๒๔ ติลักขณาทิคาถา ๒ (วิปัสสนาภูมิ)
๔ เมษายน ๒๔๙๗
นโม ...
สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติ ...
พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมสำหรับพุทธบริษัทสี่ โดยทรงแยกแยะธรรมเป็นหลายประเภท ที่ยกมาแสดงนี้เป็นประเภทวิปัสสนาภูมิปาท หรือธรรมบทวิปัสสนา หลังการเสด็จดับขันธปรินิพพาน ได้มีการทำสังคายนา ดังมีความว่า
สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติ ฯ
เมื่อบุคคลเห็นตามปัญญาว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เมื่อนั้นย่อมเหนื่อยหน่ายในทุกข์ นี้เป็นหนทางหมดจดวิเศษ
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของกายมนุษย์ถึงกายอรูปพรหม ๘ กาย ล้วนไม่เที่ยง มีอายุขัยกัปป์ เช่น อายุมนุษย์ลดจาก ๑๐๐ ปีในสมัยพุทธกาล ลงเหลือ ๗๕ ปี สิ่งที่อาศัยธาตุ-อาศัยธรรม สังขารนี้ไม่เที่ยงเลย ไม่ว่าจะเป็นติณชาติ รุกขชาติ บ้านเรือน ภูเขา ฯลฯ เมื่อโลกอันตรธาน ก็ย่อยยับหมด
เมื่อเห็นตามปัญญานี้ ความถือมั่นใด ๆ ในโลกในภพย่อมไม่มี เป็นหนทางอันหมดจดวิเศษ
สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขาติ
สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์
เบญจขันธ์ของกายมนุษย์เป็นทุกข์ ตั้งแต่เด็กอยู่ในท้อง เป็นทุกข์ทั้ง ๘ กาย มีสุขบ้างเล็กน้อย เมื่อมนุษย์รู้เห็นเช่นนี้ ก็เบื่อหน่ายในทุกข์ เป็นหนทางหมดจดวิเศษ
“นึกดูเบญจขันธ์ทั้ง ๕ ของกายมนุษย์ เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ถ้าว่าคนเจ็บไข้ละก็เห็นว่าเป็นทุกข์ คนแก่ชรานั่นเห็นเป็นทุกข์จริง ๆ ถ้าว่าเป็นทุกข์จริง เป็นทุกข์ตลอด เด็กอยู่ในท้องก็ดี คลอดแล้วก็ดี เป็นเด็กเล่นโคลนเล่นทรายอยู่ก็ดี หรือรุ่นหนุ่มรุ่นสาวก็ดี หรือแก่เฒ่าชราปานใดก็ดี ถ้าว่าไม่พิจารณาตามความเป็นจริง แล้วสุขหายากนัก ทุกข์มากเป็นทุกข์จริง”
ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัว
- รูปธรรม นามธรรม ไม่ใช่ตัว
- เบญจขันธ์ทั้ง ๕ ในภพทั้งสาม คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์จริง ๆ
- ดวงธรรมที่ทําให้เป็นกายมนุษย์ - มนุษย์ละเอียดถึงพระอรหัต ก็ล้วนไม่ใช่ตัว แต่อาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อเห็นจริงลงไปดังนี้ว่า ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัว ย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ นี้เป็นหนทางหมดจดวิเศษ
เมื่อว่าไม่ใช่ตัว แล้วอะไรเป็นตัว ?
