#ชามือ...ชาเท้า..บอกอะไร
#ขอบคุณคำถาม Inbox
"...อายุ 55 ปี มีอาการชามือ ชาเท้า อ่อนเพลียง่าย ปวดบั้นเอวบ่อยๆ รู้สึกตัวบวมๆ มีเสลดในอกในคอตลอดเวลา ถ้าเดินชนอะไรเล็กน้อยก็จะช้ำตามเนื้อตามตัวง่าย
มีโรคประจำตัว คือ เบาหวาน จากการตรวจค่าการทำงานของไต คุณหมอแผนปัจจุบันแจ้งว่าประสิทธิภาพการทำงานของไตอยู่ที่ร้อยละ 65
จะดูแลตนเองเพื่อแก้ไขปัญหาการชามือ ชาเท้า อย่างไรดี..."
🌳อาการชามือ ชาเท้า ในทางการแพทย์แผนไทย เกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ
อาทิ
1) เกิดจากพฤติกรรมการทำงาน หรือ ใช้ร่างกายเกินกำลังต่อเนื่องมายาวนาน จนกล้ามเนื้อ (มังสัง) เส้นเอ็น (นหารู) พังผืด (กิโลมกัง) บริเวณ คอ บ่า ไหล่ (กรณีชาแขน) หรือ บริเวณ สะโพก ต้นขา น่อง ข้อเท้า (กรณีชาเท้า) เกิดการตึง แข็ง จับตัวกันเป็นลำ เป็นก้อน เป็นปม หรือดึงรั้งจนเสียรูป ทำให้ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดลม ไปยังปลายมือ ปลายเท้า ติดขัด (ลมอังคมังคานุสารีวาตาหย่อน : ลมพัดทั่วตัวพัดได้ไม่ตลอด) จึงมีอาการชามือ ชาเท้า หากมีอาการตามข้อนี้ การนวดรักษาเป็นสิ่งที่จำเป็นร่วมกับการปรับพฤติกรรมอื่นๆ
2) กรณีคำถาม มีอาการชามือ ชาเท้า อ่อนเพลียง่าย ปวดบั้นเอวบ่อยๆ ตัวบวม มีเสลดในอกในคอตลอดเวลา และช้ำง่าย รวมถึงมีโรคประจำตัว คือ เบาหวาน และ ประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลง
พิจารณาตามเหตุปัจจัย อาการชาปลายมือปลายเท้า มีสาเหตุมาจากระบบไหลเวียนเลือด (โลหิตตัง) เป็นหลัก การเป็นเบาหวาน แสดงว่าในระบบไหลเวียนเลือดมีของเสีย (กรีสัง :น้ำตาล) ตกค้างในเลือดมากจนหนืดข้น ทำให้ไหลเวียนไปได้ไม่ดี ติดขัด
หากเลือดมีความหนืดข้น ติดขัดมากขึ้นเรื่อยๆ (เพราะของเสียสะสมเพิ่มมากขึ้น) จะทำให้เกิดความร้อนสะสมในระบบไหลเวียนสูงตามไปด้วย ยิ่งของเสียตกค้างในเลือดมากเท่าไหร่ ไต (ปิหกัง) ซึ่งทำหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกายก็ยิ่งทำงานหนักมากขึ้นเท่านั้น เมื่อนานวันเข้า ไตทำงานไม่ไหวก็เสื่อมสภาพลง ของเสียก็จะเริ่มตกค้างในเซลทุกส่วนของร่างกายทำให้เกิดการบวม ความร้อนสูงขึ้นทั่วร่างกาย (กำเดากำเริบ) เนื้อตัวช้ำง่าย หากกดดูตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เนื้อจะมีความนิ่ม เหลว กดแล้วคืนตัวช้า
นอกจากนี้ ในทางการแพทย์แผนไทย ท่านกล่าวไว้ว่าหาก ไต (ปิหกัง) พิการ (ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ) จะก่อให้เกิดอาการ "ขัดในอก แน่นในอก ท้องพอง อ่อนเพลียเป็นกาลัง" ที่เป็นเช่นนี้เพราะความร้อนจากระบบไหลเวียนเลือดลม คั่งค้างอยู่ด้านบน จนทำให้สารเหลวในทรวงอก (อุระเสมหะ) ที่ช่วยหล่อเลี้ยงอวัยวะให้ชุ่มชื้น ป้องกันเนื้อเยื่อที่ปอด (ปับผาสัง) เหือดแห้งลงทำให้มีเสลดในอกในคอ
