7 ส.ค. 2020 เวลา 06:13 • ข่าว
EP. 57 “Lockdown”
สถานที่หลายๆที่ ไม่ว่าจะเป็นอพาร์ทเม้นท์ สำนักงาน โรงงาน หรือแม้แต่ร้านขายของบางที มักใช้วิธีการรักษาความปลอดภัยอันดับต้นๆเลย นั้นก็คือการล็อกประตู การติดตั้งที่กั้น ที่มีเพียงแค่คนที่มีบัตรผ่าน หรือรหัสผ่านที่สามารถใช้บัตรหรือรหัสนั้นเปิดประตู หรือเข้า-ออกสถานที่ดังกล่าวได้
 
แต่… เราเคยสังเกตุไหม ว่าบางทีเราเดินเข้าประตูมา พอมีคนทำท่าจะเดินตามเข้ามา เรากลับมักจะเปิดประตูรอเขา ไม่รีบดึงประตูปิดแล้วให้เขาใช้บัตรเปิดประตูเข้ามา เป็นเพราะอะไร? เป็นเพราะมารยาททางสังคมเหรอ? หรือเพราะเราเคยชิน? หรือเพราะคนที่เดินตามเข้ามานั้นดูไม่มีผิดไม่มีภัย??
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ดูเหมือนคุณจะคิดผิด เพราะไม่รู้เลยว่าวันนึง คนที่คุณเปิดประตูรอให้เดินตามเข้ามา หรือเดินสวนออกไป จะไปก่อวีรกรรมอะไรไว้บ้าง
เกิดอะไรขึ้น?:
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ปี 2001 Norina Bentzel ครูใหญ่ประจำโรงเรียน North Hopewell-Winterstown Elementary School ในรัฐ Pennsylvania กำลังนั้งอยู่ในออฟฟิศของเธอ และตรวจดูเอกสารต่างๆ Norina นั้นค่อนข้างจะยุ่ง เพราะถึงแม้โรงเรียนนี้จะเป็นโรงเรียนเล็กๆและนักเรียนส่วนมากก็เป็นเด็กเล็กตั้งแต่เด็กอนุบาลจนถึงชั้นประถมเท่านั้น แต่เด็กนักเรียนก็มีถึง 320 คนด้วยกัน
ในช่วงเช้าของวันดังกล่าว Norina วัย 41 ปี แหงนมองนาฬิกาในออฟฟิศของตัวเอง และมันบอกเวลาอยู่ที่ 11.23 นาฬิกา Norina คิดว่าจะโทรหาลูกชายคนเล็กของตัวเองซักหน่อย Norina โทรหาพี่เลี้ยงผู้ซึ่งกำลังเตรียมตัวพาลูกชายคนเล็กของ Norina ไปโรงเรียนอนุบาลที่อยู่ใกล้ๆบ้านของครอบครัว ขณะที่กำลังจะวางสายจากลูกชาย Norina สังเกตุเห็นชายสูงอายุคนนึง กำลังพยายามเปิดประตูทางเข้าหลักของโรงเรียนอยู่
(ในเวลาที่เด็กๆเข้าเรียน ทางโรงเรียนจะล็อกประตูเข้าออกนะคะ) Norina คิดว่าชายสูงวัยคนดังกล่าวเป็นคุณปู่ หรือคุณตาของหนึ่งในเด็กนักเรียนของตัวเอง Norina จึงวางสายจากลูกชาย ก่อนจะเดินออกจากออฟฟิศ เพื่อไปหาชายคนดังกล่าว จะได้ดูว่าจะช่วยพาไปหาหลานของเขาได้หรือไม่ หรือมีอะไรที่ Norina จะช่วยเขาได้ไหม เผื่อทางครอบครัวเด็กมีเรื่องด่วนต้องมารับเด็กก่อนเวลา
2
ชายคนดังกล่าวแต่งตัว ทำท่าทางทุกอย่างดูปรกติธรรมดา Norina เปิดประตูออฟฟิศของตัวเองออกมาและเห็นว่า มีผู้ปกครองคนนึงที่มีบัตรผ่านสามารถเข้ามาในโรงเรียนได้ ใช้บัตรนั้นเปิดประตูทางเข้าของโรงเรียน และชายสูงอายุคนดังกล่าวเดินตามหลังผู้ปกครองคนนั้นเข้ามาด้วย Norina เดินเลี้ยวขวาไปยังห้องโถงใหญ่ของโรงเรียน เพราะคิดว่าน่าจะเดินไปเจอกับชายคนดังกล่าวที่นั่น (คงประมาณว่าออฟฟิศ ของคุณครูหรือพนักงานอยู่ตรงแถวนั้น คนปรกติน่าจะเดินไปตรงนั้นหากจะไปติดต่อขอรับเด็ก) แต่ Norina หาชายคนนั้นไม่เจอ
4
มีอะไรดลใจให้ Norina เดินเลี้ยวมาอีกทาง เมื่อมองไปที่ปลายทาง Norina เห็นว่าชายคนดังกล่าวกำลังยืนอยู่ในพื้นที่ที่เป็นส่วนห้องเรียนของเด็กอนุบาล….เขากำลังพยายามมองเข้าไปในชั้นเรียนต่างๆ เหมือนคนกำลังจะหาเด็กนักเรียนที่เป็นลูกหลานตัวเองเลยใช่ไหมคะ??
