9 ส.ค. 2020 เวลา 04:08 • ความคิดเห็น
“แนวคิดการยึดใบขับขี่ผู้สูงอายุ.. กับนโยบายยกเลิกถุงพลาสติก”
เวลาผมขับรถตามหลังผู้สูงอายุ.. ต้องระวังครับ.. บางทีท่านขับคล่อมเลนส์บ้าง.. ขับช้าเกินไปบ้าง.. จะเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา.. ก็ไม่คล่องแคล่ว..
งึกๆ.. งักๆ.. งักๆ.. เงิ่นๆ..
ก็รำคาญใจบ้างในบางคราวนะ..
แต่พอคิดอีกที.. สักวันเราก็อาจจะเป็นแบบนี้..
คนขับรุ่นปู่ย่าตายายที่มาขับรถเดี๋ยวนี้.. เมื่อสมัยตอนเขาเป็นหนุ่ม เป็นสาว.. เขาอาจขับคล่องแคล่ว ขับเก่งกว่าเราตอนนี้เสียอีก..
แต่พอท่านอายุมากเข้า.. ก็เป็นแบบนี้เหมือนกันหมด..แม้แต่เราเอง ก็คงไม่ต่างกัน..
ผมคิดแบบนี้ ก็เลยปล่อยวางได้ครับ..
ที่สำคัญ ผมคิดว่า คนขับรถบนถนน ที่น่ากลัว น่าจะเป็นอันตรายมากกว่าคนแก่ขับมีมากมาย..
เช่น คนขับที่เมาสุรา.. และคนที่คะนองขับเร็วเกิน..
ได้ทราบมาว่า ทางการจะเรียกคนสูงอายุตั้งแต่ 70 ปี ที่มีใบขับขี่ตลอดชีพไปทดสอบสมรรถภาพเพื่อยึดใบขับขี่คืน หากทดสอบแล้วไม่ผ่านเกณฑ์..
ถ้านำมาใช้จริง. ก็น่าสงสารเขาเหล่านั้นนะครับ..
และถ้านำมาใช้จริง.. ก็คงรู้สึกหดหู่ใจกับการออกนโยบายแบบนี้..
บ่อยครั้งที่ผมไปตลาด จะเห็นคนแก่คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยายพากันขับรถมา เดินแกะแขนกับจับจ่ายซื้อของกินของใช้..
เห็นแล้วน่าชื่นใจที่ท่านสามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติ.. ไม่ใช่คนแก่มีหน้าที่ต้องอยู่เฝ้าบ้านเลี้ยงหลานเท่านั้น..
คิดดูอีกมุมหนึ่งนะครับ.. ถ้าท่านมีลูกหลานคอยดูแล.. มีคนคอยซื้อกับข้าวให้กิน..
ท่านคงไม่ต้องถ่อสังขารขับรถมาด้วยตัวเองแบบนี้..ใช่มั้ย..
ถ้าท่านเหล่านี้ จะต้องถูกยึดใบขับขี่... ก็คงเป็นเพราะเขาผิดที่เขาแก่ชรา.. ใช่มั้ย..
บางคนเขาจำเป็นนะครับ จำเป็นต้องออกมาขับเพื่อความอยู่รอด.. เขาอาจจะไม่มีลูกหลาน อยู่กันสองคนตายายก็ได้.. หรืออาจจะมีคนดูแล แต่เขาไม่ต้องการรบกวนลูกหลานก็ได้..
อะไรพอช่วยเหลือตัวเองได้ ก็ทำไปก่อน..
เห็นได้ชัดเจนว่า นโยบายยึดใบขับขี่คนแก่โดยไม่มีความผิดนี้.. เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างชัดเจน..
อาจจะละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์.. อาจจะเป็นการเลือกปฎิบัติอย่างไม่เป็นธรรมด้วยเหตุแตกต่างในเรื่อง.. อายุ..
สารพัดที่ผมจะคิดเพ้อไป..
