13 ส.ค. 2020 เวลา 04:32 • กีฬา
ให้คะแนนเสื้อใหม่ลิเวอร์พูลแบรนด์ Nike ที่โดนคนตำหนิกันค่อนเมือง คำถามคือมันแย่อย่างที่เขาวิจารณ์กันจริงหรือไม่ วิเคราะห์บอลจริงจังตัดเกรดให้อ่าน
ลิเวอร์พูลเปลี่ยนแบรนด์เสื้อแข่งขันจาก New Balance มาเป็น Nike อย่างเป็นทางการ เริ่มต้นจากฤดูกาลนี้เป็นต้นไป
เรื่องผลกำไรที่สโมสรจะได้รับ แน่นอนว่า "มหาศาล" กว่าเดิม เงินกินเปล่าได้แน่ๆปีละ 30 ล้านปอนด์ ขณะที่ยอดขายเสื้อทั่วโลกไม่ว่าไนกี้จะขายกี่ตัวต้องแบ่ง 20% เข้าสโมสร
ไนกี้วางราคาขายเสื้อแข่งแบบจำลอง (Replica) ราคา 2,900 บาท เท่ากับว่า 20% คือ 580 บาท ก็จะถูกส่งตรงเข้าสโมสร ขณะที่เสื้อเกรด Player ขายกันอยู่ที่ 4,600 บาท นั่นเท่ากับสโมสรจะได้เงิน 920 บาท ต่อการซื้อขาย 1 ตัว
เรื่องยอดขายไม่ต้องพูดถึง บอกได้คำเดียวว่า ถล่มทลาย เสื้อของทีมแชมป์พรีเมียร์ลีกใครๆก็อยากได้อยู่แล้ว ถ้าไปเดินในสโตร์ของลิเวอร์พูล ณ ปัจจุบัน เกรด Player คือ Sold Out ไปแล้ว ต้องรอล็อตใหม่เข้ามา
เมื่อวานแอดมินไปที่ลิเวอร์พูล ออฟฟิเชียล สโตร์ ที่พัทยา ปรากฏว่า ก็ Sold Out เช่นกัน นั่นแสดงว่าคนไทยสามารถเปย์ซื้อเสื้อราคาเกือบครึ่งหมื่นได้สบายๆ เพื่อทำการซัพพอร์ททีมหงส์แดงที่ตัวเองรัก
เมื่อวันก่อน ไนกี้ ประเทศไทย ส่งเสื้อลิเวอร์พูลแบบ Replica มาให้ผม เพื่อให้ผมรีวิวว่า "คิดอย่างไร" กับเสื้อแข่งในซีซั่นนี้
ซึ่งต้องขอขอบคุณมากนะครับ กับความกรุณาของไนกี้ ที่มีต่อวิเคราะห์บอลจริงจังเสมอมา แต่ความเห็นของผมกับเสื้อลิเวอร์พูลในปีนี้คือ มันควรออกแบบได้ดีกว่านี้
การมียอดขายถล่มทลาย ไม่ได้แปลว่าไนกี้ออกแบบเจ๋งมาก จนคนต้องรีบควักเงินซื้อทันที แต่เพราะแฟนลิเวอร์พูลอยากมีเสื้อในซีซั่นใหม่ หลังจากที่ทีมได้แชมป์ลีกต่างหาก
การได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ตามด้วยพรีเมียร์ลีก มันทำให้แบรนด์ของลิเวอร์พูลตอนนี้แข็งแรงมาก เอาจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อยี่ห้อไหน ก็การันตียอดขายได้เลยว่าสูงลิ่วแน่ๆ
ไม่ปฏิเสธนะ ว่าเสื้อตัวใหม่ มองไปเรื่อยๆก็สวย แต่นั่นคือการมองไปนานๆ หลายๆที จนเราคุ้นชิน ก็เลยคิดว่าเออ มันก็พอดูดีอยู่นะ แต่ถ้ามองแว้บแรก มันไม่มีลูกเล่นอะไรเลย เรียบแบบเรียบจริงๆ
