15 ส.ค. 2020 เวลา 11:33 • การศึกษา
สรุปหนังสือ เศรษฐกิจโลก 1000 ปี (Part 1/2)
สุดยอดหนังสือจากฝีมือการร้อยเรียงของลงทุนแมน
1000 ปีแรก
1. ยุคกลาง ค.ส. 1100 – ค.ศ. 1299
โลกมีประชากรประมาณ 400 ล้านคน, 100 ล้านอยู่ที่จีน 90ล้านอยู่ที่ อินเดีย มีเพียง 60 ล้านคน อยู่ที่ทวีปยุโรป
เป็นยุคหลังจากโรมันล่มสลาย ดินแดนถูกแบ่งเป็นแคว้นเล็กๆย่อยๆ มีระบบ Feudalism เป็นระบบเศรษฐกิจหลัก นั่นคือ กษัตริย์จะมอบหมายที่ดินให้ขุนนางดูแล ขุนนางก็แบ่งที่ดินให้ชาวนาทำการเกษตร และมีการแบ่งผลผลิตกับขุนนางตามที่จะตกลงกัน
ระบบเศรษฐกิจยุคกลางเป็นแบบพึ่งพาตนเอง อาศัยผลผลิตจากภายในอาณาเขตตัวเอง มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างเขตแดนอื่นน้อยมาก
เป็นช่วงที่มีสงครามภายใน และระหว่างอาณาจักรกันบ่อย และเป็นช่วงที่คริสต์ศาสนาเข้ามามีบทบาทสำคัญ ผู้คนศรัทธาเทิดทูนอย่างมาก มีศิลปะแบบ Gothic เกิดในช่วงยุคนี้
และมีสงครามที่ยาวนานที่สุดเกิดในยุคนี้เช่นกัน (200 ปี) นั่นคือสงครามครูเสด เป็นความขัดแย้งระหว่างชาวยุโรป กับชาวอาหรับที่นับถือศาสนาอิสลาม
สงครามนี้แม้ยุโรปไม่สามารถรักษากรุงเยรูซาเล็มไว้ได้ แต่ทำให้ชาวยุโรปเห็นโลกชาวอาหรับที่ก้าวหน้ามากกว่า และนำมาซึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญ คือ
o การกำเนิดของ เลขอารบิก แทนที่ระบบเลขโรมัน ทำให้เกิดความสะดวกอย่างมากในการทำบัญชีการค้า การแลกเปลี่ยนเงิน การคำนวณดอกเบี้ย
o การขยายตัวการค้า เกิดชนชั้นใหม่คือ ชนชั้นพ่อค้า ซึ่งเป็นสื่อกลางในการนำสินค้าแปลกใหม่ของตะวันออกมาให้ชาวยุโรป ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ นครเวนิส
o การก่อตั้งมหาวิทยาลัย กลายเป็นรากฐานภูมิปัญญาของชาวตะวันตกในยุคสมัยต่อมา
o ธนาคาร ซึ่งถือกำเนิดแห่งแรกในนครเวนิส ปีค.ศใ 1156 สาเหตุหลักเพื่อให้คริสตจักรยืมเงินไปใช้ในการทำสงครามครูเสด และให้เจ้านครเวนิสเอาไปทำสงครามการเดินเรือเพื่อคุมเส้นทางการค้า
นอกจากทำการค้าขายกับอาหรับ ยังมีการค้าขายกับจีน ผ่านเส้นทางสายไหม
ณ เวลานั้นจีนเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ มีสิ่งประดิษฐ์มากมาย ทั้งผ้าไหม เข็มทิศ กระดาษ ธนบัตร
การค้าขายกับจีนเฟื่องฟู ที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น ก็คือ มาโคโปโล ที่ได้เล่าเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ต่างๆของจีน
ชาวยุโรปได้ศึกษาวิทยาการใหม่ๆ แต่ความเจริญในเส้นทางการค้า ก็ทำให้เกิดสิ่งร้ายแรง นั่นคือการระบาดของกาฬโรค
2. Black Death ค.ส. 1300 – ค.ส. 1399
กาฬโรค มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยบนหมัดหนู มีรายงานระบาดครั้งแรกในจีน แพร่มาตามเส้นทางสายไหม เข้าสู่ยุโรป ในปี 1347
