15 ส.ค. 2020 เวลา 03:40 • ไลฟ์สไตล์
สิ่งที่น่าเสียดายที่สุด ไม่ใช่คำว่า " ไม่มีโอกาส " แต่เป็นคำว่า " เคยมีโอกาส "
1
เปิดไปเจอในสมุดบันทึกเล่มหนึ่ง เคยจดบันทึกประโยคนี้ไว้ด้วย
แล้วพอได้อ่านก็มีภาพเก่าย้อนเข้ามาอีกครั้ง
การได้จดประโยคนี้มาก็เพราะ ครั้งหนึ่งเคยเอาตัวเข้าไปใช้เวลาช่วงหนึ่งในชีวิต
ในวงการงานที่เราเคยปฏิเสธและคิดว่า ไม่มีทางเอาตัวไปทำแบบนั้นได้อย่างแน่นอน เพราะเราเป็นคนที่อ่านและฟังเกี่ยวกับงานแบบนี้มามาก ในมุมที่ค่อนไปทางแย่
แต่ในวันหนึ่งด้วยอะไรหลายอย่าง ทำให้เราตัดสินใจเอาตัวเข้าไปในนั้น
ด้วยคำว่า " ให้โอกาสตัวเองได้ลองสิ่งใหม่ๆ " ทั้งที่ตอนนั้นเราก็รู้แหละว่ามันคืองานแบบไหน แต่ก็เต็มใจเอาตัวเข้าไป ด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยากลอง ก็เข้าไปรันวงการ
ก็ทำตามที่เขาบอกให้ทำต่างๆ นานา ก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็ทำไปจนรู้ตัวอีกทีคือการที่เรา ลาออกจากงานประจำ เพราะคิดว่าจะเอาดีทางนี้คิดว่าตัวเองจะไปในทางนี้ได้ คิดว่าตัวเองเก่งพอ ต้องยอมรับว่าตอนนั้นมันได้จริงๆ และเราเอาตัวเข้าไปใส่ในงานนั้น ได้พบกับคนที่เขาทำได้จริงๆ ในงานนั้นพอเห็นว่าเขาทำได้ ก็ลืมตัวคิดไปเองว่าเราเองก็คงทำได้บ้าง
ความจริงคือกำลังหลงกับการได้ในครั้งแรกสองครั้งแรก และคิดเอาเองว่าถ้าทำเท่านี้ไปเรื่อย ๆ ก็คงได้อีกเหมือนเดิม แล้วความจริงก็กระแทกหน้า เมื่อเอาตัวไปทำอย่างจริงจังเกินตัว ทำเท่าเดิมไปเรื่อย ๆ มันไม่ได้เพิ่มมากขึ้นเลย อย่างที่คิด
เพราะเราทำแต่เราทำแบบเดิม เหมือนเดิม มันไม่แปลกใหม่แล้ว
มันกลายเป็นเราเกลื่อนไปกับผู้คนที่เพิ่มเข้ามามากมาย เรากลายเป็นคนเกลื่อน ๆ ที่ไม่ได้ไปไหน
แล้วด้วยความที่ตัวเองทำไปน่าสักสามสี่เดือนต่อเนื่องแล้ว แต่กลับไม่มีผลลัพท์
อย่างที่คาดคิดไว้เลย เรายิ่งทำยิ่งเหนื่อย เพราะมันไม่ใช่เราเลยที่จะทำแบบนั้น
เรามีความเป็นมนุษย์โลกส่วนตัวสูง แต่การทำงานแบบนี้จะต้องเข้าหาคนก่อน
แล้วความเป็นเรา ที่เป็นทำให้ร่างกายมันบอกเราว่าไม่ไหว เราป่วยก็ไม่หนักหรอก
แต่การป่วยที่ต้องนอนอยู่คนเดียวในห้องสี่เหลี่ยม ทำให้เกิดความกลัวว่าเราจะตาย อย่างเดียวดาย โดยไม่มีใครรู้แน่นอน เพราะเราทำงานที่แม้จะมีเพื่อนร่วมงานมาก
แต่เราก็ไม่ได้คุยกับเขาได้ทุกเรื่องทุกครั้งที่มีปัญหา เพราะเราทำงานที่บ้าน
ถ้าจะเจอต้องไปที่ออฟฟิศเท่านั้น ซึ่งพอไปแต่ละครั้งก็คือการเดินทางที่ต้องใช้เงินทำให้เราค่อย ๆ ถอยออกมา ทบทวนตัวเองในเดือนที่หกที่ทำอยู่อย่างนั้น เราได้เงินแต่ละเดือนแค่จ่ายค่าห้องเช่าเท่านั้น กินข้าวได้วันละมื้อ