The Attack:
Norina เดินเข้าไปหาชายคนนั้น และดูเหมือนเขาจะตกใจเล็กน้อย “ขอโทษนะคะ คุณกำลังมองหาใครอยู่หรือเปล่า? มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ?” Norina ถาม ชายคนดังกล่าวไม่พูดอะไรและเริ่มพยายามล้วงอะไรออกมาจากกระเป๋ากางเกงของตัวเอง ไม่กี่วินาที Norina เห็นว่าชายดังกล่าวล่วงเอามีดดาบขนาดยาวกว่าสองฟุตออกมา (น่าจะไม่ได้ล้วงกระเป๋า แต่คงใส่ไว้ข้างในกางเกงมากกว่าค่ะ) ชายคนนั้นเริ่มใช้มีดทั้งตีและฟันใส่ Norina ในทันที Norina กรีดร้อง เธอพยายามตะโกนบอกคนอื่นให้โทรเรียก 911 และ “Lockdown”
1
** Lockdown เป็นการกำหนดมาตราการความปลอดภัยอย่างนึงเวลาเกิดเหตุฉุกเฉิน เหตุด่วนเหตุร้ายในโรงเรียน เป็นอันทราบกันว่ามีการยิงกันหรือก่อเหตุร้ายในโรงเรียนบ่อยครั้ง ทั้งเจ้าหน้าที่ โรงเรียน และผู้ปกครองทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาระบบความปลอดภัยต่างๆและสอนให้ทั้งคุณครู เจ้าหน้าที่ และแม้แต่นักเรียนตัวเล็กๆเอง (😢) รู้ว่าจะรับมืออย่างไร หากเกิดเหตุด่วนเหตุร้ายในโรงเรียน ส่วนมากแล้วจะเป็นเรื่องคนเอาปืนมายิงกราดในโรงเรียนนี่ละค่ะ ระบบ Lockdown มีจุดเริ่มต้นมาจากเหตุการณ์กราดยิงที่ Columbine High School ในปี 1991 แต่ในปีที่เกิดเรื่อง (2001) ระบบยังไม่พัฒนาดีพอ เลยมีแค่เป็นระบบ intruder lockdown ไม่มีระบบ Active Shooter Lockdown เอาไว้โอกาสหน้าเราจะมาเขียนถึงเรื่องนี้อย่างละเอียดอีกทีนะคะ
1
Norina กึ่งเดินกึ่งถอยกลับเข้ามายัง แถวๆออฟฟิศของตัวเอง ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับห้องพยาบาลของโรงเรียน ชายคนดังกล่าวเงื้อมีดขึ้นมาฟันไปยังบริเวณหน้าท้องของ Norina ก่อนที่จะไปโดนเข้ากับบัตร Key card ของ Norina ที่คล้องคอไว้ (โชคดีไป) อยู่ดีๆชายคนร้ายก็วิ่งหนีไป Norina วิ่งเข้าไปในส่วน office ของ โรงเรียนเพราะต้องการทำการ Lockdown ให้เร็วที่สุด Norina ต้องหยุดผู้ชายคนดังกล่าวให้ได้ เหมือนที่กล่าวในข้างต้น ในปี 2001 ระบบ lockdown ในเขตที่โรงเรียนของ Norina ตั้งอยู่ มีแค่การส่งสัญญาณไปยังมือถือของครูทุกคนที่อยู่ในโรงเรียนว่ามีเรื่อง emergency เกิดขึ้นที่โรงเรียนและให้ครูโทรหา 911 แม้จะไม่รู้รายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เพราะต้องการให้มีตำรวจและเจ้าหน้าที่มาถึงโรงเรียนให้เร็วที่สุด หลังจากที่ Norina ส่งสัญญาณระบบ Lockdown เสร็จ เธอเดินออกไปหาชายคนร้าย
1
….และไปเจอเขาในห้องเรียนห้องหนึ่งของนักเรียนชั้นอนุบาล (😰)
ภาพขณะที่ผู้ปกครองรายนึงกอดปลอบลูกชายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงเรียน ในขณะเดียวกัน ข้างหลังนั้นตำรวจก็นำตัว William ชายที่ก่อเหตุเดินออกมาจากโรงเรียนเพื่อไปขึ้นรถตำรวจ
