8 ส.ค. 2020 เวลา 07:13 • กีฬา
นับตั้งแต่ศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ใช้ระบบแพ้คัดออกตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้ายเป็นต้นไปในฤดูกาล 2003-04 นี่ถือเป็นครั้งแรกที่แชมป์พรีเมียร์ลีก, ลา ลีกา และ กัลโช่ เซเรีย อา ในซีซั่นเดียวกัน ต่างไม่สามารถผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายกันได้เลยสักทีม
แชมป์ลีกสูงสุดอังกฤษ 19 สมัยอย่าง ลิเวอร์พูล โดน แอตเลติโก มาดริด บุกถีบร่วงคาแอนฟิลด์ ตั้งแต่ก่อนที่เกมลูกหนังจะหยุดชะงักลงเพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 เสียอีก
เรอัล มาดริด ที่ทวงแชมป์ลีกแดนกระทิงดุคืนมาได้อีกครั้ง หลังโดน บาร์เซโลน่า ยึดไปนาน 2 ปีติด ก็โดน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เอาชนะทั้งไปและกลับด้วยสกอร์ 2-1
ขณะที่ ยูเวนตุส เจ้าของสถิติทีมแรกที่คว้าสคูเด็ตโต้ได้ 9 สมัยซ้อน ก็มาโดนยักษ์หลับแห่งฝรั่งเศสอย่าง โอลิมปิก ลียง ดับความหวังไปด้วยกฎประตูทีมเยือน
ครั้งสุดท้ายที่ศึก UCL รอบ 8 ทีม ปราศจากแชมป์อังกฤษ, สเปน และ อิตาลี คือฤดูกาล 2001-02 ซึ่งยังใช้ระบบรอบแบ่งกลุ่ม 2 รอบ ไม่เหมือนปัจจุบันที่รอบน็อคเอาต์เริ่มตั้งแต่ตอนเหลือ 16 ทีม
แชมป์พรีเมียร์ลีกอย่าง อาร์เซน่อล และแชมป์ เซเรีย อา อย่าง ยูเวนตุส ประจำซีซั่นนั้น อยู่ในกลุ่มเดียวกันในรอบแบ่งกลุ่มรอบ 2 แต่ก็ร่วงตกรอบไป เพราะมีคะแนนน้อยกว่าทีมอย่าง ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น และ เดปอร์ติโบ ลา กอรุนญ่า
ส่วนแชมป์ ลา ลีกา ปีนั้นอย่าง บาเลนเซีย ไม่ได้เล่นฟุตบอลรายการใหญ่สุดของยุโรป เพราะการจบฤดูกาล 2000-01 แค่อันดับ 5 ส่งผลให้ทีมค้างคาวต้องเล่น ยูฟ่า คัพ ในปีที่พวกเขาได้แชมป์ลีกสูงสุดสเปนสมัยที่ 5 ของสโมสร
เท่ากับว่าทีมที่มีโอกาสได้แชมป์ลีกควบคู่กับแชมป์ยุโรปในฤดูกาลนี้เหลือเพียง 2 ทีมเท่านั้น นั่นคือ บาเยิร์น มิวนิค จากบุนเดสลีกา และ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง จาก ลีก เอิง
ซึ่งเสือใต้กับเปแอสเช จะไม่มีทางเจอกันเอง นอกเสียจากจะเป็นคู่ชิงชนะเลิศประจำซีซั่น 2019-20
.
การร่วงตกรอบของ เรอัล มาดริด ในคืนวันศุกร์ ถือว่าไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายมากนัก จากการที่พวกเขาแพ้ แมนฯ ซิตี้ คาบ้านในเลกแรกก่อน 1-2 แถมยังขาดกัปตันทีมอย่าง เซร์คิโอ รามอส ที่ติดโทษแบนจากการโดนใบแดงในเกมที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว อีกต่างหาก
เมื่อขาดหัวใจสำคัญในแนวรับอย่าง รามอส ไป ส่งผลให้แนวรับทีมแชมป์ยุโรป 13 สมัยรวนกันทั้งแผง
แต่คนที่น่าผิดหวังที่สุดหนีไม่พ้น ราฟาแอล วาราน ที่ก่อความผิดพลาดโดยตรงสำหรับทั้ง 2 ประตูที่เสีย เมื่อแจกส้มหล่นให้ กาเบรียล เชซุส ดื้อๆ ทั้ง 2 ลูก จนดาวยิงทีมชาติบราซิลทำแอสซิสต์ 1 และยิงเองอีก 1
ไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นฟอร์มการเล่นของคนที่เป็นกองหลังตัวหลักมานานหลายปี พาทีมคว้าแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก มาแล้วถึง 4 สมัย แถมมีดีกรีระดับแชมป์ฟุตบอลโลกมาแล้วด้วยซ้ำ
วาราน ให้สัมภาษณ์หลังจบเกมว่า “ความพ่ายแพ้นี้เป็นของผม ผมต้องรับผิดชอบกับมัน”
“ผมเสียใจกับเพื่อนร่วมทีมของผมสำหรับความพยายามของพวกเขาด้วย ผมต้องรับผิดชอบกับความพ่ายแพ้ ความผิดพลาดมันมีค่าใช้จ่ายสูงสำหรับการแข่งขันระดับนี้”
“วันนี้ผมพลาด และผมต้องยอมรับ”