เสื้อแดง เรียบๆ อักษรสีขาว ขลิบขาวกับเขียว (Teal) มันแค่นี้เลยจริงๆ
อย่างปีก่อนซีซั่น 2019-20 ได้รับการยกย่องว่าเป็นเสื้อทีมเหย้าที่ออกแบบลงตัวมากที่สุดครั้งหนึ่ง ซึ่งนิวบาลานซ์อธิบายชัดเจนมากว่า ใช้การออกแบบ เพื่อ Tribute บ็อบ เพสลีย์ อดีตผู้จัดการทีมของสโมสร ในวาระที่เพสลีย์มีอายุครบ 100 ปี (ถ้ายังมีชีวิตอยู่)
โดยเสื้อจะเป็นเส้นลายทาง (Pinstripe) เป็นการย้อนยุค ถึงซีซั่น 1982-83 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่เพสลีย์เป็นผู้จัดการทีม และหงส์แดงได้แชมป์ลีกสมัยที่ 14 ในปีนั้น
ในอดีตเสื้อเหย้าของสโมสร จะเปลี่ยนทุกๆ 3 ปี ดังนั้นเสื้อลาย Pinstripe จึงถูกใช้ในซีซั่น 1982-83, 1983-84 และ 1984-85 ซึ่งในช่วง 3 ปีนี้ ลิเวอร์พูลได้ 2 แชมป์ลีกสูงสุด และ 1 แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ
การออกแบบของนิวบาลานซ์ยังมีนัยยะแฝงคือ เป็นแรงกระตุ้นให้ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกสูงสุดให้ได้ เหมือนกับรุ่นพี่เมื่อเกือบ 40 ปีก่อน ที่ใส่ลายทางแล้วคว้าแชมป์ลีกได้อย่างยิ่งใหญ่
ส่วน ด้านหลังคอเสื้อ และโลโก้ LFC เลือกใช้สีทอง เพื่อสดุดีแชมป์ยุโรป มีความ Grand ดูมีคลาสกว่าเสื้อปกติ
นั่นคือการออกแบบของนิวบาลานซ์ในปีสุดท้ายซึ่งไม่แปลกใจเลยที่ จะได้รับคำชมเยอะมากๆ ทีนี้เราตัดภาพมาที่ไนกี้บ้าง โอเคล่ะ ก่อนที่จะไปตัดสินว่าเขาออกแบบเรียบง่ายเกินไปหรือไม่ ผมก็พยายามไปตีโจทย์ของไนกี้ก่อน ว่าเขาคิดอะไรอยู่
ไนกี้อธิบายแบบนี้ครับว่า "ลิเวอร์พูลเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรม เราต้องการผสมผสานความโมเดิร์น กับความคลาสสิคเอาไว้ในชุดนี้ ดังนั้นการออกแบบของเราจึงต้องการนำเสนออนาคต แต่ไม่ลืมที่จะนึกถึงอดีต"
เป็นคำตอบที่ครอบจักรวาลมาก ไม่อธิบายชัดเจนว่าเอ๊ะ มัน Refer ถึงอะไร มีความหมายว่าอะไรกันแน่
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ทำไมเลือกใช้สีเขียวแบบ Teal มีเหตุผลอะไรอยู่เบื้องหลัง ทางไนกี้ตอบว่า "เอามาจาก Crest หรือโลโก้ดั้งเดิมของลิเวอร์พูล"
จำภาพโลโก้หลักของหงส์แดงได้ไหมครับ ที่มีคำว่า You'll never walk alone น่ะ เราจะเห็นว่ามันจะมีสีแดง ขาว เขียว อยู่ ซึ่งทางไนกี้บอกว่าใช้โลโก้ตรงนี้แหละ เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ
ถามว่าแปลกใหม่ไหม? คำตอบคือไม่ เพราะลิเวอร์พูลเคยใช้ขลิบสี Teal มาแล้ว ในเสื้อซีซั่น 1993-94 โดยตอนนั้นแบรนด์เสื้อคืออาดิดาส
ผมชอบที่หนังสือพิมพ์ลิเวอร์พูล เอ็คโค่ ได้เปิดใจถามไนกี้ตรงๆเลยว่า "ถามจริงๆว่าคุณมีการปรึกษาใครสักคนที่เกี่ยวข้องกับสโมสรหรือเปล่า ก่อนจะเปิดตัวเสื้อแข่งขันตัวนี้"
ทางไนกี้ตอบว่า "แน่นอน เรากับลิเวอร์พูลคือพาร์ทเนอร์กัน และเราปรึกษากับสโมสรทุกขั้นตอน"
ความเห็นของผมกับเสื้อดีไซน์นี้ของไนกี้ คือ "ก็โอเค" สีแดงมีความสดขึ้นกว่าเดิม เหมือนที่ฟาน ไดค์บอกตอนเปิดตัวนั่นแหละครับ ว่า "It's Fire!" (มันช่างร้อนแรงเหลือเกิน) ต่างจากเสื้อปีก่อนที่มีความแดงอมเข้มมากกว่า ส่วนคอวีก็เก๋ดี มีความทันสมัย คือมันก็ไม่ได้แย่อะไรนะ
แต่ส่วนตัวคิดว่าระดับไนกี้ ออกแบบให้ดีกว่านี้ได้เยอะเลย สามารถหากิมมิคในเชิงประวัติศาสตร์มาดีไซน์ได้มากกว่านี้
คือโอเค ยังไงด้วยความเป็นลิเวอร์พูลมันก็ขายได้แหละ แต่ถ้าถามใจจริงๆคือ การเปิดตัวของไนกี้ปีแรก น่าจะออกแบบให้ปังยิ่งกว่านี้
ขณะที่ประเด็นของ สโลแกนเสื้อแข่งขันปีนี้ ใช้คำว่า Tell us never หลายคน ก็คงงงว่ามันแปลว่าอะไร
แปลตรงๆคือ "บอกเราว่าไม่มีทาง" คือมันไม่สามารถแปลเป็นคำที่สละสลวยได้ (ยกเว้นว่าจะตีความเอาเอง)
ไม่ใช่แค่คนไทยที่งงนะครับ คนอังกฤษเองก็งง ว่ามันแปลว่าอะไร อันนี้คือถ้าให้เดาในมุมไนกี้ คงต้องการจะสื่อว่า
Never tell us never (อย่าบอกเราว่าไม่มีวันทำได้) ถ้าใส่ Never เข้าไปข้างหน้าแบบนี้ ก็จะเข้าใจเลย บางทีไนกี้ อาจจะคิดว่าใช้ Never สองคำมันเยอะไป ก็เลยตัดคำหน้าทิ้งซะ
หรือไม่ก็ใช้คำว่า Don't tell us never ซึ่งแปลเหมือนข้างบน แต่ตัดคำว่า Don't ออก เพื่อให้รวบรัดเรียกง่าย
ปัญหาคือพอไนกี้ ไม่ใช้คำว่า Never tell us never หรือ Don't tell us never แต่เลือกใช้แค่ Tell us never มันเลยโดดๆ ดูแปลกหูกว่าที่ควรจะเป็น
หรือจริงๆจะใช้คำว่า Tell us never? ใส่เควสชั่นมาร์กไปหน่อยให้สื่อว่า "คิดว่าฉันจะไม่มีวันทำได้หรอ?" แบบนี้ก็ยังพอจะเข้าใจง่ายกว่านะ
จุดที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ตอนเปิดตัวเสื้อใหม่ ไนกี้ไปซื้อพื้นที่สื่อ คือหนังสือพิมพ์ลิเวอร์พูลเอ็คโค่ 1 หน้า แล้วเขียนว่า
