Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
THAIFA Knowledge
•
ติดตาม
7 ส.ค. 2020 เวลา 07:22 • การศึกษา
“แทนคุณแผ่นดินด้วยความคิด“
ถ้าคุณแน่ หรือเป็นแฟนพันธุ์แท้ประกันชีวิต
คุณต้องรู้จัก 5 คำศัพท์นี้
มีตัวแทนประกันชีวิตมากมายทำงานมา 20 ปี 30 ปี มีส่วนช่วยสร้างหลักประกันและสวัสดิการให้กับประชาชนจำนวนมาก เขาเหล่านั้นรู้คำศัพท์ด้านประกันชีวิตมากมาย ไม่ว่า ค่าชดเชยรายวัน โรคร้ายแรง หรือคำยากๆอย่าง การโอนผลประโยชน์เด็ดขาด
แต่เวลาผู้บริหารระดับประเทศหรือนักวิชาการคุยกันเรื่องการสร้างหลักประกันหรือความมั่นคงให้กับประชาชน เขาจะใช้คำศัพท์อีกชุดหนึ่ง มาดูว่าคุณรู้จักคำศัพท์เหล่านี้หรือไม่ เพราะถ้าคุณเป็นแฟนพันธ์ุแท้ของธุรกิจประกันชีวิต คุณต้องรู้จักคำศัพท์ต่อไปนี้
1
1. อัตราการเข้าถึงประกันชีวิต หรือ Life insurance penetration rate เป็นอัตราส่วนของเบี้ยประกันชีวิตรวมต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือGDP ดังนั้น จึงมีนักวิชาการจำนวนหนึ่งเรียกอัตราส่วนนี้ตามนิยามเลยว่า “อัตราส่วนเบี้ยประกันชีวิตต่อ GDP” ดัชนีนี้ใช้วัดระดับพัฒนาการของการทำประกันชีวิตในประเทศหนึ่งๆว่ามีมากน้อยเพียงไร
1
มาถึงตรงนี้ หลายคนยังนึกภาพไม่ออก แต่ถ้าผมบอกว่า คนเราควรเจียดรายได้มาทำประกันชีวิตไม่น้อยกว่า 10% ของรายได้ในแต่ละปี อย่างนี้เราคงเข้าใจมากขึ้น เพราะ GDP ก็คือมูลค่าของสินค้าและบริการที่ผลิตขึ้นในประเทศนั้นๆใน 1 ปี เพียงแต่ไม่ใช่รายได้ของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของทุกๆคนรวมกัน ดังนั้นเมื่อเอาเบี้ยประกันชีวิตที่ทุกคนในประเทศจ่ายในปีที่ผ่านมา หารด้วยรายได้รวมของประเทศ จึงเป็นค่าเฉลี่ยว่า ปีที่แล้ว คนในประเทศมีค่าใช้จ่ายเป็นเบี้ยประกันชีวิตกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้ ซึ่งตามทฤษฎีที่เราท่องกันมา คือ 10%ของรายได้ แต่มีเพียงไม่กี่ประเทศที่ประชาชนของเขาจะสามารถทำประกันชีวิตได้ถึง 10%ของรายได้
ประเทศที่มี life insurance penetration rate ถึง 10% ปัจจุบันมีเพียง 3 ประเทศ ได้แก่ ไต้หวัน ฮ่องกง และอัฟริกาใต้ (ตัวเลขของฮ่องกงอาจจะไม่สะท้อนความเป็นจริง เนื่องจากปัจจุบันมีเศรษฐีจีนจากแผ่นดินใหญ่เข้ามาซื้อประกันชีวิตที่เกาะฮ่องกง ทำให้ตัวเลขสูงเกินความเป็นจริงจากอดีตมาก) ขณะที่สหรัฐ ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ ยังมีตัวเลขไม่ถึง 10%(ไม่น่าเชื่อ) ส่วนประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายเบี้ยประกันชีวิตประมาณ 4 % ซึ่งถือว่ายังไม่มาก ยังมีโอกาสเติบโตอีก