โรคร้ายนี้ลามไปทั่วเมือง Messina ศูนย์กลางการค้าของอิตาลี ปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญคือสภาพบ้านเมืองในขณะนั้นที่สกปรก ระบบสุขอนามัยย่ำแย่ มีหนูอาศัยอยู่มากมาย และระบาดจากอิตาลี ไปจนทั่วยุโรป
กาฬโรคกินระยะเวลาระบาดตั้งแต่ 1347-1353 โดยไม่มียารักษา มีคนเสียชีวิตจากโรคนี้สูงถึง 75 ล้านคนทั่วโลก เป็นประชากรยุโรป 25 ล้านคน คิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรยุโรปทั้งหมด
แม้จะเสียประชากรไปมาก แต่มันทำให้มีปัจจัยต่างๆเช่น อาหาร ที่ดิน เหลือมากขึ้นแก่ผู้รอดชีวิต มีแรงงานลดลง ค่าแรงเพิ่มขึ้น และขุนนางจำนวนมากเสียชีวิต ทำให้ระดับ Feudalism เสื่อมอำนาจลง
ผู้คนหลุดพ้นจากการผูกติดที่ดินทำกินกับขุนนาง ย้ายถิ่นฐานกันมากขึ้น หลายๆคนผันตัวมาเป็นพ่อค้าและช่างฝีมือ
นครรัฐฟลอเรนซ์ ขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการค้า แทนที่เมืองเวนิส ซึ่งตระกูลเมดิซี เป็นตระกูลพ่อค้าที่มั่งคั่งที่สุด ก็เป็นผู้ปกครองนครรัฐฟลอเรนซ์นี้ และได้ก่อตั้ง Medici Bank ขึ้นมาในปี 1397
ธนาคารแห่งนี้เป็นรากฐานสำคัญของระบบธนาคาร มีการพัฒนา
o ระบบบัญชีคู่ : บันทึก Debit , Credit ทำให้พ่อค้ารู้ว่าเงินที่ได้มาเสียไปเป็นอย่างไร
o ตราสารเครดิต (Letter of credit) : ตราสารที่ออกโดยธนาคารเป็นสื่อกลางสร่้างความมั่นใจระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายว่าจะได้รับสินค้าตามช่วงเวลา และผู้ขายจะได้เงินตามจำนวนที่กำหนด
o บริษัทโฮลดิง (Holding Company) : บริษัทที่ทำธุรกิจโดยมีรายได้จากการถือหุ้นบริษัทอื่นเป็นหลัก เป็นต้นแบบของการซื้อและควบรวมกิจการของโลกธุรกิจในเวลาต่อมา
นอกจากเรื่องวางรากฐานระบบธนาคารแล้ว ตระกูลเมดิซียังนำเงินมาอุปถัมศิลปิน สถาปนิก เกิดสิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรม แนวคิดต่างๆมากมาย เป็นยุคแห่งปัญญา นำพายุโรปสู่ยุค Renaissance
3. เรอเนซองซ์ คส. 1400 -1499
ในยุคนี้ สินค้านำเข้าที่มีมูลค่ามากที่สุดคือเครื่องเทศ ซึ่งมีคุณสมบัติในการถนอมอาหาร ในสมัยที่ยังไม่มีตู้เย็น ยุโรปไม่สามารถเพาะปลูกเองได้ จำต้องนำเข้าจากอินเดีย หรือ จากตะวันออกเฉียงใต้
เส้นทางการขนส่งเครื่่องเทศ จะต้องผ่านเมือง Constantinople (เมืองอิสตันบูลในปัจจุบัน) ซึ่งเดิมเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิ์ไบแซนไทน์ นับถือคริส และมีศิลปะแบบกรีกและโรมัน
แต่ในปี 1453 ก็ถูกยึดครองโดยชาวออตโตมันเตริ์ก ซึ่งนับถืออิสลาม และก่อตั้งจักรวรรดิ์ออตโตมัน