เรื่องนี้แสดงไว้เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าทรงโปรดภัททิยะราชกุมาร ๓๐ ทรงแสดงถึงตัวนี้ว่า กายมนุษย์เป็นตัวโดยสมมุติ ถึงกายอรูปพรหมละเอียด ทั้ง ๘ กาย เข้าถึงกายอรหัตละเอียด จึงเป็นพระอรหันต์ เป็นตัววิมุตติแท้ ๆ ออกจากสราคธาตุสราคธรรม เข้าถึงวิราคธาตุวิราคธรรม
“มีวิปัสสนาก็มีธรรมกาย เห็นด้วยตาธรรมกายนั่นแหละเรียกว่า วิปัสสนา แปลว่า เห็นแจ้ง เห็นวิเศษ เห็นต่าง ๆ เห็นไม่มีที่สุด เห็นด้วยตากายมนุษย์ กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายทิพย์ละเอียด กายรูปพรหม กายรูปพรหมละเอียด กายอรูปพรหม กายอรูปพรหมละเอียด เห็นเท่าไรก็เห็นไป เรียกว่าอยู่ในหน้าที่สมถะทั้งนั้น ไม่ใช่วิปัสสนา
ถ้าวิปัสสนาละก็ต้องเห็นด้วยตาธรรมกายนั่นแหละ เป็นตัววิปัสสนาจริง ๆ ละ”
ในตอนท้ายกล่าวว่า น้อยคนนักที่เข้าถึงฝั่งนิพพาน
ขยายความ
หมู่สัตว์ล้วนเลาะอยู่ในสักกายทิฏฐิ ไต่อยู่แต่กายมนุษย์นี่เอง ใจไม่พ้นกายมนุษย์ไป แม้พ้นกายมนุษย์ก็ไปไต่อยู่กับกายมนุษย์ละเอียด จนถึงอรูปพรหมละเอียด ออกจากภพไม่ได้ ได้ชื่อว่าเลาะอยู่แต่ชายฝั่งนี้ ไม่ไปถึงพระนิพพาน
“ในวัดปากน้ำนี้มีจำนวนภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ๑๕๐ กว่า แต่หมดประเทศไทย นอกจากวิชชานี้แล้ว ไม่มีใครไปนิพพานได้เลย ไปนิพพานได้ ก็แต่ธรรมกายเท่านั้น”
“พวกมีธรรมกายนั้นไปถึงนิพพาน ผู้ที่ไปถึงนิพพานแล้วมามองดูผู้ที่ไม่ไปนั่น ผู้ที่ไปนิพพานได้หาว่าผู้ที่ไม่ไปนั่นตาบอด มองไม่เห็นนิพพาน งุ่มง่ามเงอะงะอยู่ในกายเหล่านี้เอง งุ่มง่ามอยู่ในนี้เอง ตาบอดแล้วไม่รู้ว่าตัวตาบอดด้วยนะ ใช่ว่าจะรู้ตัวเมื่อไรล่ะ ? ไม่รู้เสียด้วย ถ้ารู้ตัวว่าตัวตาบอดก็รีบทำให้ตาดี ให้เข้าถึงธรรมกายให้ได้ เข้าถึงธรรมกาย ก็เป็นตาดีกัน ไม่เข้าถึงไปนิพพานไม่ได้”
เมื่อรู้จักหลัก จึงพึงปฏิบัติตามธรรมในธรรมที่ตัวเป็นพระตถาคตเจ้ากล่าวชอบแล้ว เพื่อให้ถึงนิพพาน
ธรรมอะไรที่พระตถาคตเจ้ากล่าวชอบ ?
ธรรมที่ทำให้เป็นกายต่าง ๆ จนถึงกายพระอรหันต์ เป็นสวากขาตธรรม ตัดกิเลสเป็น สมุทเฉทปหาน เมื่อไปทางนี้ ก้าวล่วงเสียซึ่ง วัฏฏะ อันได้แก่ กรรมวัฏฏ์ กิเลสวัฏฏ์ วิปากวัฏฏ์ ให้ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ ด้วยการเข้าถึงดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ใสเป็นแก้วเข้าไปเรื่อย ๆ จนเข้าถึงธรรมกายตลอดไป
ธรรมขาวเป็นอย่างไร?
กณฺหํ ธมฺมํ ฯ
อาศัยซึ่งนิพพาน ไกลจากอาลัย ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ด้วยการมีธรรมกาย และไปนิพพาน
วิเวเกฯ
ยินดีได้ด้วยยากในนิพพานอันสงัดใด
“ถ้าว่าไม่มีธรรมกายแล้ว ไปยินดีไม่ได้ ถ้าไม่ถึง ไม่รู้รสชาติของนิพพานทีเดียว
ถ้ามีธรรมกายแล้ว ยินดีนิพพานได้ นิพพานเป็นที่สงัด เป็นที่สงบ เป็นที่เงียบ เป็นที่หยุดทุกสิ่ง ถึงนิพพานแล้ว สิ่งที่ดีจริงอยู่ที่นิพพานทั้งนั้น”
ตตฺราภิรติมิจฺเฉยฺย ฯ
ละกามทั้งหลายเสียได้แล้ว เป็นผู้ไม่มีกังวลแล้ว ปรารถนายินดีจำเพาะในพระนิพพานนั้น
“พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ มุ่งนิพพานทั้งนั้น เมื่อเป็นพระอรหัตนั้น มีจำนวนเท่าไรองค์ ก็มุ่งนิพพานทั้งนั้น ตั้งแต่อนาคาก็มุ่งนิพพาน อยากจะอยู่ในนิพพาน เป็นที่เบิกบานสำราญใจ กว้างขวาง ทำให้อารมณ์กว้างขวาง ทำให้เยือกเย็น สนิท ปลอดโปร่งในใจ ทำให้สบายมากนัก นิพพาน”