"It felt like at times it might never come true, but like you we don't listen to never"
แปลว่า มันเหมือนกับว่าไนกี้กับลิเวอร์พูล เกือบจะไมได้ร่วมงานกันแล้ว แต่เราก็เหมือนพวกคุณ คือเราจะไม่มีวันฟังคำว่าเป็นไปไม่ได้ (never)
ซึ่งแฟนๆลิเวอร์พูลก็แซวกันว่า ทำไมไนกี้ดูจะเกลียดคำว่า Never จังเลย ทั้งๆที่สโลแกนของสโมสรคือ You'll never walk alone ก็มีคำว่า Never อยู่ในนั้นนะ
ในภาพรวมแฟนๆ ที่อังกฤษไม่ชอบสโลแกนนี้ เพราะมันไม่สื่อถึงความเป็นลิเวอร์พูลเท่าไหร่
คือเข้าใจนะ ว่าทางไนกี้ จะพยายามบอกว่าลิเวอร์พูลเป็นทีมที่เอาชนะความเป็นไปไม่ได้ตลอดเวลา อย่างแชมเปี้ยนส์ลีกตามหลังบาร์ซ่า 3-0 ก็กลับมาชนะได้ หรือตอนได้ 97 แต้มแล้วยังไม่ได้แชมป์ มีแต่คนบอกว่าหงส์คงไม่มีวันไปถึงแชมป์ได้หรอก แต่ปีต่อมาพวกเขาก็ทำได้
แต่มันก็ยังเป็นสโลแกนที่ไม่โดนอยู่ดี โดยก็อปปี้ไรเตอร์ชาวอังกฤษคนหนึ่งวิจารณ์ว่า สโลแกนนี้เป็น A Big miss. A Balotelli level miss (ความผิดพลาดครั้งใหญ่ พลาดในระดับซื้อตัวบาโลเตลลี่)
อันนี้คือความเห็นส่วนตัวของผมคนเดียวนะครับ ไม่สามารถเอาไปเป็นเกณฑ์วัดอะไรได้ทั้งสิ้นนะครับ ผมคิดอย่างไร ก็แค่บอกเล่าในมุมผู้บริโภค และแฟนบอลคนหนึ่งเท่านั้นครับ
เรื่องของดีไซน์เสื้อ จริงๆมันลางเนื้อลางยา บางคนอาจจะชอบมาก โดนใจ บางคนอาจจะไม่ชอบ ซึ่งก็อยู่ที่ความรู้สึกของแต่ละคน เพียงแต่สำหรับผมคิดว่า การออกแบบในปีแรก น่าจะมีกิมมิคอะไรมากกว่านี้
ในมือที่ผมมีอยู่คือเสื้อแบบ Replica ก็เรียบๆไม่มีอะไรโดดเด่น เอาไว้ได้ลองใส่เกรด Player แล้วจะมาบอกอีกครั้งว่ามันดีกว่ากันเยอะๆเลยหรือไม่
ขณะที่ราคาซื้อ 2,900 บาทได้แค่เสื้อจำลอง (Replica) แพงไหม? ก็ถือว่าแพงนะ แต่ท้ายที่สุดมันก็อยู่ที่ความพอใจของผู้ซื้อนะครับ ถ้าคนชอบอาจจะคิดว่ามันสมราคาก็ได้
ส่วนเรื่องสโลแกน Tell us never ผมคิดว่ายังไม่โดนเท่าไหร่ ปีหน้าไนกี้อาจจะสร้างคำใหม่ที่ Touch กับใจแฟนลิเวอร์พูลได้มากขึ้นกว่านี้อีก
สรุปโดยรวมความสวยของเสื้อ และความหมายของแคมเปญ ก็พอผ่านเกณฑ์ แต่ถ้าลองคิดว่า อุตส่าห์ทุ่มทุนมหาศาลเพื่อเซ็นสัญญากับลิเวอร์พูลได้แล้วล่ะก็นะ
ด้วยความเคารพ และรักในแบรนด์ไนกี้เสมอมา แต่บอกตรงๆ มันทำให้ประทับใจมากกว่านี้ได้นะ
[ ตัดเกรดเสื้อแข่งลิเวอร์พูล 2020-21] - 6.5/10
โฆษณา