ปัญญาชนในกรุงคอนสแตนติโนเบิล ซึ่งมีความรู้ของกรีกละโรมัน ก็กลับมาอยู่ในนครรัฐต่างๆของอิตาลี ทำให้องค์ความรู้ทั้งศิลปะและวิทยาศาสตร์ของชาวกรีก โรมัน มาฟื้นฟูอีกครั้ง หลังจากเสื่อมลงไปในยุคมืด และเริ่มยุคแห่งการเกิดใหม่ (Renaissance)
ปี 1448 Johann Gutenberg ได้ประดิษฐ์แท่นพิมพ์ เพื่อจุดประสงค์หลักคือพิมพ์คัมภีไบเบิล แต่หนังสืออื่นๆก็ได้อานิสงค์ และมันทำให้ความรู้ได้ถูกแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
กลับมาที่เครื่องเทศ เนื่องจากการค้านั้นต้องผ่านออตโตมัน และออตโตมันก็ได้ให้สัมปทานการค้ากับอิตาลีอีกทอดหนึ่ง ราคาเครื่องเทศจึงพุ่งทะยาน เป็นแรงผลักดันให้ชาวยุโรปชนชาติอื่นต้องหาทางไปเอเชียด้วยตนเอง ไม่ต้องผ่านอิตาลีและออตโตมัน
ทางเลือกใหม่ที่จะไปสู่เอเชีย จากยุโรป จึงเป็นการล่องเรือผ่านมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งยังเป็นเส้นทางปริศนา ในยุคซึ่งโลกยังถูกสำรวจไม่หมด
การจะสำรวจเส้นทางใหม่นี้จึต้องมีผู้สนับสนุนที่เพรียบพร้อม ในยุคนั้นก็คือรัฐชาติ ซึ่งมีอาณาเขตติกอยู่กับมหาสมุทรแอตแลนติก อันได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน และ โปรตุเกส
4. อินเดียคนละทวีป 1400 –1499
ในยุคสมัยนี้ จีนก็รุ่งเรื่องเช่นกัน มีการสร้างพระราชวังต้องห้าม มีกองทัพเรือขนาดใหญ่ นำโดยเจิ้งเหอ ซึ่งเดินทางออกทะเลนำสินค้าไปแลกเปลี่ยนทั่วทวีปเอเชีย อินเดีย และตะวันออกของแอฟริกา
ฝรั่งเศส
o ทำสงครามร้อยปีกับอังกฤษ สิ้นสุดในปี 1453 รวบรวมอำนาจ ตั้งประเทศอังกฤษได้ ในสมัยของพระเจ้าหลยส์ที่ 11 แต่สงครามที่ยาวนาน ทำให้กำลังพลและเงินเหลือไม่พอจะทำโครงการใหญ่
อังกฤษ
o หลังสงครามร้อยปีกับฝรั่งเศส ก็มีสงครามภายในเพื่อหาผู้ครองบัลลังก์ของอังกฤษ ระหว่าง 2 ราชวงศ์คือ ยอร์ก และ แลงคาสเตอร์ เรียกว่า สงครามดอกกุหลาย ซึ่งกินเวลาตั้งแต่ 1455 –1487
o ซึ่งผู้ชนะก็คือ เฮนรี จากตระกูลแลนคาสเตอร์
o แต่เช่นเดียวกับฝรั่งเศส สงครามที่ยาวนานทำให้อังกฤษไม่สามารถทำ project ใหญ่ได้
โปรตุเกส
o เป็นอาณาจักรเล็กๆที่คุ้นเคยกับมหาสมุทรแอตแลนติกอยู่แล้ว จึงมีความเชี่ยวชาญด้านการเดินเรือกว่าประเทศอื่น และเชื่อว่าหากเดินเรืออ้อมทวีปแอฟริกา ก็จะเดินทางไปถึงเอเชียได้
o ในปี 1488 กับตันชาวโปรตุเกส Bartolomeu Dias ได้เดินเรือไปถึงจุด (ที่ขณะนั้น) เชื่อว่าใต้สุดของทวีปแอฟริกา Cape of Good Hope แต่ก็ไม่สามารถพ้นแหลมนี้ไปได้ เพราะลมพายุรุนแรง
o จนปี 1498 Vasco da Gama ก็อ้อมแหลม Good hope สำเร็จ จนไปถึงอินเดียได้ ในปี 1498
สเปน
o สเปนพัฒนาช้ากว่าโปรตุเกสในเรื่องการเดินเรือ การเดินเส้นทางเดียวกับโปรตุเกส จึงเป็นการตามหลัง
o Chistopher columbus จึงเสนอว่า แทนที่จะขับเรืออ้อมแอฟริกา ก็ให้เดินเรือไปทางตะวันตก ข้าม atlastis ก็จะวนรอบโลกไปยังเอเชีย
