9 ส.ค. 2020 เวลา 17:24 • บันเทิง
ในวันที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป
เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไปอะไรหลายๆอย่างก็เปลี่ยนไป
แม้กระทั่งสิ่งที่เราทำหรือดำเนินอยู่ ช่วงชีวิตในการ
เป็นดาราเด็กในชีวิตของผมนั้นเป็นเหมือนประสบการณ์
ชีวิตที่มีค่ามาก มันทำให้ผมได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย
ทั้งเรื่องการทำงานในวงการ ระบบของการถ่ายทำ
รวมถึงหลายๆเรื่อง อาจจะเพราะตอนนั้นยังเด็กแล้ว
ก็อยากรู้อยากเห็นไปซะทุกอย่าง จึงไปไล่ถามพี่ๆทีมงาน
ตั้งแต่ช่างไฟยันตากล้องก็ทำให้ได้ความรู้และเห็นถึง
ขั้นตอนต่างๆของการทำงาน แต่นั่นก็เป็นเพียงส่วนหนึ่ง
เท่านั้น สิ่งที่เราต้องผชิญและเรียนรู้นั่นคือการใช้ชีวิต
ในวงการบันเทิง การทำงานทั้งที่เรายังเด็กอยู่ มีอยู่จุดนึ
งที่ได้เรียนรู้อะไรมากมายนั่นคือตอนที่โด่งดังมากๆ
มีแต่คนชื่นชมเอ็นดู พอเวลาเริ่มผ่านไปเราเริ่มโตขึ้น
บวกกับต้องเรียนก็เริ่มเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ผมเอง
ก็เกเรบ้างตามประสาเด็กผู้ชายแต่สิ่งที่เราต้องเจอ
ต้องเรียนรู้ และรับมือกับมันนั่นคือ “คำวิจารณ์และ
คำเปรียบเทียบ”
ซึ่งในช่วงแรก (ในตอนที่ยังเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น) ตอนนั้น
ก็มีความรู้สึกน้อยใจในตัวเองบ้างที่เราไม่ได้ไปต่อ
ในวงการ ได้ยินคำพูดจิกกัดมากมายจากคนรอบข้าง
“ดังเรื่องเดียวหรอวะ? ทำไมมึงไม่ดังแบบไอ้แจ๊ควะ?
มึงตกอับรึไงวะ?” บางคนเข้าขั้นล้อหรือเยาะเย้ยเลยก็มี
ผมต้องเจอกับคำพูดต่างๆที่ทิ่มแทงตัวเองในช่วงที่ยัง
อ่อนต่อโลก ซึ่งตัวผมเองก็ทำตัวปกติทั่วไปเหมือนคน
ธรรมดาๆคนนึง ก็โดนมองว่ากระจอก!ดาราอะไรไม่มี
รถขับว่ะ มันเลยเกิดคำถามขึ้นมาในใจของตัวเองว่า
“ดาราแม่งต้องรวยหรอวะ?” กูก็คนธรรมดาคนนึงที่ต้อง
หาเลี้ยงชีพเหมือนคนทั่วไป พอมาในยุคที่ไม่ได้เรียนและ
จริงจังกับแนวทางศิลปะกับงานฝีมือ ผมขายของข้างถนน
ซึ่งผมมองว่าผมทำอาชีพสุจริตมันผิดตรงไหน? ทำไมพวก
คุณไม่มองในสิ่งที่ผมทำล่ะ? พวกคุณยึดติดกับภาพลักษณ์
ที่ว่าดาราต้องรวย ต้องหรูดูไฮโซ บางคนอย่างเช่นตัว
ผมเองกลับชอบงานที่ทำในทางเดินของตัวเอง งานแสดง
คืองานเสริมเพราะเราไม่ได้ดังเหมือนเมื่อก่อน ตรงนี้เรา
ต้องปรับตัวเราเองด้วยยอมรับมันกับความเป็นจริงและ
อยู่กับมันให้ได้ บางคนกลับจมไม่ลงยังคงเพ้อว่าตัวเอง
ยังเป็นดาราอยู่ ซึ่งตัวผมเองตั้งแต่ยังเด็กก็ไม่เคยคิดว่า
ตัวเองเป็นดารา เราเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสเข้า
ไปทำงานในวงการบันเทิงก็เท่านั้นเอง ยังคงมีคนที่ชื่นชม
และเอ็นดูเราอยู่ คนที่ติดตามผลงานเราก็ยังคงมีอยู่เรื่อยมา
เราเองก็เดินทางของเราทำในสิ่งที่เรารักหาเลี้ยงตัวเอง สร้างสรรค์ผลงานให้กับผู้ที่ชื่นชอบและอุดหนุนเราก็เท่านั้น
หลังจากที่ใช้ชีวิตมามากมายประสบการณ์ที่ผ่านมามัน
สั่งสอนตัวเรา รวมทั้งคำแนะนำ คำสอนของผู้ใหญ่หรือครู
อาจารย์ก็ทำให้เรานำมาปรับและดำเนินชีวิตต่อไปอย่าง
มีสติและความคิดมากขึ้น
ผมเองก็อยากจะฝากเอาไว้ (ฝากในแง่ของมุมมองของ
ตัวผมเองไม่ได้สอน) ว่าอย่าไปยึดติดหรือหลงระเริงกับ
สิ่งที่เราได้พบในจุดที่สูงมากนัก หากวันนึงเราต้องลงมา
อยู่ในจุดที่เราไม่มีให้นึกถึงตอนที่เรายังเป็นคนปกติอยู่
เราก็อยู่ได้นี่ บางครั้งการที่ถูกเอาใจหรือตามใจมาก
เกินไปก็อาจจะทำให้เคยตัวหรือหลงไปกับสิ่งนั้น พอหลัง
จากหมดยุคนั้นไปกลับรับไม่ได้ผมกลับมองว่ามันตลก
และน่าสมเพช ใช้ชีวิตให้เหมือนกับคนปกติทั่วไปไม่ว่าเรา
จะทำอาชีพอะไรเราก็คือคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง
ปล.นี่เป็นทั้งประสบการณ์ของตัวผมเองและมุมมอง
ที่อยากจะเล่ามันออกมาเท่านั้นครับ
ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเฉพาะตัวบุคคล
ด้วยความเคารพครับ
THANNA FILM
เรื่องเล่าจากตัวเองในอดีต
ติดตามผลงานได้ที่ด้านล่างนี้ครับ 🙏🏻
โฆษณา