อนึ่ง ถ้าเราใช้คำว่า Insurance penetration rate เฉยๆ มันจะหมายถึงอัตราส่วนการจ่ายเบี้ยทั้งประกันชีวิต(life)และวินาศภัย(non-life)รวมกันต่อรายได้ แน่นอนว่าตัวเลขนี้จะสูงขึ้น เพราะมีรายจ่ายของเบี้ยประกันวินาศภัย เช่น ประกันรถ ประกันไฟ เข้ามารวมด้วย แต่โปรดสังเกตว่า รายจ่ายด้านเบี้ยประกันชีวิตจะสูงกว่าด้านเบี้ยประกันวินาศภัยเสมอ เพราะประชาชนรู้สึกว่าเบี้ยประกันชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องได้คืนแน่นอนในวันข้างหน้า เนื่องจากเป็นภัยที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอน เพราะวันหนึ่งคนเราก็ต้องเสียชีวิต ขณะเดียวกัน มันมีกรมธรรม์ประเภทสะสมทรัพย์ด้วย ทำให้คนกล้าออมในจำนวนเงินสูงๆ ส่วนเบี้ยประกันวินาศภัยมักจะมีราคาต่ำกว่า เพราะภัยบางอย่างอาจไม่เกิดขึ้นเลยตลอดชีวิตการทำประกันของเขา เช่น ประกันอัคคีภัย เป็นต้น
1
2. อัตราส่วนเบี้ยประกันชีวิตต่อหัว หรือ Life insurance density rate เป็นอัตราส่วนของเบี้ยประกันชีวิตรวมเมื่อคิดเป็นดอลลาร์สหรัฐ หารด้วยจำนวนประชากร ใช้วัดว่าโดยเฉลี่ยคนในประเทศหนึ่งๆจ่ายเบี้ยประกันชีวิตคนละกี่ดอลลาร์ต่อปี เพื่อเปรียบเทียบว่า ในแต่ละประเทศ ประชาชนใช้จ่ายเบี้ยประกันชีวิตมากน้อยเพียงใด โดยทั่วไป ประเทศที่ยิ่งมีอัตราส่วนทั้ง 2 ตัวนี้สูง มักจะเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางการเงินสูงหรือเป็นประเทศพัฒนาแล้วนั่นเอง
1
โดยในปีที่ผ่านมา(2562) ประเทศไทยมียอดเบี้ยประกันชีวิตรวมเท่ากับ 610,914 ล้านบาท หรือเท่ากับ 20,030 ล้านเหรียญสหรัฐ (ใช้อัตราแลกเปลี่ยนของปีที่แล้ว 1 เหรียญสหรัฐ เท่ากับ 30.50 บาท) มีประชากร 66 ล้านคน ดังนั้น โดยเฉลี่ยคนไทยจ่ายเบี้ยประกันชีวิตคนละ 303.5 เหรียญสหรัฐ หรือ 9,256 บาทต่อปี ก็ยังถือว่าต่ำมาก ขณะที่มาเลเซียมี life insurance density rate สูงกว่าไทยเกือบ 1 เท่า และที่สิงคโปร์มีมากกว่าไทยเป็น 10 เท่า
3
3. เงินสำรองประกันภัย (Insurance reserve) คือจำนวนเงินที่บริษัทประกันภัยต้องดำรงไว้ตามกฎหมาย เพื่อรองรับภาระผูกพันที่บริษัทมีต่อผู้เอาประกันภัย ไม่ว่าจะเป็นเงินครบสัญญา เงินคืนรายงวด หรือเงินสินไหม
2
แล้วเงินก้อนนี้มาจากไหน มันก็คือเบี้ยประกันภัยที่บริษัทรับมาจากลูกค้า เมื่อหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างๆแล้ว ต้องนำเงินนี้ไปลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล เงินฝากธนาคาร หุ้นกู้และหุ้นสามัญ เพื่อให้งอกเงยพร้อมที่จะรองรับภาระผูกพันที่มีต่อลูกค้าในอนาคต โดยคปภ.จะคอยตรวจสอบตลอดเวลาว่า บริษัทมีเงินสำรองประกันภัยที่พอเพียงต่อภาระผูกพันที่บริษัทรับมา