o ทำให้เกิดการค้นพบดินแดนใหม่ในปี 1492 ที่เขาเชื่อว่าเป็นประเทศอินเดีย
o การค้นพบทั้งอินเดียจริงๆ และ อินเดียที่อยู่คนละทวีปของทั้งสเปนและโปรตุเกสนี้เอง กลายเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้โลกตะวันตก กำลังจะวิ่งแซงโลกตะวันออก
5. สนธิสัญญาแบ่งโลก ค.ส. 1500 – 1599
Christopher Columbus นำสัปปะรด ยาสูบ มะเขือเทศ กลับมาให้ชาวยุโรปได้เห็นเป็นครั้งแรก … แต่ไม่มีเครื่องเทศ (เพราะไปผิดที่)
จนภายหลัง มีนักเดินเรือชาวอิตาลีชื่อ Americo Vespusci ได้เดินเรือสำรวจ และพบว่าแท้จริงแล้ว นี่คือผืนแผ่นดินขนาดใหญ่ที่กั้นระหว่างเอเชียและยุโรป และตั้งชื่อทวีปนี้ว่า อเมริกา
ในส่วนของ Vasco Da Gama นั้น ได้ตั้งสถานีการค้าของโปรตุเกสที่อินเดีย และสามารถขนพริกไทยดำกลับมาได้เต็มลำ – การขนส่งพริกไทยครั้งนั้น ทำกำไรได้ถึง 6000%
ผลกำไรอันมหาศาลทำให้นักเดินเรือชาวโปรตุเกส และสเปน ต่างพยายามออกเดินทางเพื่อค้นหาดินแดนใหม่
สเปนไปสำรวจตอนกลางและตอนใต้ของทวีปอเมริกา
โปรตุเกส ค้นพบดินแดนทางจะวันออกของอเมิรกาตอนใต้ ซึ่งปัจจุบันคือ บราซิล เป็นแหล่งปลูกอ้อย เพื่อผลิตน้ำตาล
2 ประเทศนี้สามารถขยายดินแดนได้อย่างรวดเร็ว จนนำมาสู่การทำข้อตกลงเพื่อแบ่งเขตอิทธิพลโลกใบนี้ เพื่อป้องกันความขัดแย้ง เรียกว่า สนธิสัญญาตอร์เดซิยัส (Treaty of Tordesillas) โดยแบ่งโลกเป็น 2 ส่วน ตามเส้นสมมติที่ลากผ่านใจกลางของทวีปอเมริกาใต้
oสเปนได้ดินแดนทางตะวันตกของเส้น : นั่นคือทวีปอเมริกาฝั่งตะวันตก จนสิ้นสุดที่ ฟิลิปปิน
oโปรตุเกสได้ดินแดนทางตะวันออก ตั้งแต่ฝั่งตะวันออกของเมริกา ไปแอฟริกา อินเดีย SEA สิ้นสุดที่หมู่เกาะโมลุกกะ
สเปนได้ดินแดนทวีปใหม่เยอะกว่า แต่ไม่มีเครื่องเทศ แต่ได้พบกับอารยธรรมเก่าแก่ของคนพื้นเมือง หนึ่งในนั้นคือ Aztec Empire ซึ่งมีสิ่งที่มีคุณค่าเทียบเท่าเครื่องเทศ นั่นคือ ทองคำ
สเปนมีอาวุธที่ดีกว่า จึงเอาชนะชาวพื้นเมืองอเมริกาได้อย่างง่ายดาย แม้จะมีจำนวนน้อยกว่า ผนวกกับสิ่งที่สเปนนำมาด้วย คือไข้ทรพิษ ทำให้ชนพื้นเมืองอเมริกา จาก 40 ล้านคนในปี 1500 ลดเหลือเพียง 10 ล้านคน ในปี 1550
สเปนซึ่งชนะแอซเท็กอย่างง่ายดาย จึงได้ทองคำมหาศาล
อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้น ศูนย์กลางการค้าของยุโรปกลับอยู่ที่เมือง Antwerp ซึ่งปัจจุบันเป็นเมืองในประเทศเบลเยี่ยม ภายในเวลานั้นคือภายใต้การปกครองพระเจ้าเฟลิเป (ฟิลลิปปินมาจากชื่อกษัตริองค์นี้) และเรียกดินแดนของเบลเยียมและเนเธอแลนซึ่งใกล้เคียงกันว่า แฟลนเดอร์ส (Flanders)
แฟลนเดอร์สเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมสิ่งทอ เป็นศูนย์รวมของช่างฝีมือ
แล้วอิตาลีหละ?