ก็เพราะเขาไม่ได้ทำผิดอะไร..เพียงแต่เราคิดว่า เขาอาจก่อให้เกิดความเสียหายบนท้องถนนในอนาคต..
การขับรถบนถนนนั้น โดยทั่วไปแล้ว ทุกคนต้องใช้ความระมัดระวังเป็นปกติ..ระวังทั้งรถที่แล่นเร็วเกิน หรือช้าเกิน.. และแม้ระวังไม่ชนเขาแล้ว แต่เขาก็อาจจะชนเราได้..
เหตุผลที่ทางการจะใช้นโยบายนี้ เนื่องจากพบว่า มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุที่เกิดจากการขับรถยนต์ของผู้สูงอายุ..
นอกจากเหตุผลนั้น จะเป็นข้ออ้างที่ละเมิดต่อกฎหมายแล้ว ยังเป็นเหตุผลที่ปราศจากตรรกะที่ดีนะครับ..
เพราะอะไร ผมถึงกล่าวเช่นนั้น..
1. สถิติที่ว่านั้น เป็นอุบัติเหตุร้ายแรง ถึงขนาดต้องยึดใบขับขี่มั้ย.. หรือแค่ความผิดที่เกิดความเสียหายเล็กน้อย..
2. คนชราขับรถเร็วเกิน.. ผมไม่เคยเห็นนะ.. ส่วนใหญ่เขาพ้นวัยทำงานแล้ว มักพักผ่อนกับบ้าน.. ช่วงรถติด เขาก็อยากไม่ออกมาเกะกะบนถนน..
ส่วนใหญ่ก็ช่วงเย็น ออกมาจ่ายตลาด ก่อนเวลาที่จราจรคับคั่ง..
การขับช้าเกินนั้น ก็อันตราย.. แต่การขับเร็วเกินนั้น.. อันตรายกว่าหลายเท่า..
3. ที่สำคัญ.. โดยทั่วไป ศาลจะสั่งพักใช้หรือยึดใบขับขี่เมื่อคนขับกระทำผิดฐานเสพขับ เมาขับเกิดซึ่งเสี่ยงมากที่จะเกิดความเสียหายร้ายแรง..
แล้วสถิติเหล่านั้น บ่งชี้มั้ยว่า คนแก่ขับผิดกฎจราจร จนเกิดความเสียหายมากถึงขนาดต้องยึดใบขับขี่เขาเลย..
ทางการเคยนำสถิติรถจักรยานยนต์ที่แล่นผิดช่องทาง.. สถิติที่รถกระบะ รถบรรทุกสิบล้อขับซิ่ง..
สถิติรถเมล์ที่แล่นแข่งแซงกันในเลนส์ขวา.. สถิติบิ๊กไบค์ที่แผดเสียงและแล่นเร็วเกินสมควร..
สถิติที่คนเมาแล้วขับรถ.. สถิติที่วัยรุ่นแข่งรถบนถนนหลวง..
จนเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บพิการล้มตาย..
ทางการเคยนำสถิติเหล่านี้มาเปรียบเทียบมั้ยครับว่า..
คนแก่ขับรถแล้วเกิดความเสียหายร้ายแรง และเกิดขึ้นมากน้อยต่างจากกรณีเหล่านี้อย่างไร..
ทางการควรใช้มาตรการยึดใบขับขี่.. หรือเร่งรีบแก้ไขปัญหา การกระทำความผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงเหล่านั้นมากกว่า มาออกนโยบายยึดใบขับขี่อันเป็นการละเมิดสิทธิคนแก่มั้ยครับ..
ตรรกะที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร..
นโยบายที่มีผลเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนแบบนี้.. รัฐควรแสดงความรับผิดชอบและนำกลับไปทบทวนมั้ย..
การออกนโยบายแบบนี้สะท้อนให้เห็นวิสัยทัศน์ของหน่วยงานของรัฐนั้นๆ..ว่าเป็นอย่างไร..