ชายคนดังกล่าวเอามีดทุบโต๊ะเรียนเสียงดัง และเริ่มเข้าจู่โจมเด็กๆทันที โดยการใช้ด้านที่ไม่คมของมีดดาบนั้นฟาดไปยังเด็กๆ Linda Collier อายุ 52 ปี คุณครูประจำชั้นเมื่อเห็นดังนั้น เธอวิ่งเข้าใส่ชายคนร้าย และพยายามจะหยุดเขาไม่ให้ทำร้ายเด็กๆ ตอนที่พยายามหยุดไม่ให้คนร้ายเอามีดดาบตีหัวของ Linda กลายเป็นว่าคราวนี้คนร้ายเปลี่ยนมาใช้ด้านคมของมีดดาบ และฟันเข้าไปที่ฝ่ามือของ Linda เข้าเต็มๆ
Linda บอกให้นักเรียนของตัวเองวิ่งหนี เด็กน้อยทั้งหลายน่าจะตกใจมากและทำอะไรไม่ถูก บางส่วนวิ่งออกมานอกห้อง บางส่วนหลบอยู่ใต้โต๊ะ บางส่วนวิ่งไปกอด Linda เพราะคุณครูของพวกเขาเป็นเหมือน “security” หนึ่งเดียวที่เด็กๆมีในตอนนั้น (โถน้อง พี่จะร้องไห้) Norina ต้อนเด็กๆออกมาจากชั้นเรียน ห้องโถงและให้พวกเขาเข้าไปอยู่ในส่วนออฟฟิศของโรงเรียน Linda เดินออกมา เอาตัวพิงประตูและพยายามดึงเอาเด็กๆที่กำลังร้องไห้และตกใจกลัวเข้าไปในออฟฟิศให้มากที่สุด เพื่อจะได้ล็อกประตูได้ ชายคนร้ายดังกล่าว วิ่งตามหลังเด็กๆมาติดๆ พร้อมกับเงื้อมีดด้ามขึ้น ก่อนที่คุณครูจะปิดประตูได้ ชายร้ายกล่าวสอดแขนเข้ามาทันและง้างประตูออกด้วยความโมโห (อะไรจะเหมือนในหนังสยองขวัญขนาดนี้)
**Norina เล่าว่าถึงตอนนี้ เธอคิดอยู่อย่างเดียวว่าชายคลั่งคนนี้เข้ามาที่โรงเรียนแห่งนี้เพื่อทำร้ายเด็กๆของเธอไม่ได้ สัญชาตญาณความเป็นแม่ของ Norina พุ่งเข้ามาแทนที่ เธอต้องหยุดชายคนนี้ให้ได้และไม่ให้เขาทำร้าย “ลูกๆ” ของเธออีก
1
เมื่อเข้ามาในส่วนออฟฟิศได้ ชายคนร้ายพุ่งเข้าใส่ Norina ทันที เอามีดดาบดังกล่าวฟาดใส่ Norina ไม่ยั้ง แต่คราวนี้เขาใช้ด้านมีคมนะคะ Norina ยกมือขึ้นมาเพื่อพยายามกันส่วนหัวและหน้าของตัวเอง เธอโดนมีดดาบดังกล่าวฟันทั่วมือและทั่วแขนไปหมด ขณะที่ชายคนดังกล่าวกำลังทำร้าย Norina ครูอีกคนพาเด็กๆหนีเข้าไปหลบอยู่ในอีกห้องนึง เมื่อชายคนร้ายเห็นดังนั้น เขาผละออกจาก Norina และหันหลังให้กับเธอ ในเสี้ยววินาทีนี้เอง Norina เห็นจังหวะ เธอกระโดดขึ้นหลังล็อกคอชายคนร้ายและตะโกนให้คนมาช่วยเธอกดเขาลงกับพื้น
Norina กอดชายคนร้ายแน่นและพยายามพูคคุยกับเขาขอให้เขาหยุดและขอให้เขาใจเย็น ในจังหวะนี้เอง ชายคนร้ายทำมีดดาบหลุดมือ พนักงานในโรงเรียนคนนึง จับมีดออกมาให้พ้นรัศมีของชายคนร้าย ในตอนนี้เองเหมือนเขาจะสิ้นฤทธิ์ในทันที สายตาของเขามองไปข้างหน้าอย่างเวิ้งว้างว่างเปล่า Norina พยายามสอบถามเขาว่า ทำไมเขาทำแบบนี้ ชายคนร้ายบอกว่านักการเมืองท้องถิ่นคนนึงเป็นคนบอกเขาให้ทำแบบนี้ “He made me do this” Norina รู้ได้ทันทีว่าชายคนนี้น่าจะมีปัญหาทางจิต (ในตอนนี้ Norina ก็ยังนั่งกอดรัดชายคนนี้แน่นอยู่นะคะ)