o นครรัฐฟลอเรนซ์ที่เคยรุ่งเรือง ก็ตกต่ำ ถูกประชาชนปฏิวัติขับไล่ และผู้ปกครองนครถูกลอบสังหาร ในปี 1537
o ส่วนเวนิชก็อยู่ในสภาพล้มละลาย เพราะผู้ปกครองกู้เงินมามากเพื่อทำสงครามกับออตโตมันเติร์ก แต่แพ้ไป
พ่อค้า นายธนาคารหลายคนจึงอพยพมาอยู่เหนือ มาที่ Antwerp มันจึงเป็นศูนย์กลางกาค้าไปโดยปริยาย
o เกิดตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกของโลก ที่เมืองแอนเวิป ชื่อว่า Flanders Van de Bourse ในปี 1531
o แต่ความรุ่งเรืองของแอนเวิปก็อยู่ได้ถึงปี 1585 เพราะพ่อค้าและนายธนาคารจำนวนมากถูกกษัตริย์สเปนขับไล่ สาเหตุสำคัญคือความขัดแย้งทางศาสนา
o เลยเกิดศูนย์กลางการค้าใหม่ที่ชื่อว่า Amsterdam
6. เศรษฐกิจและศาสนา 1500 – 1599
ช่วงศตวรรษที่ 16 องค์กรที่มีอิทธิพลมากสุดในยุโรป คือ ศาสนจักร เป็นทั้งศูนย์รวมทางจิตใจ และเป็นผู้กุมอำนาจทางเศรษฐกิจของหลายประเทศทั่วยุโรป ศาสนาจักรก็คือนิกายโรมันคาทอลิก มีศูนย์กลางอยู่ที่โรม และมี Pope เป็นประมุขสูงสุด
ด้วยอำนาจล้นเหลือ พระสันตะปาปาและบาทหลวงหลายรูปมีความเป็นอยู่รำรวย ใช้ความศรัทธาประชาชนมาหารายได้ สร้างความหรูหราได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เช่น การขายใบไถ่บาป ใช้อำนาจในการเก็บภาษีบำรุงศาสนาจากทุกคนที่อยู่ในคริสจักร
ศาสนาคริส ซึ่งได้กลายเป็นศูนย์รวมจิตใจอันสำคัญของชาวยุโรป มีอิทธิพลมากเกินไป เปิดช่องว่างให้ศาสนจักรและนักบวชหาเงินจากความศรัทธา มาใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย จนมีบาทหลวงรูปหนึ่งลูกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงคริสตจักรให้เข้าสู่โฉมใหม่ บาทหลวงคนนั้นคือ มาติน ลูเธอ ไม่พอใจกับการขายใบไถ่บาป จึงได้ประกาศจุดยืนต่อต้านคริสตจักรในปี 1517 ด้วย ซึ่งเหล่าปัญาชน ชาวนาหลายคนต่างสนับสนุนแนวคิดของลูเธอ นำมาสู่การปฏิรูปศาสนา เกิดคริสตนิกายใหม่ ที่เรียกว่านิกายลูเธอรัน ส่วนในอังกฤษก็มีการตั้งนิกายใหม่ ชื่อว่า แองกลิคัน และทั้งนิกายลูเธอรัน และ แองกลิคัน ถูกเรียกรวมกันว่า นิกายโปรเตสแตนส์ (ผู้ต่อต้าน)
สเปน เป็นราชอาณาจักรคาทอลิกที่มีขนาดใหญ่และมั่นคงที่สุดในเวลานั้น จากการยึดครองทวีปอเมรริกา และทองคำมากมาย แต่ความมั่งคั่งถูกนำไปใช้กับการก่อสงคราม โดยเฉพาะกับฝรั่งเศส -> ทำให้ สเปนมีหนี้มหาศาล วิธีแก้ จึงขึ้นภาษี
ผลจึงตกไปแก่ศูนย์กลางการค้าที่มั่งคั่งที่สุดในยุโรป ณ ขณะนั้น คือ ดินแดน Flanders
การปฏิรูปศาสนา ทำให้พ่อค้าและนายธนาคารจำนวนไม่น้อยได้เปลี่ยนมานับถือนิกายโปรเตสแตนส์ เหตุหนึ่งเพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายภาษีบำรุงศาสนาให้พระสันตะปาปา ทำให้ผู้ปกครองของ Flanders ไม่พอใจ จับกุมคนที่เปลี่ยนศาสนา