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากความผิดพลาดของ วาราน แล้ว ยังต้องชมหมากของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ด้วย ที่ป้องกันตั้งแต่แดนบนได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการเพรสซิ่งสูงอย่างมีประสิทธิภาพ แถมสร้างโอกาสลุ้นประตูได้หลายต่อหลายครั้ง
ตลอด 2 นัดเหย้า-เยือน ที่ แมนฯ ซิตี้ เอาชนะด้วยสกอร์ 2-1 ทั้ง 2 นัด ทีมเรือใบสีฟ้ามีโอกาสลุ้นรวมกันถึง 37 ครั้ง ส่วน เรอัล มาดริด ได้ลุ้นเพียง 18 หน
คงไม่เป็นการพูดเกินไปนัก ถ้าจะบอกว่าทีมของ ซีเนดีน ซีดาน ปราชัยแบบราบคาบ และการสกอร์รวมออกมาแพ้แค่ 2-4 ก็ถือว่าดีมากๆ สำหรับพวกเขาแล้วด้วยซ้ำ
นี่ยังถือเป็นครั้งแรกอีกด้วยที่ ซีดาน คุมทีมราชันชุดขาว ตกรอบ แชมเปี้ยนส์ ลีก
เพราะก่อนหน้านี้เขาทำสถิติเป็นกุนซือคนแรกที่พาทีมป้องกันแชมป์ UCL ได้ 3 ปีซ้อน ก่อนประกาศลาออกดื้อๆ ในปี 2018 แล้วค่อยคัมแบ็กกลับมาคุมทีมอีกครั้งช่วงปลายซีซั่นก่อน
แต่ทีมที่ตกรอบอย่างน่าผิดหวังยิ่งกว่า คงหนีไม่พ้น ยูเวนตุส
เพราะอย่างที่ผมเคยเขียนถึงพวกเขาไปก่อนหน้านี้ ว่าภายใต้การคุมทีมของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ นี่คือทีมม้าลายที่ดูขี้เหร่ที่สุดในรอบเกือบทศวรรษเลยทีเดียว
แม้จะคว้าแชมป์ เซเรีย อา ได้สำเร็จ แต่มาตรฐานตกต่ำกว่ายุคของ มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี เสียอีก
ซึ่งสไตล์การเล่นแบบ “ซาร์รี่บอล” ที่ดีแต่เคาะบอลไปมา แต่ขาดประสิทธิภาพในการเข้าทำ ทำให้ยูเว่กลายเป็นทีมที่ต้องพึ่งพาความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะแนวรุกเป็นหลัก
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในวัย 35 ปี ยังคงไว้ใจได้ในเรื่องการจบสกอร์ เมื่อเหมาคนเดียว 2 ลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประตูขึ้นนำ 2-1 จากจังหวะโยกหาเหลี่ยมซัดเต็มข้อด้วยซ้ายจากนอกกรอบเขตโทษถือว่าต้องให้ 10 คะแนนเต็ม
น่าเสียดายที่ช่วงเวลาที่เหลือ ทีมของ ซาร์รี่ ไม่อาจเจาะเกมรับอันแน่นหนาของ ลียง ภายใต้การคุมทีมของ รูดี้ การ์เซีย ได้เลย จนต้องสิ้นสุดฤดูกาลไว้เพียงเท่านี้
และมันก็เป็นอีกปีที่ จานลุยจิ บุฟฟ่อน ไปไม่ถึงฝั่งฝันแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก
ผมคิดว่า ยูเวนตุส ตกรอบแบบโชคร้ายพอสมควร เพราะพวกเขาไม่ควรจะเสียจุดโทษแบบน่ากังขาในช่วงต้นเกม ในจังหวะที่ โรดริโก้ เบนตันกูร์ น่าจะเสียบโดนบอลมากกว่าจะโดนขาของ ฮุสเซม อูอาร์ แต่ วีเออาร์ กลับไม่เช็คเหตุการณ์ให้ละเอียดซะอย่างนั้น
ถึงแม้ผู้ตัดสิน เฟลิกซ์ ซวาเยอร์ จากเยอรมนี จะแจกจุดโทษคืนให้ยูเว่ได้ตีเสมอแบบงงๆ เช่นกัน เพราะชัดเจนว่าเขาไม่ควรเป่าเป็นแฮนด์บอลของ ลียง เนื่องจากกำแพงของทีมจาก ลีก เอิง ไม่ได้เจตนากางแขนขวางลูกฟรีคิกของ มิราเล็ม ปานิช
แต่สิ่งที่เป็นตัวตัดสิน ก็คือลียงกุมความได้เปรียบจาก “ประตูทีมเยือน” ไปแล้ว
ช่วงทดเวลาบาดเจ็บครึ่งแรก กล้องจับภาพไปที่ ซาร์รี่ กำลังสบถใส่ผู้ตัดสินว่า “It’s a shame (น่าอัปยศจริงๆ)” แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจสุดๆ กับมาตรฐานของกรรมการในเกมนี้
ยูเวนตุส ยังโชคร้ายอีก ตรงที่กำลังสำคัญในการสร้างสรรค์เกมรุกอย่าง เปาโล ดีบาล่า มีสภาพร่างกายไม่พร้อมมากพอที่จะลงสนาม จากอาการเจ็บที่กล้ามเนื้อต้นขาช่วงท้ายซีซั่น
CR7 จึงต้องทำหน้าที่แบกเกมรุกของทีมมากกว่าเดิม โดยที่การเข้าทำแบบมีทีมเวิร์ค แทบไม่ปรากฏให้เห็นเลย
ถึงแม้ ซาร์รี่ จะเสี่ยงส่ง ดีบาล่า ลงสนามเป็นตัวสำรองในช่วง 20 นาทีสุดท้าย แต่เจ้าตัวก็เล่นไม่ไหว จนต้องเสียโควตาเปลี่ยนตัวไปฟรีๆ ในช่วงท้ายเกม และนั่นทำให้ ลียง ตั้งรับได้ง่ายขึ้นไปอีก จนรักษาสกอร์ได้เปรียบ และผ่านเข้ารอบจนได้
.