🌳แนวทางในการดูแลตนเอง
1) การปรับพฤติกรรม การกิน เพื่อลดการสะสมของเสียในระบบไหลเวียนเลือด เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง โดยควรลดอาหารรสหวาน ข้าว แป้ง ลงให้มากๆ โดยเฉพาะข้าว แป้ง ที่ผ่านการแปรรูป เช่น ขนมปัง เบเกอรี เป็นต้น ลดการกินอาหารที่จะก่อความร้อนสูงในร่างกาย เช่น อาหารหมักดอง เนื้อสัตว์ย่อยยากเป็นต้น
2) ดื่มน้ำเปล่าไม่เย็น ให้ได้อย่างน้อย 2.5 ลิตร/วัน แบบทยอยดื่มทั้งวัน
3) การนวด(อย่างนิ่มนวลเพื่อเพิ่มการไหลเวียน) การยืดเหยียดร่างกาย การแกว่งแขน ควรทำทุกวันเช้าเย็น วันละ 15-20 นาที เพื่อช่วยให้การไหลเวียนดีขึ้น (สืบค้นท่ายืดเหยียดได้ในเพจ #ปันสุข-ภูมิปัญญาสุขภาพไทย)
4) เข้ากระโจม อบสมุนไพร เพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนและขับของเสียจากร่างกายออกทางรูขุมขน สัปดาห์ละ 1 ครั้ง (ดูรายละเอียดในเพจ #ปันสุข-ภูมิปัญญาสุขภาพไทย)
5) สมุนไพรที่ใช้ร่วมกับการปรับพฤติกรรม เพื่อลดน้ำตาล ขับปัสสาวะ และช่วยการทำงานของไตได้ดี เช่น
5.1) ชาตะไคร้ (ทั้งต้น) 2-3 ต้น +ใบเตย (ทั้งต้น+ราก ยาว 2 คืบ ใบเตย 3-5 ใบ)
-วิธีทำ ล้างสมุนไพรให้สะอาด ทุบพอแตก นำมาต้มกับน้ำ 2 ลิตร ดื่มแทนน้ำสัปดาห์ละ 3-4 วัน เพื่อช่วยขับปัสสาวะ และช่วยการทำงานของไต (ดื่มสัปดาห์เว้นสัปดาห์)
5.2) ชาใบสัก (ใบกลางแก่กลางอ่อน) + ใบเตย
-วิธีทำ นำใบสัก และใบเตย สัดส่วนเท่ากันมาหั่นฝอยตากแดด คั่วให้หอม แล้วเก็บไว้ชงเป็นชาดื่ม โดยใช้ ใบสัก 1-2 ช้อนโต๊ะ ใบเตย 1 ช้อนโต๊ะ ชงกับน้ำร้อน ดื่มขณะอุ่นจัด ตอนท้องว่าง วันละ 3 แก้วกาแฟ ดื่มติดต่อกัน 1 เดือน (สืบค้นการทำชาใบสัก ใบเตยได้ที่เพจ #แก๊งค์ปันสุข)
🏵️หมายเหตุ สรรพคุณสมุนไพร🏵️
๑. สัก ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่
-ใบ รสเฝื่อน แก้พิษเสมหะ แก้พิษโลหิต
-เนื้อไม้ รสเผ็ดเล็กน้อย บำรุงโลหิต แก้อ่อนเพลีย แก้ไอ ขับลมในกระดูก แก้บวม ขับปัสสาวะ คุมธาตุ
๒. เตยหอม
-ใบ รสเย็นหอม บำรุงหัวใจ ดับพิษไข้ ชูกำลัง
-รากและต้น รสจืดหอม แก้กระษัย,ไตพิการ ขับปัสสาวะ
๓. ตะไคร้
-ลำต้นและเหง้าแก่ รสปร่ากลิ่นหอม บำรุงไฟธาตุ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ ขับลมในลำไส้ ทำให้เจริญอาหาร แก้คาว
#ปันสุข By หมอปรางค์
หมอเวชกรรมแผนไทย, หมอผดุงครรภ์ไทย
#แก๊งค์ปันสุข
==============================
ขอบคุณภาพจาก Internet
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
