7 ส.ค. 2020 เวลา 12:00 • ธุรกิจ
มาเร็วกว่าที่คาด…Eric Schmidt อดีต CEO ของ Google ทำนาย โลกอินเทอร์เน็ตแบ่งเป็น 2 ขั้วภายใน ค.ศ.2028
แต่ โดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้มันเกิดขึ้นแล้ว!!
เรียกได้ว่า เอาแน่เอานอน ไม่ได้จริงๆ สำหรับชายที่ชื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่อยู่ที่ดีๆ ก็เซ็นต์ Executive Order สั่งแบน App TikTok ภายใน 45 วัน และที่เซอร์ไพรส์ ก็คือ แบน App WeChat ไปด้วยพร้อมกันซะอย่างนั้น
สำหรับนักธุรกิจที่ต้องเจรจาซื้อขายสินค้ากับชาวจีน คงได้ใช้ App WeChat เป็นแน่ ซึ่งต้องบอกว่า การแบน WeChat กระทบในแง่จำนวนผู้ใช้งานไม่มาก เพียงแค่ 19 ล้านคนในสหรัฐฯ ที่ใช้ WeChat แต่ต้องบอกว่าในแง่การสื่อสารค้าขาย นี่กระทบแน่นอน...
ซึ่งดูเหมือนสิ่งที่ เอริก ชมิดต์ อดีต CEO ของ Google ทำนายเอาไว้ในปี 2018 ว่าโลกอินเทอร์เนต จะถูกแบ่งเป็น 2 ขั้ว ภายในทศวรรษหน้า โดยขั้วหนึ่งจะนำโดยจีน จะเกิดขึ้นจริงแล้วในปีนี้ นี่เอง โดยคนที่ทำให้เกิดไม่ใช่จีน แต่เป็นสหรัฐฯ ที่ทนไม่ไหว กลัวโดนแซงหน้า...
เอริก ชมิดต์ ให้ความเห็นเพิ่มเติมไว้ว่าอย่างไรบ้าง และหากเราต้องเลือกข้าง เราจะทำอย่างไรดี
บทความนี้เราลองคิดไปพร้อมกัน หากพร้อมแล้ว เริ่มกันเลย
=====================
ผู้นำเข้า ส่งออก หาขนส่งมืออาชีพ
นึกถึง ZUPPORTS
=====================
1) หากจะบอกว่าเทคโนโลยี ที่เปลี่ยนแปลงโลกไปมากที่สุด ในรอบ 100 ปี และทำให้สหรัฐอเมริกา ยังครองความยิ่งใหญ่...ก็คงไม่เกินเลยที่จะสรุปว่า เทคโนโลยีนั้นก็คือ อินเทอร์เนต ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1969 เป็นโครงการวิจัยชั้นสูงของกระทรวงกลาโหม ประเทศสหรัฐอเมริกา
ARPANET 1972
2) อินเทอร์เนต ทำให้ลดต้นทุนการติดต่อสื่อสารลงอย่างมหาศาล ผู้คนสามารถแบ่งปันข้อมูลความรู้ ทำให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจ, เทคโนโลยี และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม อย่างก้าวกระโดด ยิ่งในยุคที่ “ข้อมูล” มีมูลค่ามากกว่า น้ำมัน ยิ่งทำให้อินเทอร์เนต เป็นแทบจะกลายเป็นปัจจัย ที่ 5 ไปแล้ว
3) ในยุคของ บิล คลินตัน เคยฝันที่จะใช้อินเทอร์เนต ในการบีบให้จีนต้องเปิดประเทศ กลายเป็นสังคมประชาธิปไตย...แต่ผิดคาด
จีน กลับใช้ The Great Firewall of China เซ็นเซอร์ ข้อมูลทุกอย่างที่รัฐบาลจีน ไม่อยากให้ประชาชนจีนรับรู้...กลายเป็นว่ารัฐบาลจีน รู้จักวิธีใช้อินเตอร์เน็ตให้เป็นประโยชน์ต่อการบริหารประเทศ และก็มาถึงวันนี้ที่จีนพร้อมที่จะก้าวขึ้นมาท้าทาย มหาอำนาจ อย่างสหรัฐฯ
2
4) เอริก ชมิดต์ อดีต CEO ของ Google เคยกล่าวเอาไว้ในงานเลี้ยงสังสรรค์ของนักลงทุน เมื่อ 2 ปีที่แล้วว่า
“โลกอินเทอร์เน็ต จะถูกแข่งเป็น 2 ขั้ว โดยขั้วหนึ่งนำโดยจีน และอีกขั้วหนึ่งเป็นขั้วที่ไม่ใช่จีน นำโดยสหรัฐฯ”
“พวกคุณกำลังได้เห็นพัฒนาการของสินค้าและบริการจากประเทศจีนอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่อันตรายมาก เพราะนั่นหมายถึงการที่จีนขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาด ซึ่งจะมาพร้อมการเซ็นเซอร์ และการควบคุมโดยใช้ข้อมูล…"
1
"หากคุณลองมองดูโครงการ Belt and Road ที่จีนให้เงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากกว่า 60 ประเทศทั่วโลก ก็จะเห็นได้ว่า ประเทศเหล่านั้นสูญเสียอิสระไปขนาดไหน”
5) เอริก ชมิดต์ ยังกังวล เรื่องที่จีนและรัสเซีย ร่วมกันพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI โดยไม่เพียงการนำมาใช้ประโยชน์ทางการค้าเท่านั้น แต่ที่น่ากลัวคือ เรื่องการทหาร