ปริโยทเปยฺย ฯ
บัณฑิตผู้ดำเนินด้วยคติของปัญญา เรียกว่า คนฉลาด ชำระตนให้ผ่องแผ้ว สะอาดจากธรรมเครื่องเศร้าหมอง เหลือแต่ธรรมกายใสสะอาดเป็นชั้น ๆ ไป ตั้งแต่โคตรภูถึงอรหัต บัณฑิตนั้นย่อมไม่ถือมั่น ปล่อยเสียหมดได้
พระสูตรบทสุดท้าย มุ่งเน้นถึงตัดกิเลสเป็นพระอรหันต์ จึงเป็นธรรมทางวิปัสสนา
ขีณาสวา ฯ
บัณฑิตนั้นย่อมเป็นผู้ไม่มีอาสวะ ทั้งกามาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ ย่อมเป็นผู้โพลง รุ่งเรือง สว่าง ดับสนิทในโลก ด้วยประการดังนี้
ธรรมที่แสดงมานี้ เป็นทางวิปัสสนา โดยกล่าวมาตามปริยัติ แต่โดยทางปฏิบัติ ลึกซึ้งมาก ต้องอาศัยธรรมกายเท่านั้น เมื่อธรรมกายปรากฏ ก็เห็นธรรมตามที่กล่าวมาแล้วว่า เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขันธ์ ๕ ทั้ง ๘ กาย (ภูมิสมถะ) รวมทั้งสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก ว่าขันธ์นั้นเกิดจากธาตุจากธรรมเป็นตัวยืน ขันธ์มีกี่ชาติ ก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง และไม่ใช่ตัว และ (ดวง) ธรรมที่ทำให้เป็นขันธ์ทุกกายก็ไม่ใช่ตัว จึงปล่อยละเป็นชั้น ๆ ตั้งแต่กายหยาบเข้าหากายธรรม ถึงขั้นวิปัสสนา
ในขั้น ๘ กาย เป็นขั้นสมถะ จึงยังเข้าถึงวิปัสสนาไม่ได้
ภูมิสมถะมี ๔๐ กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสติ ๑๐ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ (กำหนดอาหารเป็นปฏิกูล) จตุธาตุววัตถาน ๑ (กำหนดธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ) พรหมวิหาร ๔ อรูปฌาน ๔
ภูมิวิปัสสนา ตาธรรมกายเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัว ประกอบด้วยขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจ ๔ ปฏิจจสมุปบาทธรรม ๑๒
ตาธรรมกายมองเห็นอริยสัจ ๔ ว่า
ทุกข์ คือ การเกิด (ชาติปิ ทุกขา คือ ความเกิดเป็นทุกข์) รวมถึงแก่ เจ็บ ตาย
เหตุเกิดทุกข์คือกามตัณหา (ความอยากได้) ภวตัณหา (ความอยากให้มีให้เป็น) วิภวตัณหา (ไม่อยากให้แปรไป)
“เหมือนเราเป็นหญิงเป็นชาย ไม่มีลูกอยากได้ลูก นั่นเป็นกามตัณหาแล้ว ได้ลูกสมเจตนาเป็นภวตัณหาขึ้นแล้ว ไม่อยากให้ลูกนั้นแปรไปเป็นอย่างอื่น นั้นเป็นวิภวตัณหาอีกแล้ว"
กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เป็นเหตุให้เกิดชาติ ต้องดับด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ถอดกันเป็นชั้น ๆ จนถึงอรหัตดับหมดเป็นตัวนิโรธ เข้าถึงมรรคจึงเข้าถึงซึ่งความดับ
ปฏิจจสมุปบาทธรรม ๑๒ ธรรมอาศัยซึ่งกันและกันเป็นแดนเกิด
โดยย่อคือ ความยึดถือมั่นในขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นทุกข์ เกิดจากอวิชชาทั้งนั้น ถ้าว่าเมื่อถึงพระอรหัตแล้ว อวิชชาหลุดหมด นี้เป็นตัววิปัสสนาชัด ๆ อย่างนี้นะ ถึงรู้จักนี้แหละตามปริยัติชัด ๆ ทีเดียว เมื่อรู้จักละก็ให้จำไว้เป็นข้อวัตรปฏิบัติ จะได้พาตนหลีกลัดลุล่วงพ้น จากวัฏฏสงสาร มีนิพพานเป็นที่ไปในเบื้องหน้า
อ้างอิงจาก หนังสือสาระสำคัญ พระธรรมเทศนา พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หน้า ๘๒ - ๘๕
โฆษณา