันดี
"เราทั้งคู่ต่างก็มีความกระตือรือร้นสูงจนเข้ากันได้ดี" ลินเดอร์ส เปิดใจ
"เจอร์เก้น เป็นผู้นำอย่างแท้จริง เขาเป็นคนที่สร้างแรงบันดาลใจและแรงกระตุ้นได้อย่างยอดเยี่ยม มันมีสุภาษิตว่า -คนเราไม่สนใจหรอกว่าคุณจะรู้มากแค่ไหน จนกระทั่งพวกเขารู้ว่าคุณให้ความสนใจมากเพียงใด- และผมคิดว่าทุกคนที่ทำงานร่วมกับ เจอร์เก้น ก็จะสัมผัสได้ว่าเขาให้ความสนใจกับคุณและพัฒนาการของคุณมาก ๆ เขาไม่มีอีโก้เลย เขาตามหาสิ่งที่เหมาะสมที่จะทำจากใจจริง"
...
 
ในช่วงซัมเมอร์ปี 2018 คล็อปป์ พูดกับ ลินเดอร์ส และคราเวียตซ์ อย่างเคร่งเครียดเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนรูปแบบของ ลิเวอร์พูล
จริงอยู่ว่าตอนนั้นทีมเล่นได้น่าตื่นตาตื่นใจ แต่ตัวกุนซือเยอรมันเองรู้สึกว่าทีมยังต้องยกระดับขึ้นไปให้ได้ และต้องครองเกมให้ดีกว่าเดิม หากอยากจะเล่นให้ดีจนถึงปลายทาง และเป็นทีมที่ลุ้นแชมป์ลีกอย่างเต็มตัว
"เราต้องการคนที่คุมจังหวะของเกมที่เก่งกว่านี้" คล็อปป์ กล่าว
"ทุกคนพูดเกี่ยวกับความกระตือรือร้นของเรา แต่บางครั้งเราก็วิ่งกันเยอะเกินไปจนผมต้องเตือนเลยว่า -เฮ้ ใจเย็นๆ หน่อย-"
คล็อปป์ บอกว่าบรรดาคู่แข่งจะพยายามปิดพื้นที่ว่างในการเล่นของ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน่ ดังนั้น ลิเวอร์พูล จำเป็นต้องมีอาวุธมากกว่านี้ ซึ่งหนึ่งในจุดที่สำคัญในความคิดของเขาคือลูกเซตพีซ
สถิติต่าง ๆ ชี้ให้เห็นว่า ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่มีผลงานระดับกลาง ๆ เท่านั้นในแง่ดังกล่าว เวลาที่มีลุ้นประตูจากลูกนิ่งนั้น พวกเขาได้แต่โยนโอกาสทิ้งเยอะเกินไป ส่วนยามต้องป้องกัน พวกเขาก็ทำได้แย่จนเสียงต่อการเสียประตูอยู่บ่อย ๆ
การที่ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ เล่นลูกกลางอากาศได้ดี รวมถึงการมี เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านลูกเซตพีซและวางบอลได้แม่นยำนั้น ทำให้ คล็อปป์ เชื่อว่าจะเป็นอาวุธที่ดีที่ ลิเวอร์พูล สามารถเอามาใช้งานได้ ซึ่ง ลินเดอร์ส กับ คราเวียตซ์ ก็ได้รับหน้าที่ให้ไปหาวิธีการซ้อมที่จำเป็นสำหรับการทำให้มันประสบความสำเร็จ
"ผมอยากทำแบบนี้เพราะผมไม่เคยทำมันมาก่อน ผมไม่เคยมีทีมที่เล่นลูกเซตพีซได้เหมาะสมมาก่อน" กุนซือหงส์แดง ระบุ
"เห็นได้ชัดว่าเราอยากให้ความสำคัญกับเรื่องนั้น เพราะที่ผ่านมามันไม่ใช่จุดเด่นที่เหมาะสมของเราสักเท่าไหร่"
พอจบฤดูกาล 2018/19 ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่ได้ประตูจากลูกเซตพีซมากที่สุดของ พรีเมียร์ลีก ด้วยจำนวน 29 ประตู โดยที่ บอร์นมัธ และ แมนฯ ยูไนเต็ด ตามมาห่าง ๆ ที่ 21 ครั้งเท่ากัน
หนึ่งในสิ่งที่ คล็อปป์ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาการเล่นลูกนิ่งก็คือการดึง โธมัส โกรนเนอมาร์ค โค้ชที่เชี่ยวชาญด้านการทุ่มเข้ามาทำงานด้วยกัน หลังจากที่ คล็อปป์ อ่านเจอเรื่องราวการทำงานของเขาในหนังสือพิมพ์ของ เยอรมนี
ตอนนั้นบรรดากูรูต่างตำหนิและหัวเราะที่ทีมตัดสินใจแบบนี้ อย่างไรก็ดีการซ้อมของ โกรนเนอมาร์ค ซึ่งเป็นอดีตนักวิ่งก็ทำให้ ลิเวอร์พูล เก็บบอลเอาไว้กับตัวได้ดีกว่าเดิม และเอาบอลกลับมาครองได้บ่อยขึ้นยามที่ตัวเองเป็นฝ่ายได้ทุ่ม
"ก่อนหน้าที่ผมจะได้เจอ เจอร์เก้น ผมรู้สึกหงุดหงิดมาก ๆ" โกรนเนอมาร์ค ให้สัมภาษณ์กับ ดิ แอธเลติก
"ผมมีความรู้เกี่ยวกับวิธีเก็บบอลเอาไว้กับตัวจากจังหวะลูกทุ่มและการสร้างโอกาสทำประตูจากลูกทุ่มเป็นอย่างดี แต่ไม่มีใครสนใจฟังจริง ๆ สักคน พวกเขาเอาแต่สนใจเรื่องการทุ่มไกลอย่างเดียว"
"สโมสรแรกที่ให้ความสนใจมันอย่างจริงจังคือ ลิเวอร์พูล และถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญมาก ๆ สำหรับผม นี่เป็นสโมสรแรกที่ผมสามารถใช้ความรู้ทั้งหมดของตัวเองได้ ซึ่งบ่งบอกถึงหลักความคิดและวัฒนธรรมของ ลิเวอร์พูล ได้เป็นอย่างดี"
"เจอร์เก้น เป็นพวกหัวก้าวหน้า เขาเป็นผู้นำที่กล้าบอกว่าเขาไม่ได้รู้ทุกอย่าง และพร้อมจะรับฟังคำพูดของคนอื่น ๆ ถ้าพวกเขาเหล่านั้นมีความรู้ที่จะช่วยทำให้สโมสรเดินไปข้างหน้าได้"
ปล. อ่านเรื่องราวของโค้ชทุ่มได้ที่บทความเก่า ๆ ผมเคยเขียนไว้ได้เลยครับ
ปล.2 นี่คือตอนที่ 6 (มั้งครับ ไม่แน่ใจ) ตอนหน้าเป็นตอนสุดท้ายแล้วฮะ
#Lijnders #Krawietz #Klopp #Gronnemark #hossalonso #BootRoom
Ref. The Athletic
โฆษณา