ขณะเดียวกันได้มีการจำกัดความเสี่ยงให้ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น ลงทุนในหุ้นสามัญได้ไม่เกิน 20% และลงทุนในหุ้นบริษัทใดบริษัทหนึ่งได้ไม่เกิน 10% ทั้งยังให้มีหลักประกันด้วยการบังคับว่า ใบตราสารทางการเงินต่างๆที่ลงทุนนั้น ต้องนำไปเก็บรักษาไว้ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ( คปภ.) และผู้รักษาหลักทรัพย์ ( Custodian )ได้แก่ธนาคารใหญ่ๆ ที่ คปภ.รับรองเท่านั้น จึงมั่นใจได้ว่า เงินที่พวกเราเก็บออมไว้ที่บริษัทประกันชีวิตนั้น ไม่มีโอกาสอันตรธานหายไปเฉยๆ เพราะมีองค์กรที่น่าเชื่อถือ เก็บรักษาสินทรัพย์ให้เราอีกชั้นหนึ่ง
4. เงินกองทุน (Capital) คือ เงินในส่วนของผู้ถือหุ้นบริษัท ซึ่งคำนวณได้จากสินทรัพย์ส่วนที่เกินกว่าหนี้สินของบริษัท ยิ่งมีส่วนเกินมากเท่าไร ยิ่งแสดงถึงความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัท เงินก้อนนี้เกิดจาก เงินเริ่มต้นลงทุนของผู้ถือหุ้นบริษัท รวมกับกำไรสะสมที่ยังไม่แบ่ง สมทบกันมาจนถึงปัจจุบันนี้
ในกรณีที่บริษัทเกิดบริหารผิดพลาด ทำให้มีผลขาดทุน ยอดขาดทุนนี้จะถูกนำไปหักออกจากกำไรสะสมของบริษัท นั่นคือเจ้าของบริษัทหรือผู้ถือหุ้นต้องรับผิดชอบในผลขาดทุนที่เกิดขึ้น เงินกองทุนจึงเปรียบเสมือนกันชนที่ป้องกันไม่ให้กระทบเงินออมของผู้เอาประกันภัย และถ้าเงินกองทุนร่อยหรอจนถึงจุดหนึ่ง สำนักงาน คปภ.จะมีคำสั่งให้บริษัทนั้นเพิ่มทุนเพื่อดำรงเงินกองทุนให้เพียงพอต่อความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ถ้าผู้ถือหุ้นไม่สามารถหาเงินเข้ามาเพิ่มทุนได้ ทาง คปภ. จะส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาควบคุมกิจการ พร้อมสั่งให้ผู้บริหารบริษัททำแผนแกไขฐานะการเงิน รวมถึงห้ามลงทุนหรือขายกรมธรรม์เพิ่มในช่วงดังกล่าว
1
เดิมกฎหมายกำหนดให้บริษัทประกันชีวิตทุกแห่ง ต้องมีเงินกองทุนไม่น้อยกว่า 2% ของเงินทุนสำรองประกันภัย และต้องไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท แต่เนื่องจากปัจจุบันนี้ มีภัยใหม่ๆเพิ่มขึ้นมา เพิ่มจากความเสี่ยงเรื่องการรับประกันภัย เช่น ความเสี่ยงด้านการลงทุน ความเสี่ยงด้านเครดิต ความเสี่ยงด้านบริหารจัดการภายใน และความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ทำให้ปัจจุบันการดำรงเงินกองทุน ได้ใช้หลัก Risk based capital ซึ่งมีสูตรในการคำนวณที่ซับซ้อนขึ้น เพื่อให้รับกับความเสี่ยงที่แตกต่างกันของชนิดกรมธรรม์และกลุ่มลูกค้าของบริษัท ทำให้เรามั่นใจได้ว่า สำนักงานคปภ.คอยสอดส่องดูแลเงินของผู้เอาประกันเป็นอย่างดี และจะไม่รอจนมีผลเสียหายเกิดขึ้นกับเงินของผู้เอาประกันแล้วค่อยมาลงมือ แต่จะรีบเข้ามาดูแลทันทีเมื่อเห็นว่าเริ่มมีปัญหาก่อตัวขึ้น