เมื่อตำรวจมาถึง และจับกุมตัวชายคนร้ายไปแล้ว ก่อนที่รถพยาบาลจะมาถึง Norina ถึงสามารถตรวจสอบอาการบาดเจ็บของตัวเองได้ เธอมีอาการบาดเจ็บทั่วทั้งแขน มือและนิ้วเต็มไปหมด โดยเฉพาะส่วนนิ้วของ Norina หลายนิ้วมีรอยบาดลึกและนิ้วก้อยของมือข้างซ้ายห้อยร่องแร่งจะขาดแหล่มิขาดแหล่ Norina ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนที่สุดเพราะเธอเสียเลือดเป็นจำนวนถึง 50% ของเลือดในร่างกายเลยทีเดียว
เมื่อไปถึงโรงพยาบาลเจ้าหน้าที่กับหมอยังพบว่านอกจากแผลที่โดนฟันเป็นจำนวนมาก ข้อมือข้างซ้ายของ Norina ยังแตกละเอียดอีกด้วย Norina หมอและเจ้าหน้าที่ปฐมพยาบาล Norina เบื้องต้นก่อนจะให้ Helicopter มารับตัว Norina เพื่อบินไปรักษาอาการที่โรงพยาบาลเฉพาะทางใน Baltimore ในการผ่าตัดที่โรงพยาบาลนี้เองต้องใช้ทีมแพทย์ถึงสองทีม (ผ่าตัดมือทีมละข้าง) และใช้เวลาผ่าตัดถึงหกชั่วโมง
นอกจาก Norina และ Linda แล้ว ยังมีคุณครูอีกคนที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกฟันเล็กน้อยที่แขน และมีเด็กอนุบาลได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 11 คน ส่วนมากจะเป็นแผลเล็กน้อย เช่นรอยบาดหรือรอยฟกช้ำ
เจ้าหน้าที่นำตัว Norina ส่งโรงพยาบาล
เจ้าหน้าที่กำลังทยอยอุ้มพาเด็กๆที่บาดเจ็บออกมาจากโรงเรียน
แล้วชายคนนั้นเป็นใคร? เขาทำไปทำไม?:
William Michael Stankewicz อายุ 56 ปี คือชายคนร้ายที่ก่อเหตุระทึกขวัญดังกล่าว เขามีอาการพูดจาเลื่อนลอยเหมือนคนไม่มีสติสัมปชัญญะ และตำรวจไม่รู้ว่าเขาทำไปทำไม William นั้นยังเคยทำงานเป็นครูสอนหนังสือในโรงเรียนอีกด้วย (เอิ่ม อะไรกันเนี่ย) ความเกี่ยวโยงอย่างเดียวที่มีคืออดีตลูกเลี้ยงทั้งสองคนของ William เคยเรียนอยู่ที่โรงเรียนดังกล่าว
ย้อนกลับไปในปี 1994 Larisa Montgomery หญิงชาว Kazakstan แต่งงานและย้ายมาอยู่กับ William ที่สหรัฐอเมริกาพร้อมกับลูกสาวสองคน Larisa หวังว่าชีวิตในอเมริกา จะสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับลูกๆของเธอ แต่หลังจากแต่งงานได้แค่ 5 เดือน Larisa ต้องพาลูกทั้งสองหนีออกจากบ้านเพื่อไปอยู่ที่ shelters และหนีจาก William เพราะเขาทำร้ายเธอกับลูกจนเธอทนไม่ไหว Larisa กับลูกอาศัยอย่างหลบๆซ่อนๆด้วยความที่กลัว William จะมารังควาน ในปี 1996 William ถูกจับและส่งเข้าคุกไป 9 เดือนในข้อห้าคุกคาม Larisa และลูกๆ ทั้ง Larisa และ William หย่าขาดจากกันในปี 1997
