14 ส.ค. 2020 เวลา 05:34 • กีฬา
"The street will never forget"
เป็นประโยคที่แฟนบอลต่างประเทศมักจะหยิบยกขึ้นมาใช้ในยามที่พูดถึงเหตุการณ์ ทีม หรือผู้เล่นที่เคยเป็นที่พูดถึงในอดีต ที่ทุกคนไม่มีวันลืม
ซึ่งในโลกของฟุตบอลแล้วแน่นอนว่า มีเหตุการณ์ หรือนักฟุตบอลที่ตราตรึงใจแฟนบอลเยอะแยะเต็มไปหมด ดังนั้น The street will never forget จะเป็นซีรีย์บทความใหม่ของทางเพจ ที่จะพาทุกคนไปย้อนถึงผู้เล่นหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ไปพร้อมกัน
ในวันนี้ Ep.1 เราจะมาพูดถึงนักเตะคนหนึ่งที่เข้าข่ายกับประโยคดังกล่าวเป็นอย่างมากคือ มิเกล เปเรซ กูเอสตา หรือที่เรารู้จักในชื่อของ "มิชู"
ย้อนกลับไปในฤดูกาล 2012-13
การขายกูร์ฟี่ ซิกูสันไปให้สเปอร์ ทำให้สวอนซีต้องหาคนที่จะมาเติมเต็มช่องว่างระหว่างกองกลางเเละกองหน้า
จึงนำมาสู่หนึ่งในการซื้อตัวผู้เล่นที่ว่ากันว่าคุ้มค่ามากที่สุดคนหนึ่งของฤดูกาล ซึ่งได้แก่ “มิชู” ด้วยราคาค่าตัวเพียง 2 ล้านปอนด์ เเต่ตะบันให้กับสวอนซีไปถึง 22 ลูกรวมทุกรายการ (43 นัด) พาทัพหงส์ขาวจบที่ 9 ในพรีเมียร์ลีกและผงาดคว้าเเชมป์ลีกคัพได้เป็นครั้งเเรกของสโมสรในรอบ 101 ปี
รวมทั้งด้วยฟอร์มอันร้อนเเรงนี้ ทำให้เขาถูกเรียกติดทีมชาติสเปน และเเน่นอนว่าหลังจากจบฤดูกาลนั้น เขาคือผู้เล่นที่เนื้อหอมมากที่สุดในตลาดซื้อขาย บรรดาบิ๊กทีมต่างจับจ้องที่จะคว้าตัวไปร่วมทีม
แต่ท้ายสุดแล้วทางสวอนซีต้องการที่จะเก็บเขาไว้เพื่อช่วยทีมในการลงเล่นยูโรป้าลีกฤดูกาลถัดไป
ทว่าฤดูกาลถัดมาเขากลับถูกปัญหาอาการบาดเจ็บเล่นงานที่ข้อเท้าขวาทำให้กราฟชีวิตการค้าเเข้งของเขาเริ่มตกต่ำลงเรื่อย ๆ
สถิติการลงเล่น
- สวอนซี 2013-14 : ลงเล่นรวม 24 นัด ยิง 6 ประตู ทุกรายการ
- นาโปลี 2014-15 : ลงเล่นรวม 6 นัด ยิง 0 ทุกรายการ
ในช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา มิชูถูกอาการบาดเจ็บเล่นงานที่ข้อเท้าขวาของเขาอยู่เรื่อยมาจนทำให้ไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่ากลับคืนมาได้
จนในฤดูกาล 2015-16 มิชูต้องมาเริ่มต้นใหม่ถึงดิวิชั่น 4 ของสเปน กับทีมลานเกรโอ
หากถามว่าด้วยชื่อเสียงของมิชู ณ ตอนนั้น มันย่ำเเย่ถึงขนาดต้องมาเล่นในดิวิชั่น 4 ของสเปนเลยหรือ