ยุคนี้.. สังคมต้องระวังนะครับ.. มักมีการนำคำพูดสวยหรู ดูดีมาอ้างในการออกกฎหมายหรือนโยบายต่างๆบ่อยๆ..
ถ้าคนฟังไม่ใช้สติ.. ไม่ใช่ปัญญาพิจารณา และขาดองค์ความรู้ในเรื่องนั้นๆ..
ก็จะพลอยเห็นว่าดีไปด้วย.. พลอยสนับสนุนแนวคิดนั้นอย่างสุดโต่ง.. เพราะยิ่งเห็นด้วย ภาพลักษณ์ของผู้เห็นด้วย ก็ยิ่งดูดี..
ใครไม่เห็นด้วย ไม่ยอมทำตาม หรือเห็นต่างเป็นต้องถูกวิจารณ์..
การยกข้ออ้างว่า คนแก่ขับรถเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุ.. จนต้องยึดใบขับขี่เพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน..ฟังแล้วเหมือนดูดีนะครับ..
คำว่า “เพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน.. “ เป็นคำพูดที่สวยหรู ดูดีครับ..
เหมือนกับคำว่า.. “สิทธิ”.. “เสรีภาพ”.. “ประชาธิปไตย”.. “คุ้มครองเด็กและสตรี”.. “ความเสมอภาคและเท่าเทียม”.. “ความมั่นคงแห่งรัฐ”.. “ความสงบสุขของประชาชน”..
นโยบาย หรือร่างกฎหมายใดที่ผู้เสนอให้นำมาใช้แล้วอ้างคำพูดเหล่านี้ต้องระวังให้มากๆ..
ระวังว่า.. อาจจะเป็นร่างกฎหมายหรือนโยบายที่เพียงอ้างคำพูดสวยหรูมาประดับ มาเป็นเหตุผลรองรับเพื่อให้สังคมยอมรับเท่านั้น...
เมื่อได้ฟังเหตุผลคำพูดเหล่านี้.. ท่านจึงควรต้องเข้าใจแนวคิดที่มาของคำสวยหรูเหล่านั้นให้ถ่องแท้เสียก่อน.. แล้วลองคิดล่วงหน้าสิว่า..
 
“หากบังคับใช้นโยบายหรือกฎหมายนั้นแล้ว.. ผลจะเป็นอย่างไร.. ความสวยหรูเหล่านั้นจะเกิดขึ้นได้จริงมั้ย..
และแท้จริงแล้ว.. เมื่อมีการนำมาใช้. ใครจะได้ประโยชน์อะไร.. ใครจะเสียประโยชน์อะไร..”
ถ้าท่านไม่คิดพิจารณาให้ถี่ถ้วน.. คงติดยึดกับเหตุผลที่อ้างคำสวยหรูเหล่านั้น...
ท่านอาจมีแนวโน้วกดดันให้คนอื่นต้องเห็นตามโดยไม่รู้ตัว..
ถ้ามีคนไม่เห็นด้วยออกมาวิจารณ์รัฐบาลที่ออกนโยบายแบบนี้มา..
ท่านจะนิ่งเฉยเพราะเคารพสิทธิคนที่ไม่เห็นด้วย..
หรือท่านจะวิพากษ์คนที่ออกมาวิจารณ์รัฐบาล..ว่าเขาเป็นคนไม่ดี..
โดยหลงลืมไปว่า.. เขากำลังวิจารณ์รัฐบาล.. เขาไม่ได้ต้องการทะเลาะกับท่าน..
“รัฐบาล ย่อมต้องถูกวิจารณ์ได้.. เพราะประชาชนมีสิทธิแสดงความเห็น..
แต่รัฐบาลไม่มีสิทธิวิจารณ์ประชาชนที่เห็นต่างเพราะรัฐบาลไม่ใช่บุคคล.. จึงไม่มีสิทธิแสดงความเห็น..
คนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล.. มีสิทธิวิจารณ์นโยบายของรัฐโดยไม่ทีความผิด.. แต่ไม่มีสิทธิไปวิจารณ์คนที่เห็นด้วยกับรัฐ..
คนที่สนับสนุนรัฐบาล.. ก็ไม่มีสิทธิไปวิจารณ์คนที่เขาไม่เห็นด้วยกับรัฐ..
เพราะสิทธิในการแสดงความคิดเห็นนั้น เขามีไว้เพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐโดยประชาชน.. ไม่ใช่มีไว้ให้ประชาชนทะเลาะกันเองโดยไม่มีความผิด..”
วันก่อนผมไปสั่งซื้ออาหารที่ร้านไก่ทอดชื่อ เท็กซัส.. อะไรสักอย่างนี่แหละ..
จ่ายตังค์แล้ว.. ก่อนคนขายจะส่งอาหารมาให้.. ถ้าเป็นร้านอื่นเขาคงจะวางสินค้ากองไว้ตรงหน้า..
แล้วปล่อยให้เราคิดเอาเองว่า เราจะเอากลับอย่างไร..
ถ้าเราชะงัก.. ยืนคิดหาวิธีสักครู่.. เราอาจเห็นสายตาพนักงานจ้องมา.. แล้วเธอก็ถามว่า..
 
“อ้าว.. ไม่ได้เตรียมถุงมาเองหรอคะ.. ซื้อมั้ยคะ.. ที่ร้านมีขายค่ะ..”
กำลังคิดว่า จะขนสินค้ากลับไปวางในชั้นดีกว่ามั้ย.. ไม่ชอบความรู้สึกของการถูกบังคับซื้อ..
พลันก็ได้ยินเสียงความคิดของเธอ.. ดังขึ้นมาในโสตประสาทของเราว่า..
“คุณจะขนกลับไปยังไง.. มันก็เรื่องของคุณ..
ก็อยากซื้อเยอะทำไม.. ทีหลังหัดเตรียมถุงผ้ามาใส่เองบ้าง..
คนอื่นเขารักษ์โลกกันหมด.. อีตานี่ดันมาขวางโลก..
แถมยังขี้เหนียว.. กะอีแค่เงินไม่กี่บาท.. ก็ไม่ยอมซื้อถุงของร้านเรา..เชอะ..!
..ยัง ยังมาทำเป็นยืนงง.. “
555
แต่พนักงานร้านขายไก่ทอดร้านนี้.. เธอไม่ทำแบบร้านอื่นครับ..
 
เธอกลับถามผมว่า..
“รับถุงใส่อาหารมั้ยคะ... หรือเตรียมถุงมาใส่เองแล้ว..”
ผมนึกชื่นชมในใจว่า..ผู้บริหารร้านนี้เขาให้เกียรติลูกค้านะ..
เขาเข้าใจคำว่า สิทธิและเสรีภาพนะ..
เขาเคารพสิทธิคนที่เห็นต่างนะ..
ที่โพสต์มานี่ อย่าเข้าใจผิด..ว่าผมไม่รักสิ่งแวดล้อมนะครับ..
ผมไม่ได้เห็นต่าง.. ผมอ่ะรักสิ่งแวดล้อม เห็นความสำคัญของธรรมชาติเหมือนคนอื่น..
เมื่อ 20 กว่าปีก่อน.. ผมไปเรียนเมืองนอก.. ก็เห็นเขาคัดแยกขยะ.. มีถังขยะรีไซเคิลแล้ว.. ผมชื่นชมบ้านเมืองเขามาก.. อยากให้เกิดในไทยบ้าง..
ที่นั่น เวลาไปซื้อของในเหมือนร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ทั้งห้างใหญ่ห้างเล็ก.. เขาจะถามลูกค้าเหมือนกันว่า..
“จะรับถุงพลาสติก หรือถุงกระดาษดีคะ..”
กล่าวคือ ถ้าลูกค้าเห็นด้วยที่จะรักษาสิ่งแวดล้อม ก็จะขอให้ใส่ถุงกระดาษ..
แต่หากลูกค้าไม่รักษ์โลก หรืออาจะมีเหตุผลอื่น.. ก็ขอให้ใส่ถุงพลาสติก..
เขาก็พร้อมจะให้บริการ..
“แทนที่จะลดต้นทุน.. ด้วยการงดแจกถุงแบบบ้านเรา..
เขากลับยอมลดกำไร ด้วยการเพิ่มต้นทุนการผลิตทั้งถุงกระดาษและถุงพลาสติก เพื่อมาบริการตามความต้องการของลูกค้า..”
น่าชื่นชมนะครับ.. และสิ่งที่เกิดขึ้นที่ย้านเขานั้น สะท้อนให้เห็นว่า..
“เขาเข้าใจและยอมรับความเห็นต่างว่าเป็นเรื่องธรรมดา..
การเคารพสิทธิความเห็นต่างของคนอื่น..
และนี่แหละ.. คือหัวใจของความเป็นประชาธิปไตย..”
ไม่ใช่ว่า.. คำพูดที่ว่า..
“ประชาธิปไตยต้องไปเลือกตั้ง”.. “อย่านอนหลับทับสิทธิ”.. “ประชาธิปไตยเป็นของประชาชน.. เพื่อประชาชน.. โดยประชาชน..”
นั่นเป็นแค่รูปแบบ.. เป็นแค่คำพูดสวยหรูเช่นกัน..ไม่ใช่ความเข้าใจความเป็นประชาธิปไตย..
ประชานของเขาก็ทราบดีว่า..
“นโยบาย ก็คือทางเลือก”..
นโยบายไม่ใช่กฎหมาย.. และก็ไม่ใช่นโยบายเผด็จการ..
เป็นแค่การรณรงค์.. เหมือนขอให้ช่วยทำบุญ.. รัฐเขาแค่ขอความร่วมมือ.. ใครให้ความร่วมมือก็ขอบคุณ.. ใครไม่ให้ความร่วมมือก็เป็นสิทธิของเขา..
ไม่มีใครโกรธใคร..
แต่เมื่อประชาชนทำตามนโยบายไปสักพัก.. แล้วเห็นว่า มีผู้เห็นด้วยจำนวนมากกว่า.. เกิดผลดีมากขึ้น.. เขาก็เริ่มบัญญัตินโยบายนั้นออกมาเป็นกฎหมาย..
พอพนักงานร้านไก่ทอด ถามผมว่า.. จะรับถุงมั้ย..
ผมตอบว่า รับครับ.. เพราะอยากดูว่าเขาจะใส่ถุงอะไรให้..
เขาก็ใส่กล่องไก่ทอดลงในถุงพลาสติกสีขาวขุ่นครับ.. ที่ข้างถุงเขียนว่า เป็นพลาสติกรีไซเคิล..!
อีกวันหนึ่ง ผมเข้าร้านสะดวกซื้อที่ใช้นโยบายงดแจกถุงเป็นหลัก.. แต่เป็นสาขาที่ตั้งอยู่แถวถนนตัดใหม่ ย่านถนนวงแหวนฝั่งตะวันตก..
เลยกะว่าจะซื้อของไม่มาก ต้องกะให้พอหยิบจับและยัดใส่กระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างได้หมด..
พอไปจ่ายตังค์.. ก็ต้องประหลาดใจ เซอร์ไพรสมากครับ..
พนักงานรับเงินแล้ว หยิบของใส่ถุงพลาสติกส่งให้..
เป็นถุงพลาสติกสีขาวเรียบๆ.. ไม่มีตรายี่ห้อ.. ไม่มีโลโก้.. ไม่มีแม้ชื่อร้าน..
ขณะที่สายตาก็เหลือบไปเห็นถุงพลาสติกพร้อมติดป้ายราคาขายไม่กี่บาทแขวนอยู่ข้างเคาเตอร์..
“ทำไม เธอไม่เสนอขายถุงในร้าน.?”
อดใจไม่ไหว.. เลยถามเธอไปว่า..
“ที่ร้านอื่น.. สาขาอื่นเขาไม่แจกถุงกัน.. ทำไมสาขานี้.. ถึงมีถุงให้ด้วย.. บริการลูกค้าดีจังนะครับ..
แล้วสาขานี้ไม่รักษ์โลกกับเขาบ้างหรอ..”
เธอตอบว่า..
“อ้อ.. ทางผู้จัดการสาขานี้เค้าลงทุนสั่งถุงพลาสติก ชนิดที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมมาแจกลูกค้าค่ะ.. เป็นนโยบายของเฉพาะสาขานี้เท่านั้นคะคุณลูกค้า..”
อืม.. สุดยอดมั้ยครับ..
สดๆร้อนๆ.. วันนี้เองครับ..ผมเลิกงาน เลยแวะซื้อของที่ห้างชื่อดังในซอยใกล้บ้าน.. ซื้อของมาได้ 2-4 ชิ้น..
เช่นเดียวกับที่อื่น.. เขามีถุงไว้ขาย แต่ไม่มีไว้แจก..
ถือของมาเต็มสองมือ กำลังจะข้ามถนนไปขึ้นรถที่จอดฝั่งตรงข้าม..
 
บังเอิญเห็นร้านขายดอกไม้ ขายพวงมาลัย ตั้งแผงเป็นเพิงเล็กๆอยู่ริมถนน.. เลยแวะเข้าไปซื้อพวงมาลัย 3 พวง กะว่าจะเอาไปบูชาพระที่บ้าน..
คนขายหนุ่มใส่พวงมาลัยที่ผมซื้อลงในถุงพลาสติกยื่นส่งให้.. พร้อมกับถามว่า..
“พี่จะรับถุงพลาสติกใส่ของที่ถือมาด้วยมั้ยครับ.. “
แล้วทำท่าจะหยิบของที่ผมซื้อมาจากห้างใส่ถุงใบใหม่ให้..
ผมตอบปฎิเสธ.. ด้วยความเกรงใจ.. แต่เขายังถามอีกเป็น 2 ครั้งว่า จะเอาถุงใส่ของให้มั้ย..
“ไม่ครับ.. รถผมอยู่ใกล้ๆ..
แต่ขอบใจน้องมากนะ.. ขนาดในร้านใหญ่เขายังไม่ให้พี่เลย..
นี่ น้องไม่ได้ขายให้พี่ ยังอุตส่าห์มีน้ำใจ..
ต้องขอบคุณมากนะครับ..”
คนขายเขาไม่รวย.. ถุงพลาสติกเขาซื้อมา.. แม้ราคาไม่สูงมาก.. แต่ก็เป็นต้นทุนมีผลต่อกำไรรายวันของเขา..
สำหรับเพิงขายดอกไม้เล็กๆแห่งนี้.. ช่างมีน้ำใจที่ยิ่งใหญ่..
ช่วยตอบผมหน่อยครับว่า..
“ผมควรทนลำบากที่ต้องถือของที่ซื้อมาจากร้านใหญ่.. แต่ภูมิใจว่าเรารักษ์โลก.. ทั้งที่โลกก็ยังร้อนเหมือนเดิม..
แล้วชื่นชมร้านใหญ่ ที่มีส่วนอนุรักษ์ธรรมชาติ.. และอนุโมทนาบุญที่เขาได้ลดต้นทุน ทำกำไรได้มากขึ้น...
แล้วหันมาตำหนิเจ้าของเพิงหมาแหงนขายดอกไม้.. ที่มาเสนอให้ผมทำลายสิ่งแวดล้อม.. พร้อมทั้งสมน้ำหน้าที่เขาไม่ฉลาด ทำให้กำไรตนเองลดลง..”
ใครกันที่ควรได้รับคำขอบคุณ.. คำชื่นชม..
ระหว่าง ร้านค้าที่มีน้ำใจ แม้ทำให้ตนเองเสียเปรียบลูกค้า..
กับร้านค้าที่ถือนโยบายรักษ์โลก แล้วทำให้ตนเองได้เปรียบผู้บริโภค..
สรุปแล้ว ผลของนโยบายรักษ์โลก.. ถ้อยคำสวยหรู.. กับการเลิกแจกถุง.. ทำให้อะไรดีขึ้นครับ..
ใครได้.. ใครเสีย..
ผมกำลังจะบอกว่า.. นโยบายหรือคำพูดที่สวยหรู .. บางครั้ง มันอาจเป็นแค่กระแสที่ใครทำตามแล้ว จะได้การยอมรับเท่านั้นครับ..
ถ้าเอาจริง ถ้าจะรักษ์โลกจริง.. ต้องประกาศเป็นนโยบายแห่งรัฐ.. กำหนดยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน..
ทำในทุกมิติ.. เริ่มตั้งแต่การทำความเข้าใจ.. ให้ความรู้.. ปลูกฝังจนเป็นวิถีประชา.. จนเป็นนิสัย และวัฒนธรรม.. สุดท้ายออกกฎหมายมารองรับ..
แต่การทำเพียงแค่นโยบายเดียว.. ไม่ทำให้โลกเย็นขึ้นมาได้..
นโยบายลดเลิกแจกถุง.. จึงเป็นนโยบายที่แสดงให้เห็นถึง “วิสัยทัศน์” ของรัฐบาลอีกมิติหนึ่งครับ..
ทั้งนโยบายเลิกแจกถุง และนโยบายยึดใบขับขี่ของผู้สูงอายุ.. จึงมีความเหมือนกันคือ.. การสะท้อนให้เห็น “วิสัยทัศน์” ของผู้กำหนดนโยบายนั่นเอง..
นั่นคือ ข้อที่เหมือนกันของสองนโยบาย..
ส่วนที่แตกต่างกัน ก็คือ.. นโยบายเลิกแจกถุงนั้น.. แม้เป็นการสร้างภาระให้แก่ผู้บริโภคไม่มาก..
แต่ผู้ได้รับผลกระทบ คือประชาชนผู้บริโภคทั้งประเทศ..
สำหรับนโยบายยึดใบขับขี่ผู้สูงวัยนั้น.. แม้จำนวนผู้สูงวัยมีไม่มากนักเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ขับขี่ทั้งหมด..
แต่ผลกระทบต่อปู่ย่าตายายของเรานั้น.. ร้ายแรงยิ่งนัก..
นโยบายยึดใบขับขี่ผู้สูงวัยนี้.. เป็นการลงโทษ คนชรา.. เป็นการลงโทษคนโดยที่เขาไม่มีความผิด.. เป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ..
เป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์.. เป็นการบังคับให้ผู้สูงอายุต้องอยู่กับบ้านโดยปริยาย..
เป็นการเลือกปฎิบัติโดยไม่เป็นธรรม.. เป็นการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้สูงอายุ.. เป็นนโยบายที่ทารุณกรรมและตัดโอกาสการดำเนินชีวิตอันเป็นปกติสุขของผู้สูงอายุ..
พูดมาซะยืดยาว... สรุปว่า.. นโยบายนี้ทำให้ใครเดือดร้อนกันแน่..
ก็ต้องบอกว่า ผู้เขียนเองนี่ล่ะครับ ที่จะได้รับผลกระทบแบบเต็มๆ.. เดือดร้อนเป็นที่สุด.. 555
เพราะตอนนี้ ผมถือใบขับขี่ตลอดชีพอยู่.. และที่สำคัญ..
อีกไม่กี่ปี ก็จะอายุครบ 70 ปีแล้ว..
“เซ็งจริงๆครับ.. ไปซื้อของยังต้องหิ้วเองเพราะเขาไม่มีถุงแจกแล้ว..
.. ยังจะต้องมาโดนยึดใบขับขี่เอาอีตอนแก่อีก...”
เฮ้อออ... สวัสดี ประเทศไทย..
โฆษณา