เหล่าพ่อค้า จึงหนีจากเมือง Antwerp ศูนย์กลางของดินแดน Flander ขึ้นเหนือไปยังเมืองของชาวดัตช์ ที่มีชื่อว่า Amsterdam
Amsterdam แม้จะอยู่ภายใต้การปกครองของสเปน แต่ชาวดัตท์ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่นั้น ใจกว้างและยอมรับเสรีภาพในศาสนา ทำให้ดึงดูดเหล่าพ่อแค้าและนายธนาคารจากแอนเวิป และโปรเตสแตนทั่วยุโรป
การประกาศขึ้นภาษีของสเปน ทำให้พ่อค้าชาวดัตท์มากมายต่อต้าน ก่อจราจล จนพระเจ้าเฟลิปเปส่งกองเรือสเปนมาทำสงคราม ในปี 1568
เกิดเป็นสงคราม 80 ปี จบลงด้วยเอกราชของเนเธอแลนด์ จัดตั้งเป็น Republic of the seven united netherlands
นอกจากเนเธอแลน สเปนยังมีศัตรูอีกหนึ่งประเทศ คืออังกฤษ ซึ่งนอกจากจัดตั้งนิกายแองกลิคันแล้ว ยังมีโจรสลัดที่คอยดักปล้นกองเรือของสเปน
1588 สเปนยกกองเรือกว่า 150 ลำ บุกถึงเกาะอังกฤษ
แต่อังกฤษได้ผูกมิตรกับเนเธอแลน ต่อสู่กับสเปน และได้รับชัยชนะ ปิดฉากมหาอำนาจของเสปน
เปิดฉากการเดินทางสู่โลกใหม่ ของอังกฤษ และเนเธอแลน ซึ่งเนเธอแลนนั้นเป็นดินแดนของการค้าอยู่แล้ว จึงไปได้ไกลและเจริญกว่าอังกฤษ ในเวลาเดียวกัน
ชาวดัตซ์สร้างอาณานิคม ก่อตั้งยริษัทการค้าทั่วโลก นำไปสู่้การเปลี่ยนแปลงทางการเงินครั้งใหญ่ที่สุดในโลกตะวันตก
7. ฟองสบู่แรกของมนุษยชาติ 1600 –1699
ศตวรรษที่ 17 คือยุคทองของเนเธอร์แลนด์ จุดศูนย์กลางคือเมือง Amsterdam
การเดินเรือเพื่อค้าขายไปรอบโลก คือกิจการที่สร้างกำไรได้มหาศาล แต่มีต้นทุนสูง
พ่อค้าในยุคนั้น จึงแก้ปัญหาจัดหาทุน ด้วยการจัดตั้ง ตลาดหุ้น ในปี 1602
ระบบตลาดหุ้น ก่อกำเนิดบริษัท VOC ซึ่งภาษาไทยมีชื่อว่า บริษัท ดัตช์ อีสต์ อินเดีย
บริษัทใช้การค้าแบบระบบบริษัทจำกัดแบบสมัยใหม่ และมีสิทธิ์ในการดำเนินการต่างๆได้เอง โดยไม่ต้องขอนุญาติจากประเทศแม่ เพราะต้องใช้เวลานาน
VOC มีกองกำลังของตัวเอง ประกาศสงครามได้ ตัดสินคดีความได้ ทำอะไรใดๆก็ได้ ที่จะมีประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น
ธุรกิจเดินเรือเจริญรุ่งเรือง มีเงินทุนไหลมามากมาย ชาวดัตซ์ออกเดินเรือไปดินแดนต่างๆรอบโลก ค้นพบออสเตรเลีย ตั้งสถานีการค้าที่ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกา ชื่อว่า New Amsterdam ที่ต่อมากลายเป็น New York
ส่วนในเอเชีย ชาวดัตก็มาทั้งอินเดีย ศรีลังกา เกาะชวา อยุธยา และไปถึงญี่ปุ่น
ปี 1600 ญี่ปุ่นอยู่ภายใต้การปกครองของโชกุนอิเอยาสุ โทกุงาวะ ปกครองญีุ่่นเด็ดขาด กลัวอิทธิพลศาสนาจากต่างชาติ ทำให้มีนโยบายแยกตัวโดดเดี่ยว ตั้งแต่ปี 1633 และดำเนินนโยบายนี้ต่อไปจนถึง 200 ปี
นอกจากญี่ปุ่น ชาวดัตก็ตั้งเมืองท่าค้าขายกับจีน ที่เกาะฟอโมซา หรือปัจจุบันคือไต้หวัน มีสินค้าสำคัญคือเครื่องลายคราม และใบชา