6) ซึ่งล่าสุด ทางสหรัฐฯ เอง ก็ได้ประกาศโครงการ “Clean Network” มีจุดมุ่งหมายที่จะป้องกันโครงสร้างพื้นฐาน และโทรคมนาคมจากจีน โดยประกอบด้วย 6 มาตรการย่อย ได้แก่
Cr. Theregister.com
หนึ่ง Clean Carrier: เครือข่ายโอเปอเรเตอร์ของจีน จะต้องไม่มีการเชื่อมต่อกับสหรัฐฯ
สอง Clean Store: ลบ App (จีน) ที่ไม่น่าเชื่อถือออกจาก App Store ของสหรัฐฯ
สาม Clean Apps: ไม่ให้สมาร์ทโฟนจากจีนที่ไม่น่าเชื่อถือ (เช่น Huawei) ติดตั้งแอปสหรัฐจากโรงงานหรือมีแอปสหรัฐให้ดาวน์โหลดในสโตร์
สี่ Clean Cloud: ป้องกันไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคล ไปจนถึงข้อมูลสำคัญและทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐ (เช่นงานวิจัยวัคซีนโควิด) ถูกนำไปเก็บหรือประมวลผลจากคลาวด์ของผู้ให้บริการจีน เช่น Alibaba, Baidu, Tencent
ห้า Clean Cable: ป้องกันไม่ให้เคเบิลใต้น้ำที่เชื่อมต่อกับสหรัฐ ถูกแทรกแซงหรือดักข่าวกรองจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน
หก Clean Path - สร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน 5G ที่ปลอดภัย
ซึ่งหากทำตามแผนจริง ก็หมายถึงการหย่าขาดทางโลกไซเบอร์ ระหว่างจีน และสหรัฐฯ อย่างชัดเจน
7) ทีนี้ก็ถึงคราวหลายประเทศ ที่ต้องถูกบังคับให้เลือกข้าง หรือบางประเทศก็เลือกอยู่แล้ว เช่น ออสเตรเลีย ก็อาจแบน TikTok ตามไปด้วย
8) เรื่องนี้จีนเอง ก็คงไม่ยอมปล่อยให้ทรัมป์ ชกอยู่ฝ่ายเดียว ซึ่งก็น่าจะสร้างความเสียหายให้ธุรกิจของอเมริกาได้มากพอสมควรลองคิดภาพ ธุรกิจสหรัฐฯ ที่พัวพันกับคนจีน ตัวอย่างเช่น
ส่วนแบ่งการ ตลาด Smartphone ในจีน
Huawei 29.5%
Apple 20.4%
Xiaomi 8%
Hisense 8%
Oppo 8%
1
Cr. Statcounter
ซึ่งหากคนจีนเกิดชาตินิยม พร้อมใจกันแบนมือถือ Apple ก็จะกระทบรายได้ของ Apple กว่า 15% หรือกว่า 1.4 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว
9) แต่จริงๆ แล้วทางสำนักข่าวของจีน ก็ต่างวิเคราะห์กันว่า ทรัมป์ทำแบบนี้ ในช่วงเวลานี้ก็เพื่อเรียกคะแนนเสียงเป็นหลัก แสดงให้คนอเมริกันเห็นว่า ทรัมป์ เป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง เหมาะที่จะเอาไว้สู้กับศัตรูที่น่ากลัวอย่างจีน...ซึ่งก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคนอเมริกัน จะคิดแบบเดียวกับทรัมป์ไหม
ทางสีจิ้นผิง ผู้นำจีนเอง ก็ยังรักษาความสงบ ยังไม่ออกหน้ามาชนกับทรัมป์ ไม่แน่ อาจไปแวะไปเยี่ยมชม เหมืองแร่ Rare Earth อีกรอบก็เป็นได้...
สำหรับไทยเอง ก็คงต้องคิดภาพไปถึงยุคล่าอาณานิคม ก็คงต้องเจรจาแบ่งรับแบ่งสู้ไปทั้งสองฝ่ายตามเดิม เวลาช้างเค้าชนกัน เราก็คงต้องหลบให้ดี
ธุรกิจเอง ก็คงพึ่งประเทศสหรัฐฯ หรือ จีน มากไปไม่ได้ จะดีที่สุดช่วงนี้ก็หาวิธีพึ่งตัวเอง หรือไม่ก็เน้นทำธุรกิจกันในภูมิภาค
คนทั่วไปในอนาคต ก็อาจได้พกมือถือทั้ง 2 ค่าย เอาไว้เล่นมันทั้งค่ายจีน และค่ายสหรัฐฯ นั่นแหล่ะ
และอาจมีคนหัวใส ทำ App ออกมาเชื่อมทั้ง 2 ค่าย ก็เป็นได้ อารมณ์ Aggregator เช่นพวก App ShopBack ที่คนสามารถเข้าไปช้อปปิ้ง ได้ทุก platform ทั้ง Lazada, Shopee, และอื่นๆ
ก็เป็นประเด็นการแบน TikTok ที่คงไม่จบง่ายๆแค่ App TikTok
เพื่อนๆ คิดว่าเราควรเตรียมตัวเอาไว้อย่างไรดี ก็แชร์กันได้เลยนะ ^^
=====================
ผู้นำเข้า ส่งออก หาขนส่งมืออาชีพ
นึกถึง ZUPPORTS
=====================
อ่านบทความย้อนหลังได้ที่
นำเข้าส่งออก สุดขอบฟ้า marketplace
โฆษณา