สุดท้ายก็คือ เราไปต่อไม่ได้ด้วยแล้ว เราบอกเขาว่าเราจะกลับมาทำงานที่บ้าน เพราะตอนนั้นเอง บริษัทก็กำลังขยายสาขามาที่บ้านเกิดเรา ก็เลยเหมาะกับช่วงเวลาพอดี กับเวลาที่ออฟฟิศเปิดใหม่ ก็เลยยังพอมีหวังเล็กๆ ว่าถ้าทำงานใกล้ ๆ บ้านเรา เราก็ประหยัดค่าเดินทาง การกินอยู่ ก็ไม่มีค่าเช่า อาจจะดีกว่า ก็ตัดสินใจกลับมาอยู่ที่บ้าน
เริ่มทำที่บ้าน แต่ก็เพราะการอยู่บ้านที่มันก็ไม่มีใครมากำหนดกฏว่าจะต้องทำงานเวลานี้นะ เราก็ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง เพราะการที่ไม่ได้อยู่บ้านมานานหลายปีมาก ที่ออกจากบ้าน ทำงานนอกบ้าน นอนที่ทำงานมาตลอดตั้งแต่เริ่มทำงาน พอได้กลับมาทำงานที่บ้าน ที่ไม่มีความเป็นที่ทำงานได้เลย
จบสุดท้าย หนึ่งปีผ่านไป ที่ทำงานมา ไม่ได้อะไรกลับมาเป็นชิ้นเป็นอัน เราไม่สามารถทำแบบนี้อยู่กับมันไปในทุกวันได้
นั่นแหละ เราก็หายไปจากงานนั้น ที่อยากรู้ อยากลอง จนเอาตัวเข้าไปก็ได้รับผลกลับมาพบว่ามันไม่ใช่ที่สำหรับเรา
การเอาตัวเข้าไปรู้ไปลองใช่ว่าไม่ดี อย่างดีที่สุดที่ได้รับกลับมาคือการรู้ รู้ว่าที่ไหนที่ไม่ใช่ที่ของเราจริงๆ แค่เราได้เพื่อนเพิิ่มมาแม้จะไม่เพื่อนที่จะยาวนาน แต่ก็ช่วยเราได้ ณ ช่วงเวลานั้นจริงๆ
งานคือส่วนหนึ่งของชีวิตสำหรับเรา เพราะถ้าเราไม่ได้ทำงาน เราก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตไปเพื่ออะไร เพื่อใคร มันดีที่ได้โอกาส แล้วได้ทำมันแม้ว่าผลจะไม่ใช่ ก็ยังได้รู้ว่านี่ไม่ใช่นะ
ก็เอามาเล่าให้ฟัง เป็นช่วงหนึ่งของชีวิตที่ได้ทำมัน มันไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ ไม่ใช่ว่างานมันจะเลือกเรา อย่างที่เราเลือกมัน มีโอกาสก็ทำไป ผลจะเป็นแบบไหนก็ช่างมัน ทำไปให้รู้ ว่าใช่หรือไม่ใช่ เวลาจะบอกเราเอง แหละมั้ง? ว่าใช่หรือไม่ใช่
เราอาจจะเหมาะกับงานบางอย่าง ทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเหมาะกับงานแบบไหนที่สุด ก็ยังตามหามองหาสิ่งที่จะทำให้เรามีความสุขกับการตื่นมาทำมันได้ในทุกวัน
ถามว่าเจอหรือยัง คำตอบก็มี แค่มันยังไม่ชัดเจน เรากำลังทำมันไปเรื่อยๆ สะสมความรู้ไป ลงมือทำบ้างแล้ว ก็ล้มไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังหาทางแก้ปัญหาที่เจอว่าจะไปทางไหนได้อีก ที่จะทำให้ไปได้ต่อ ก็ลงมือทำไปหลายอย่างพร้อม ๆ กัน ตามแต่เวลา โอกาสจะอำนวยเรา มีแบบแผนที่ไม่มีแบบแผน ทำไปแก้ไป
นั่นแหละคืองานที่ทำอยู่ตอนนี้
โฆษณา