5. กองทุนประกันชีวิต หรือ Life insurance fund เป็นองค์กรอิสระที่แยกออกมาจาก คปภ. มีฐานะเป็นนิติบุคคลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองลูกค้าหรือเจ้าหนี้ซึ่งมีสิทธิได้รับชำระหนี้ที่เกิดจากการเอาประกันภัยในกรณีบริษัทประกันชีวิตถูกเพิกถอนใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจประกันชีวิต รวมถึงลูกค้าที่ไม่ได้มารับเงินครบสัญญาหรือเงินสินไหมที่ลืมทิ้งไว้ที่บริษัทเกินกว่า 10 ปี หรือเรียกเงินนี้ว่า เงินกรมธรรม์ที่ล่วงพ้นอายุความ เงินเหล่านี้จะถูกโอนมากองทุนประกันชีวิตเพื่อตามหาเจ้าของต่อไป
อย่างไรก็ตาม หากกองทุนประกันชีวิตตามหาเจ้าของเงินมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว ยังตามตัวไม่ได้ เงินดังกล่าวจะตกเป็นของกองทุนประกันชีวิตตามกฎหมายทันที แต่ขอให้เรามั่นใจว่านั่นไม่ใช่เจตนารมย์ของกองทุนประกันชีวิต เพราะในระยะ 2-3 ปีนี้ เราได้เห็นผู้บริหารของกองทุนประกันชีวิตทำงานหนักเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ผู้เอาประกันหรือทายาทของผู้เอาประกันมาตรวจสอบเงินที่อาจตกหล่นหรือหลงเหลือในบริษัทประกันชีวิตได้ โดยเพียงเช็คมาที่
https://lifeif.appspot.com/enquiry
ดังนั้น กองทุนประกันชีวิต จึงทำหน้าที่คล้ายกับสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ที่จะรับประกันเงินออมของผู้เอาประกันที่อยู่กับบริษัทประกันชีวิต และบริษัทนั้นจู่ๆเกิดล้มขึ้นมา กองทุนประกันชีวิตจะชดเชยให้สูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อผู้เอาประกัน 1 ท่าน ตามภาระผูกพันที่บริษัทนั้นๆเป็นหนี้อยู่ อาจเป็นสินไหมที่คงค้างอยู่ หรือมูลค่าเงินสดในกรมธรรม์ ณ เวลาที่บริษัทล้มก็ได้ ทั้งนี้จะรับชดใช้หนี้ให้ไม่เกิน 1 ล้านบาท
ถามว่ากองทุนนี้นำเงินมาจากไหน ที่ทำให้สามารถมีเงินหน้าตักมารับประกันเหตุในอนาคตได้ คำตอบคือ รัฐบาลกำหนดให้บริษัทประกันชีวิตทุกแห่งต้องหักเบี้ยประกันชีวิตที่ลูกค้าแต่ละคนชำระมาในแต่ละปี ไม่เกิน 0.5% ของเบี้ยประกัน เพื่อสมทบเป็นเงินในกองทุนประกันชีวิตนี้ ฟังดูก็คงคล้ายกับผู้ขับขี่ถูกบังคับให้ซื้อประกัน พ.ร.บ. และหากมีเหตุเฉี่ยวชนบุคคลภายนอก ทางกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยจะรับประกันชดเชยเบื้องต้นให้กับผู้ประสบภัย เพื่อเป็นหลักประกันว่ามีการรับผิดชอบความเสียหายขั้นต้นแน่นอน เท่ากับมี Safety net เข้ามารองรับอีกชั้นหนึ่ง
2
เป็นอย่างไรบ้างครับ ท่านตอบได้กี่ข้อครับ ถ้าตอบได้ทุกข้อ เข้าใจแจ่มแจ้ง แสดงว่า ท่านเป็นแฟนพันธุ์แท้ แน่จริง ขอปรบมือให้อย่างจริงใจครับ
สำหรับสัปดาห์นี้ สวัสดีครับ
หมายเหตุ : ขอขอบคุณคุณพิชา สิริโยธิน ผู้อำนวยการบริหารสมาคมประกันชีวิตไทย และคุณชัชวาลย์ วยัมหสุวรรณ ผู้ทรงคุณวุฒิอาวุโส สำนักงานคปภ. สำหรับข้อมูลเรื่อง เงินสำรองประกันภัย และเงินกองทุน ครับ
Credit : บรรยง วิทยวีรศักดิ์ ประธานสมาคมที่ปรึกษาการเงินแห่งเอเชียแปซิฟิก (APFinSA)
1
25 บันทึก
20
41
25
20
41
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย