9 ส.ค. 2020 เวลา 14:17 • กีฬา
ทีวีจอยักษ์ที่โรงอาหาร เมลวู้ด ถูกปิดลง หลังได้รับคำสั่งจากคนผู้เป็นเจ้านาย
ช่วงเช้าวันอังคารที่ 7 พฤษภาคม ปี 2019 บรรดาผู้เล่นนั่งรับประทานอาหารเช้ากันที่นั่นหลังจากรายงานตัวเข้าฝึกซ้อม
มันเป็นความรู้สึกเหมือนมีดปักกลางอก ทิ่มแทงกลางหัวใจ พวกเขาเห็นช็อตลูกยิงของ แว็งซองต์ กอมปานี ในนาทีที่ 70 เกมแมนฯ ซิตี้ เจอกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ซ้ำไปซ้ำมา
การลุ้นแชมป์ต้องไปวัดกันจนถึงนัดสุดท้าย ทว่า ลิเวอร์พูล ไม่ได้เป็นฝ่ายกุมความได้เปรียบอีกต่อไป ซึ่งลึก ๆ แล้ว เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็รู้ดีว่าการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก มันจบลงแล้ว
นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งรู้สึกเสียใจหรือคร่ำครวญเสียดาย คล็อปป์ จำเป็นต้องปรับความคิดผู้เล่นให้ดีขึ้นเพื่อเดินหน้าต่อในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 กับ บาร์เซโลน่า ที่ แอนฟิลด์
ไม่ว่าตามหน้าเสื่อหรืออัตราต่อรองใด ๆ แทบไม่มีมุมไหนที่จะสื่อว่า ลิเวอร์พูล กลับมาได้หลังจากแพ้ที่ คัมป์ นู ไปก่อน 0-3 และในวันที่ต้องรับมือ ลิโอเนล เมสซี่ กับผองเพื่อน เลกสอง พวกเขายังต้องลงเล่นในสภาพที่ไร้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ 2 กำลังหลักแนวรุกบนสนาม โดยฝ่ายหลังสวมเสื้อที-เชิร์ตพร้อมข้อความปลุกขวัญกำลังใจ "Never Give Up"
...
การประชุมทีมก่อนเกมที่โรงแรม โฮป สตรีท.. คล็อปป์ เอ่ยคำพูดหนึ่งถึงลูกทีมที่แสนมีความหมาย
"คนทั้งโลกบอกว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ พูดตรง ๆ มันก็อาจเป็นไปไม่ได้จริง ๆ แต่เพราะเป็นพวกคุณ เพราะพวกคุณ เราจึงยังมีโอกาสอยู่"
จอร์แดน เฮนเดอร์สัน จำความรู้สึกนั้นได้เป็นอย่างดี "เราต่างก็เดินออกจากห้องนั้นในสภาพที่ฮึกเหิมเต็มที่ และเชื่อมั่นว่าเราสามารถทำมันได้"
"ผู้จัดการทีมมักจะมีคำพูดที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสมเสมอ" คำกล่าวของที่เพิ่งได้รับบทบาทใหม่หลังจากคุยกับ คล็อปป์ เป็นเวลานานในช่วงก่อนเกมกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ที่เกิดขึ้นราว 1 เดือนก่อนหน้า
ตอนนั้น เฮนโด้ ขอเข้าพบ คล็อปป์ ด้วยตัวเอง เพราะเป็นกังวัลเกี่ยวกับอนาคต
ในการพูดคุยครั้งนั้นเขาเกลี้ยกล่อมให้เจ้านายเชื่อใจว่าตัวเองยังสามารถโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมกับบทบาทนักเตะหมายเลข 8 ที่เคยเล่นก่อนหน้านั้นได้ หลังจากที่ผ่านมา คล็อปป์ มักใช้งานในฐานะตำแหน่งหมายเลข 6 ซึ่งสุดท้าย เฮนเดอร์สัน ก็ทำประตูในเกมที่ เซนต์ แมรี่ส์ จนช่วยให้ทีมชนะ 3-1
นี่คืออีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกถึงจุดเด่นในการคุมทีมของ คล็อปป์ โดยจุดเด่นที่ว่าคือการยอมให้คนอื่นค้านความเห็นของตัวเอง
และหลังจากประชุมทีมวันนั้น สิ่งที่ตามมาเกิดเป็นหนึ่งในค่ำคืนที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ แอนฟิลด์ เคยมีมา
ดิว็อค โอริกี จุดไฟความหวัง ก่อนที่ต้นครึ่งหลัง จอร์จินโญ่ ไวนัลดุม ทำสองประตูกู้คืนช่องว่างกลับมาเท่ากัน ช่วงที่เวลาการแข่งขันเหลืออีก 11 นาที เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เล่นลูกเตะมุมที่เป็นที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร เด็กปั้นเลือดสเกาซอร์ คิดไวทำไว ผ่านบอลให้ โอริโก้ สำเร็จโทษเฉียบขาดส่งบอลไปสู่ก้นตาข่าย
จุดเกิดของการเล่นลูกนี้ มาจากการที่ คล็อปป์ และ สตาฟฟ์เห็นว่า บาร์เซโลน่า ใช้เวลานานในการตั้งโซนรับมือลูกเซต-พีซ ดังนั้นเด็กเก็บบอลที่มาจากอะคาเดมี่สโมสรจึงได้รับคำสั่งจาก เป๊ป ลินเดอร์ส ว่าให้นำบอลกลับมาเล่นให้เร็วที่สุด ซึ่ง โอ๊คลี่ย์ แคนโนเนียร์ วัย 14 ปี ก็รู้ดีว่าควรทำอย่างไร ในตอนที่ บาร์เซโลน่า เสียลูกเตะมุม และ ลิเวอร์พูล กำลังต้องการประตูตรงฝั่ง เดอะ ค็อป
มันคือความใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อย ที่เป็นผลให้เกิดความยิ่งใหญ่
...
2-3 สัปดาห์ก่อนหน้านั้น คล็อปป์ ยกย่องเด็ก ๆ ของเขาว่า เป็น “fucking mentality monsters”(สภาพจิตใจยอดเยี่ยมเหมือนสัตว์ดุร้าย) หลังจากทีมทำประตูช่วยท้ายเกมได้หลายนัดในเกมลีกจนรักษาเส้นทางลุ้นแชมป์กับ ซิตี้ ได้
บางคนว่าเกิดจากดวง หรือโชคเข้าข้าง แต่จริง ๆ ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย
"จิตวิญญาณและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมาจากผู้จัดการทีม" อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กล่าวกับ ดิ แอธเลติก
"เราได้ประตูช่วงท้ายหลายต่อหลายลูก มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกนะ เราไม่ยอมแพ้ต่อเรื่องใด ๆ และระดับความฟิตก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี"
แม้พวกเขาชนะรวด 9 นัดสุดท้าย และทำคะแนนเป็นสถิติสโมสรที่ 97 แต้ม แต่แชมป์พรีเมียร์ลีกกลับหลุดมือ ลิเวอร์พูล ไปอย่างฉิวเฉียด โดย ซาดิโอ มาเน่ และ ซาลาห์ คว้าดาวซัลโวร่วมกับ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ที่ 22 ประตู
จริง ๆ มันน่าจะเป็นเรื่องน่าผิดหวัง แต่ คล็อปป์ ก็ให้มุมมองที่ดีเกี่ยวดับสิ่งที่เกิดขึ้น
 
"นี่คือครั้งแรกที่เรามีโอกาสคว้าแชมป์ ซึ่งมันไม่ใช่ครั้งสุดท้ายของเรา" เขากำชับกับผู้เล่นก่อนที่จะทำศึกนัดสำคัญ นั่นคือเกมชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ที่กรุงมาดริด
...
ก่อนเกมที่กรุงมาดริด.. ลิเวอร์พูล ต้องเตรียมความพร้อม และทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ซึ่งตลอดช่วง 3 สัปดาห์ ถึงขนาดที่ ลินเดอร์ส ต้องจัดเกมอุ่นเครื่องแบบไม่ให้คนนอกเข้ามาดูที่ มาร์เบย่า โดยเลือกทีมสำรองของ เบนฟิก้า (เบนฟิก้า บี) มาเป็นคู่แข่ง
ซึ่งเหตุผลที่เลือก เบนฟิก้า บี ก็เพราะพวกเขามีสไตล์การเล่นและใช้แผนคล้ายกับทีมของ โปเช็ตติโน่
และในเกมที่ ว่านต๋า เมโทรโปลิตาโน่ เหล่าผู้เล่นของ ลิเวอร์พูล ไม่มีอาการประหม่าใด ๆ เลย ต่างกับปีก่อนที่กรุงเคียฟ ลิบลับ โดยที่ คล็อป์ เองก็ชิลล์มากจนถึงขั้นงีบหลับในห้องพักโรงแรม 2 ชั่วโมง ตอนช่วงบ่ายของวันที่มีการแข่งขัน
นี่คือค่ำคืนที่ ลิเวอร์พูล ก้าวจากพระรองไปเป็นพระเอกที่ได้ชูถ้วยแชมป์จริง ๆ เสียที และ คล็อปป์ ก็หยุดสถิติแพ้นัดชิงชนะเลิศในฐานะกุนซือเอาไว้ที่ 6 นัดติดต่อกัน
"เราได้แชมป์สมัยที่ 6 กันแล้วพวก" (Let’s talk about six, baby) เขาพูดพร้อมรอยยิ้มหลังประตูลูกจุดโทษช่วงต้นเกมของ ซาลาห์ และ โอริกี ในนาทีที่ 87 พา ลิเวอร์พูล ไปสู่แชมป์ยุโรป สมัยที่ 6
"คุณเคยเห็นทีมแบบนี้มาก่อนไหม ทีมที่สู้อย่างหนักจนไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกแล้วอย่างนี้น่ะ? พวกเขายอมเจ็บปวดเพื่อผม พวกเขาสมควรได้รับแชมป์มากกว่าใครทั้งนั้น มันเป็นฤดูกาลที่ดุเดือดที่มีตอนจบงดงามที่สุดเท่าที่ผมจะพอจินตนาการได้"
ก่อนหน้าที่ คล็อปป์ จะพูดประโยคนี้ บรรดานักเตะต่างร่วมกันอุ้มและโยนเจ้านายคนนี้อยู่หลายหน เพื่อเป็นการชูเชิดชูชายที่มีความเชื่อมั่นและปลดล็อกศักยภาพของพวกเขาได้
"เราสามารถพูดถึงการที่เขาเป็นโค้ชที่เก่งมากแค่ไหนตลอดทั้งวันก็ยังได้ แต่ความรักระหว่าง เจอร์เก้น กับลูกทีมของเขาที่มันชัดเจนจนคุณสามารถสัมผัสได้เลยว่าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ" ทอม เวอร์เนอร์ ประธานสโมสร เผยกับ ดิ แอธเลติก
"ถ้าเกิดเขาไม่ได้เป็นผู้จัดการทีมชั้นยอดแล้วล่ะก็ ผมคิดว่า เจอร์เก้น สามารถเป็นนักจิตวิทยาที่ยอดเยี่ยมได้เลย เขาทำให้นักเตะเล่นด้วยฟอร์มที่ดีที่สุดได้"
...
การเฉลิมฉลองภายในคลับ ณ ยูโรสตาร์ส โรงแรมหรูกลางกรุงมาดริด ลากยาวไปยันหัวรุ่ง
ช่วงหนึ่งในงานปาร์ตี้คืนนั้น คล็อปป์ แสดงออกตามสไตล์ของตัวเอง เขาพาเพื่อนซี้อย่าง คัมปิโน่ ศิลปินร็อกชาวเยอรมัน เข้าไปในห้องห้องหนึ่งเพื่ออัดเพลงที่แต่งขึ้นมาแบบสด ๆ เหมือนที่เคยทำแบบนี้ในเกมที่กรุงเคียฟเมื่อ 1 ปีก่อน แต่คราวนี้ความหมายมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง
We’re sending greetings from Madrid, (เราส่งความยินดีมาจาก มาดริด)
Tonight we made it number six, (คืนนี้ เราคว้าแชมป์ได้เป็นสมัยที่ 6)
We brought it back to Liverpool (เรานำมันกลับมาที่ ลิเวอร์พูล)
Because we promised we would do (เพราะเราเคยสัญญาไว้ว่าเราจะทำได้)
...
กองเชียร์มากกว่า 500,000 คนออกมากันเต็มถนนเพื่อร่วมฉลองขวนพาเหรดหลังจากวันที่คว้าแชมป์
"ถ้าคุณสามารถเอาอารมณ์, ความตื่นเต้น, ความรักที่ล่องลอยอยู่ในอากาศของวันนั้นยัดใส่ขวดได้แล้วล่ะก็ โลกนี้ก็คงน่าอยู่ขึ้นเยอะเลย" คล็อปป์ เผยความในใจ
การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกก่อนหน้านี้ของ ลิเวอร์พูล มักจะเริ่มต้นได้ดีแต่สุดท้ายก็จบลงแบบเลวร้าย เหมือนเป็นวนลูปเกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา
แทนที่พวกเขาจะได้สานต่อฟอร์มช่วงที่ลุ้นแชมป์ แต่กลับมีบรรดาผู้เล่นคนดังทยอยย้ายออกจากทีม มิหนำซ้ำในตลาดเสริมทัพยังทำพลาดอีกครั้งแล้วครั้งเล่า
อย่างไรก็ตาม หนนี้ ลิเวอร์พูล ไม่ยอมพลาดแบบนั้นอีกแล้ว
ช่วงซัมเมอร์อันเงียบสงัด เมื่อปี 2019 ไม่มีผู้เล่นระดับสตาร์เข้ามา แต่บรรดาตัวหลักของ คล็อปป์ ต่างได้รับการต่อสัญญาระยะยาวกับทีมออกไป
คล็อปป์ ทำภารกิจเปลี่ยน แอนฟิลด์ ให้เป็นสถานที่ที่ผู้เล่นระดับโลกอยากเล่นที่นี่จนแขวนสตั๊ด ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ทางผ่านเพื่อย้ายไปอยู่ทีมยักษ์ใหญ่ระดับทวีปยุโรป
เขาบอกกับเด็ก ๆ ของตัวเองว่าฟอร์มในตอนนี้ยังไม่ใช่ฟอร์มที่ดีที่สุด นักเตะชุดนี้ยังเติบโตและสามารถพัฒนาขึ้นได้อีก ซึ่งความเอาจริงเอาจังและคุณภาพของการซ้อม เป็นการตอกย้ำถึงความมั่นใจของสตาฟฟ์ได้ดีว่าโมเมนตัมของทีมยังคงอยู่เหมือนเดิม
"มาทำตัวให้กระหายเข้าไว้ดีกว่า" (Let’s be greedy) คือข้อความที่ คล็อปป์ เอ่ยปากในตอนที่เขาเรียกลูกทีมมารวมตัวกันในช่วงเดือนกรกฎาคม
"การได้แชมป์ทำให้เรามีความเชื่อมั่นอย่างมาก มันทำให้คุณมีความเชื่อในการทำทุกอย่าง ในจิตใต้สำนึก คุณจะรู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้น มีความกระหายที่จะอยากได้แชมป์มากกว่าเดิม" ลินเดอร์ส ระบุ
...
ช่วงการลุ้นแชมป์ ซีซั่น 2018/19 ลิเวอร์พูล ทำแต้มหล่นถึง 7 แต้มตอนเข้าสู่ช่วงปีใหม่ ความวิตกกังวลสอดแรกเข้าไปอยู่ทั้งในห้องแต่งตัวและบนอัฒจันทร์ ราวกับว่าพวกเขาเกิดความกลัวว่าจะเสียของที่อยากได้มาก ๆ ไป
แต่หนนี้มันไม่เกิดขึ้นเป็นคำรบที่สอง
คล็อปป์ ทำเรื่องเล็ก ๆ ให้ดูมีความหมายต่อทีม..
เขาดึง ลี ริชาร์ดสัน นักจิตวิทยาด้านกีฬาเข้ามาเป็นหนึ่งในทีมงานสตาฟฟ์ และยังนำ เซบาสเตียน สตอยด์เนอร์ นักกระดานโต้คลื่นชาวเยอรมัน มาพูดคุยกับลูกทีมในเรื่องการรับมือภาวะกดดัน, ความวิตกกังวล และเทคนิคการหายใจ ตอนช่วงปรีซีซั่น 2019
มาคราวนี้บรรดาคู่แข่งโดนความดุดันและความโหดแบบคงเส้นคงวาของ ลิเวอร์พูล เล่นงานแบบย่อยยับ
พวกเขาเล่นกันได้อย่างกับคนที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด, เล่นเหมือนผู้ชนะอย่างแท้จริง แถมยังมีความดุดันราวอันธพาล และบางครั้งก็เอาตัวรอดจากสถานการณ์คับขันได้แบบหวุดหวิด
สถิติทั้งหลายพังทลายย่อยยับด้วยผลงานของ ลิเวอร์พูล
ลูกทีมของ คล็อปป์ เก็บได้ 79 คะแนนจาก 81 แต้ม(27 นัด ชนะ 26 เสมอ 1)
ไม่แพ้ใครบนลีกสูงสุดนานที่สุดเป็นอันดับที่สอง และเทียบเคียงคว้าชัยติดต่อกัน 18 นัดเท่าสถิติเดิม
เท่านั้นไม่พอ พวกเขายังช่วยกันคว้าแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และฟุตบอลสโมสรโลก ขณะที่ คล็อปป์ ก็ได้รับรางวัลโค้ชยอดเยี่ยมแห่งปี 2019 ของฟีฟ่า
การที่ แอนฟิลด์ กำลังมีอนาคตที่สดใสรออยู่ก็พาให้ คล็อปป์ ตื่นเต้นจนตัดสินใจต่อสัญญาเพิ่มอีก 2 ปี ทั้งที่เดิมทีเขาเคยคิดจะพักผ่อนจากการทำงานเมื่อสัญญาเดิมหมดลงในปี 2022
"มาพยายามทำให้นี่เป็นช่วงเวลาดีที่สุดในชีวิตของเรากันดีกว่า" คล็อปป์ ประกาศก้อง
...
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่ คล็อปป์ ว่าไว้นั้น คือการทำให้ ลิเวอร์พูล ยุติการรอคอยแชมป์ลีกสมัยที่ 19 ที่ยาวนานมา 30 ปีสิ้นสุดลง
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม สตีเว่น เจอร์ราร์ด ตำนานคนซื่อสัตย์ของสโมสรถึงอยากให้มีการสร้างรูปปั้น คล็อปป์ เอาไว้ที่ แอนฟิลด์
"สำหรับผมแล้วคนอย่าง เจอร์เก้น สมควรจะได้รับรางวัลตอบแทนแล้ว ในกีฬาฟุตบอล ดูเหมือนว่ากว่าที่ความสำเร็จของพวกเขาจะได้รับการยอมรับอย่างเต็มที่มันก็มักจะต้องรอจนกว่าคนเราจะแก่ขึ้นในระดับหนึ่ง"
"แต่ผมรู้ดีว่าเจ้าของทีม ลิเวอร์พูล คงไม่ปล่อยให้มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ ๆ ตอนที่ เจอร์เก้น พาทีมคว้าแชมป์ลีกมาครองได้พวกเขาก็คงเริ่มสั่งทำรูปปั้นของเขาทันทีเลยล่ะ" เจอร์ราร์ด กล่าว
เรื่องการเสริมทัพที่ชาญฉลาด, พัฒนาการด้านแท็กติกที่ยอดเยี่ยม และความเชี่ยวชาญด้านการบริหารคน ทุกสิ่งอย่างล้วนอยู่ในตัวของ คล็อปป์
การแจ้งเกิดของ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จนเป็นคู่หูฟูลแบ็กที่ยอดเยี่ยมที่สุดในทวีปยุโรป
อลีสซง ที่ทำผลงานชั้นยอดตรงหน้าปากประตู, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, โจ โกเมซ และ โฌแอล มาติป เล่นเกมรับได้แข็งแกร่ง
ขณะเดียวกัน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ่, จอร์จินโญ่ ไวนัลดุม, เจมส์ มิลเนอร์ และ อเล็กซ์ อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ต่างมีพลังงาน, ความกระตือรือร้น เต็มเปี่ยม
ส่วน โม ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ก็มีศักยภาพในตัวเองที่เข้าขั้นสูงสุด ๆ
ลองเปรียบเทียบนักเตะเหล่านี้ช่วงก่อนมาอยู่กับทีม กับสิ่งที่พวกเขาเป็นในตอนนี้ และพิจารณาถึงความยอดเยี่ยมของขุมกำลังที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันดู
มันเป็นความพยายามของส่วนรวมที่ยอดเยี่ยมก็จริง แต่ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าจุดกำเนิดของการคืนชีพ "หงส์แดง" ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เกิดจากการทำงานที่ดีเอามาก ๆ ของคนคนหนึ่ง
 
คนที่ว่าก็คือ เจอร์เก้น คล็อปป์ อัจฉริยะชูกำปั้น ผู้เปลี่ยนฝันให้เป็นจริง...
Jurgen Klopp – the fist-pumping genius who turned dreams into reality
Ref. The Athletic
#JurgenKlopp #Liverpool #Champions19 #hossalonso #BootRoom
ซีรีย์บอสอันนี้ใช้เวลาแปลและเรียบเรียงนานมาก ดีใจสุด ๆ ที่สุดท้ายก็เขียนได้จนจบ 555 ขอบคุณทุกการติดตามครับ
โฆษณา