William ไปที่โรงเรียน เพราะสภาพจิตที่ไม่ปรกติและคิดว่าลูกๆกับ Larisa อยู่ที่โรงเรียนดังกล่าวหรือไม่? หรือเขาแค่ขับรถไปแล้วผ่านโรงเรียนเฉยๆ? ไม่มีใครทราบได้ ที่ตำรวจรู้มีแค่เพียงว่า ก่อนหน้านี้ William พยายามไปซื้อปืนที่ร้านขายปืน แต่คนขายไม่ยอมขายให้กับ William เพราะเขาเป็นคนมีประวัติอาชญากรรมนั้นเอง
ในวันที่ 5 พฤศจิกายน ปี 2001 William รับสารภาพและศาลตัดสินให้เขาได้รับโทษจำคุกเป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 132 -264 ปี จากข้อหาพยายามฆ่าและทำร้ายร่างกาย
ผู้ปกครองรายนึง โชว์ปอยผมลูกสาวตัวเองที่ถูกตัดขาดโดยมีดดาบของ William ภายหลังนั้นปอยผมดังกล่าวเป็นหลักฐานสำคัญที่ทำให้ William ถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกในข้อหาพยายามฆ่า
บทสรุป:
หลังจากนั้น Norina นอกจากจะกลับไปทำงานเป็นครูใหญ่เหมือนเดิมแล้ว เธอยังเข้าร่วมการสัมนา และมีส่วนผลักดันเพื่อก่อให้เกิดมาตราการรักษาความปลอดภัยในโรงเรียน เธอยังเขียนจดหมายหา William โดยเนื้อความส่วนใหญ่นั้นเพื่อให้เขารู้ว่าสิ่งที่ William ทำนั้นก่อให้เกิดผลเสียแบบถาวรต่อเธอตลอดทั้งชีวิต แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ เพราะ Norina “ให้อภัยเขาแล้ว” ที่เธอเศร้าใจคือ ทำไมไม่มีใครในชีวิตของ William เลยทีช่วยเหลือเขาก่อนที่เขาจะตัดสินใจมาทำเรื่องเลวร้ายดังกล่าวกับนักเรียนและพนักงานในโรงเรียนของ Norina
Norina กับจดหมายที่เธอเขียนหา William
ในระยะหลังมานี้เราจะเห็นว่าทางโรงเรียนและรัฐพยายามหาวิธีการและมาตราการต่างๆมาจัดการเหตุการในลักษณะนี้ แต่ก่อนหน้านี้ ผู้ใหญ่ไม่อยากจะเห็นเด็กๆต้องมารับรู้เรื่องราวดังกล่าว เพราะอาจจะทำให้เด็กๆกลัว (เด็กอนุบาลเลยนะคะ) แต่ในตอนนี้มีหลายโปรแกรม ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจกับเด็กๆในการเอาตัวรอดในสถานการณ์ดังกล่าว หนึ่งในโปรแกรมนั้นคือโปรแกรม ALICE ( alert, lockdown, inform, counter and evacuate) มีการซักซ้อมกับนักเรียน คุณครู และเจ้าหน้าที่ในโรงเรียนว่าหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้น ทุกคนควรทำตัวยังไง เด็กๆไม่ได้ถูกสอนให้กลัว แต่สอนให้รู้จัก “ตัดสินใจ” และ “เข้าใจ” ตั้งแต่อายุยังน้อย
1
มันเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ต้องพยายามบอกให้เด็กที่ในบางครั้งมีอายุแค่ 5-6 ขวบให้เข้าใจเรื่องดังกล่าว คุณครูที่ควรมีหน้าที่สอนเด็กๆอย่างเดียว กับต้องเข้าคลาสเรียนศิลปะป้องกันตัว และการยิงปืน (ในบางโรงเรียนยังมีการถกกันว่าควรจะให้คุณครูพกปืนที่โรงเรียนได้ด้วยหรือไม่) แต่ความเป็นจริงก็คือความเป็นจริงวันยังค่ำ หากเราไม่พยายามป้องกันในวันนี้ ในวันที่เกิดเรื่องฉุกเฉินขึ้นมันคงสายไปเสียแล้ว
EP. เก่าๆดูได้อีกทางที่นี้ค่ะ
Blockdit:
Facebook Page:
โฆษณา