การที่ทีมแชมป์พรีเมียร์ลีก, ลา ลีกา และ กัลโช่ เซเรีย อา ต่างร่วงตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายกันทั้งหมด ส่งผลให้โอกาสลุ้นแชมป์ยุโรปฤดูกาลนี้เปิดกว้างสำหรับทุกทีม
บาเยิร์น มิวนิค และ เปแอสเช ต่างลุ้นทริปเปิ้ลแชมป์กันทั้งคู่ และคงจะเป็น “คู่ชิงในฝัน” ของใครหลายๆ คน
แอตเลติโก มาดริด ที่มีจุดแข็งที่เกมรับ มีความหวังลุ้นล้างอาถรรพ์รายการนี้มากยิ่งขึ้น เพราะสถิติระบุว่า ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ไม่เคยตกรอบ UCL ด้วยน้ำมือของทีมที่ไม่มี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ อยู่ในทีมมาก่อน
อตาลันต้า มีเกมรุกที่อันตรายไม่แพ้ใคร แถมฟอร์มร้อนแรงสุดๆ ในช่วงหลังจากฟุตบอลกลับมารีสตาร์ท ซึ่งการที่พวกเขาจะได้พบกับ เปแอสเช ที่ไม่มี คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ที่บาดเจ็บ แถมเป็นการเล่นที่สนามกลาง ถือว่าทีมของ จาน ปิเอโร่ กาสเปรินี่ อาจไม่เป็นรองเลยก็เป็นได้
แอร์เบ ไลป์ซิก แม้จะไม่มี ติโม แวร์เนอร์ ที่ย้ายไป เชลซี เรียบร้อยแล้ว แต่ก็มีระบบการเล่นที่ลงตัว ภายใต้การคุมทีมของ ยูเลี่ยน นาเกิลส์มันน์ ซึ่งต้องไม่ลืมว่าพวกเขาคือทีมเดียวในบุนเดสลีกา ที่ บาเยิร์น มิวนิค เอาชนะไม่ได้เลยในฤดูกาลนี้
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็มุ่งมั่นเต็มที่ และยังถูกยกให้เป็นเต็งหนึ่งของรายการ ซึ่งถ้าวันไหนพวกเขาเข้าฟอร์ม ก็พร้อมต้อนทุกทีม
ขณะที่ โอลิมปิก ลียง ที่เข้ารอบควอเตอร์ไฟนัลได้เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ก็ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก พวกเขามาไกลขนาดนี้ ถือว่าไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว
.
ตั้งแต่รอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นต้นไป ศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จะเล่นกันที่สนามกลางทุกนัด ในกรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส
ไม่มีเจ้าบ้าน ไม่มีกฎประตูทีมเยือน ไม่มีทีมไหนมีแฟนบอลเข้าไปตะโกนร้องเพลงเชียร์ และไม่มีใครได้เปรียบ-เสียเปรียบ
แต่ละรอบคือ “บอลนัดเดียว” ซึ่งอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
#เสียบสามเหลี่ยม #UCL #ChampionsLeague #Sarri #Juventus #SerieA #Ronaldo #CR7 #Dybala #Varane #Zidane #RealMadrid #ManCity #MCFC #Lyon #PremierLeague #Ligue1
ชอบกดไลค์ ถูกใจกดแชร์ และเพื่อไม่พลาดบทความคุณภาพจากเรา อย่าลืมกดไลค์เพจ และติดตามเพจแบบ See First ไว้เลยนะครับ
1
..สนใจติดต่อลงโฆษณา, สนับสนุนเพจ ติดต่อจ้างงานเขียนบทความฟุตบอล งานแปลข่าว เขียนสคริปต์สำหรับ Content ฟุตบอล หรือแปลหนังสือฟุตบอล ทักอินบ็อกซ์ สอบถามได้ตลอดเวลาครับ
โฆษณา