คำตอบก็คือ “ไม่”
ได้ชื่อว่ามิชู ต่อให้ร่างกายมีการบาดเจ็บติดตัวอยู่ ยังไงก็ต้องมีทีมในระดับที่สูงกว่านั้นพร้อมเสี่ยง และยื่นข้อเสนอมาให้พิจารณาอยู่เเล้ว
แต่สำหรับมิชูแล้ว การที่จะเรียกฟอร์มีที่ดีกลับมาได้นั้น หาใช่การลงเล่นในลีกระดับสูง แต่สิ่งสำคัญคือการเริ่มต้นโดยมาจากจิตใจที่สมบูรณ์แข็งเเกร่ง
ด้วยความวุ่นวายจากอาการบาดเจ็บในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้สภาพจิตใจของมิชูนั้นไม่ค่อยดีมากนัก
หนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้เขาย้ายมาร่วมทีมลานเกรโอคือการที่มีพี่ชายของเขา เอร์นาน เปเรซ เป็นกุนซืออยู่ที่นี่
ซึ่งหลังจากที่มิชูย้ายมาร่วมทีม ทางพี่ชายก็ให้สัมภาษณ์ว่าเขาจะนำพามิชูคนเดิมกลับมาอีกครั้งให้ได้
จนในที่สุดฤดูกาลถัดมา (16-17) เขาได้กลับมาเล่นฟุตบอลในระดับที่สูงขึ้น เซ็นสัญญาร่วมทีม เรอัลโอเบียโด้ ในศึกเซกุนด้า ดิวิชั่น (หรือดิวิชั่น 2 ของสเปน) ด้วยวัย 31 ปี
ซึ่งเรอัลโอเบียโด้นั้นก็เป็นสโมสรแรกในอาชีพการค้าเเข้งของมิชูอีกด้วย ซึ่งมิชูได้ลงเล่นไปทั้งสิ้น 27 เกม ยิงได้ 1 ประตู แต่เมื่อจบฤดูกาล มิชูก็ได้ประกาศแขวนสตั๊ด เนื่องจากอาการบาดเจ็บเรื้อรังที่ข้อเท้าขวา จนไม่สามารถเล่นฟุตบอลอาชีพได้อีกต่อไป
แต่ถึงกระนั้น ช่วงเวลาเพียงหนึ่งฤดูกาลในปี 2012-13 ที่เป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา ก็เพียงพอที่จะทำให้ใครหลายคนจดจำเขาได้มาจนถึงทุกวันนี้
โดยจากการรายงานของ BBC หนึ่งในคนที่จดจำและยกให้มิชูเป็นไอดอลลูกหนังนั้น ก็คือดาวรุ่งพุ่งแรงของยุคปัจจุบันอย่าง “เออร์ลิง เบราต์ ฮาแลนด์” กองหน้าชาวนอร์เวย์วัย 20 ปี
ชื่นชอบขนาดที่ว่าฮาแลนด์เคยลงรูปในอินสตาร์แกรมเมื่อปี 2016 แล้วแท็กที่ตนเองให้เป็นชื่อของมิชู
ด้วยรูปร่างที่สูงยาว เท้าซ้ายที่เฉียบคม และตำแหน่งการเล่นที่เป็นตัวรุกเช่นเดียวกัน ก็ต้องบอกว่าทั้งคู่มีความละม้ายคล้ายคลึงกันอยู่พอสมควร
สุดท้ายนี้คงต้องขอยืมแคปชั่นที่มิชูโพสต์ผ่าน Twitter เมื่อถึงคราที่ต้องแขวนสตั๊ด มาเป็นประโยคปิดท้ายของ The street will never forget EP.1 นี้
“Thanks for the memories”
“ขอบคุณสำหรับความทรงจำ”
⚽️
ขอบคุณรูปภาพจาก Facebook : Miguel Pérez Cuesta "Michu"
โฆษณา