นอกจากจีน มีการค้าดอกไม้ชนิดหนึ่งจากออตโตมัน คือดอกทิวลิป
ดอกทิวลิปเป็นดอกไม้ที่สวยงาม แปลกใหม่ มีราคาสูง มีคนต้องการเป็นจำนวนมาก ไปๆมาๆ ราคาดอกทิวลิปสูงมากขึ้นเรื่อยๆ จากการแห่เก็งกำไร จนเกิดฟองสบู่แตก ดอกทิวลิปหมดค่าไปอย่างรวดเร็วในเวลา 3 เดือน
VOC เป็นบริษัทที่เจริญเติบโตมั่งคั่ง กลายเป็นบริษัทที่ผูกขาดการค้า ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับประเทศเพื่อนบ้าน นั่นคือ อังกฤษ และฝรั่งเศส นำไปสู่สงคราม ผลคือความพ่ายแพ้ของเนเธอแลน และสิ้นสุดยุคทอง
โลกได้ 2 ประเทศผู้นำมหาอำนาจคู่ใหม่
อังกฤษออกเดินทางขยายอำนาจ ขยายยริษัท British East India ไปทั่วโลก ยึดอาณานิคมต่างๆของชาวดัตช์ เมือง New Amsterdam เปลี่ยนชื่อเป็น New York
ฝรั่งเศษก็ตั้งอาณานิคมในทวีปอเมริกาด้วย และได้สร้างกองทัพบกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป
8. ครองเทคโนโลยี คือ ครองโลก 1600 – 1699
ความเจริญทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ก่อให้เกิดความเจริญทางเทคโนโลยี
ผู้ที่ครองเทคโนโลยี ก็จะพร้อมจะครองโลก ซึ่งในสมัยนั้น ก็คือประเทศอังกฤษ
อาณานิคมในทวีปอเมริกา คือเหยื่อรายแรก อังกฤษได้ครอบครองดินแดนบริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกา มีอาณานิคมแห่งแรกคือ เมืองเจมส์ทาวน์ รัฐเวอจิเนีย ในปี 1607 และก่อตั้งมหาวิทยาลัย Harvard ในปี 1636 บริเวณทางตอนเหนือของรัฐเวอจิเนีย
แน่นอน เมือ New Amsterdam ของชาวดัดช์ ก็ถูกยึดครอง และเปลี่ยนชื่อเป็น New York
แม้ดินแดนอเมริกาเหนือไม่มีขุมทรัพทองคำเช่นอเมริกาใต้ แต่มีทองคำสีเขียว นั่นคือ ยาสูบ ซึ่งกลายเป็นรายได้หลักของอาณานิคม สร้างความมั่งคั่งให้ดินแดนอาณานิคมนี้มหาศาล ขยายขนาดอาณานิคมมากขึ้นจนเป็น 13 แห่ง
ตัดกลับมาในอังกฤษ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญ จากมูลเหตุที่กษัตริย์มักเพิกเฉยต่อกฏหมายที่ออกโดยสภา ทำให้สุดท้าย พระเจ้าวิลเลียมที่ 3 ลงนามใน Bill of Right โดยมีใจความสำคัญว่าห้ามกษัตริย์ ใช้อำนาจ เพื่อออกหรือยกเลิกกฏหมายใดๆ โดยที่สภาไม่อนุมัติ
เรียกการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนี้ว่า Glorious Revolution ทำให้อังกฤษเป็นประเทศแรก ที่มีกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ปูพื้นฐานประเทศ สู่ประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตาม ชาวอาณานิคมกลับถูกกฏหมายภาษีขูดรีดมากขึ้นเรื่อยๆ จนความอดกลั้นเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด
ชาวอาณานิคมทั้งสิบสามแห่ง รวมกันประกาศอิสรภาพ แยกตัวออกจากอังกฤษ ตั้งประเทศใหม่ เรียกว่า สหรัฐอเมริกา
9. กำเนิดสหรัฐอเมริกา 1700 – 1799
ดินแดนอเมริกานั้นมีพื้นที่กว้างใหญ่ เป็นแหล่งเพาะปลูกพืชที่สำคัญ โดยเฉพาะอ้อย และยาสูบ
จะเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ก็ต้องใช้แรงงานมาเพิ่ม แต่ชาวพื้นเมืองของทวีปนี้ดันตายจากสงครามและโรคระบาดไปเยอะแล้ว จึงทำให้เกิดการนำเข้า ทาส จากแอฟริกา
จุดเริ่มต้นของการค้าทาส มาจากการที่พ่อค้าชาวโปรตุเกสทำการแลกเปลี่ยนสินค้ากับผู้ปกครองอาณาจักรในแอฟริกา ระหว่างผ้าขนสัตว์ อาวุธ กับ ทาสชาวแอฟริกัน
ในทวีปแอฟริกานี้ แรกๆ ทาสก็ถูกนำเข้ามาโดยชาวสเปนและโปรตุเกส ตามมาด้วยชาวอังกฤษ
การนำเข้าทาสของอักฤษเพิ่มอย่างรวดเร็ว จาก 5000 คนต่อปี ในปี 1685 ไปจนถึง 45000 คนต่อไป ในช่วงต้นของ 1700
ส่วนฝรั่งเศสนั้น ก็มีส่วนแบ่งในดินแดนเหมือนกัน แต่อยู่ลึกไปข้างในทวีป ตั้งแต่แถบ Quebec ถึง ที่ราบลุ่มมิสซิสซิปปี
นำไปสู่การขัดแย้งกัน ระหว่างอาณานิคมอังกฤษและฝรั่งเศส เกิดสงคราม ตั้งแต่ 1756 – 1763 ผลคืออังกฤษชนะ และได้ดินแดนแคนาดาของฝรั่งเศส
อังกฤษกลายเป็นเจ้าอาณานิคมในอเมริกาเหนือ
สงครามทำให้สูญเสียงบไปมหาศาล อังกฤษจึงหารายได้เพิ่ม โดยเก็บภาษีจากชาวอาณานิคม ทำให้ชาวอาณานิคมไม่พอใจ และเกิดการประท้วง จนมาถึงแตกหักในปี 1773 ที่มี พรบ ลดภาษีใบชาของอังกฤษ เนื่องจากบริษัท british east india ขาดทุนอย่างหนัก จึงลดภาษีใบชาที่ค้างสต็อตกว่า 18 ล้านปอน ใบชาอังกฤษถูกลงมาก เทียบกับใบชาของอาณานิคม
พ่อค้าในเมืองบอสตันไม่พอใจอย่างมาก รวมตัวกันเป็นชาวอินเดียนแดง ลักลอบขึ้นเรือบรรทุกใบชาอังกฤษแล้วทิ้งลงทะเลทั้งหมด เรียกเหตุการนี้ว่า Boston Tea party
เหตุการนี้ทำไปสู่การปิดท่าเรือบอสตัน ตัวแทนทั้ง 13 อาณานิคม ประชุมกันในเมืองฟิลาเดลเฟีย ปี 1774 นำไปสู่การคว่ำบาตสินค้าอังกฤษทุกประเภท
1776 มีการประชุมครั้งที่ 2 และ Thomas Jefferson ได้ร่างคำประกาศอิสรภาพ ประกาศตนแยกออกจากจักรวรรดิอังกฤษ ถือกำเนิดประเทศสหรัฐอเมิรกา
แน่นอนว่าอังกฤษไม่ยอมรับ และเกิดสงครามยาว 7 ปี อเมริกามีฝรั่งเศสมาช่วย สงครามสร้างความเสียหายให้ทั่งคู่ จนอังกฤษยอมรับเอกราชสหรัฐในปี 1789
George Washinton ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรก
แต่การกำเนิดของอเมริกาไม่ได้ทำให้อังกฤษเสื่อมถอยลง
ในปี 1757 ผู้บัญชาการสูงสุดของบริษัท British east india ได้นำกองทหารยึดครองแคว้นเบงกอง ซึ่งร่ำรวยสุดในอินเดีย ให้ตกเป็นของอังกฤษ
ณ ตอนนี้ อังกฤษมีดินแดนของแคนาดา ในอเมริกาเหนือ เบงกอลในอินเดีย ฝั่งตะวันตกของแอฟริกา และได้ยึดครองทวีปออสเตรเลีย อังกฤษเป็นประเทศที่มีประชากรเพียง 10 ล้านคน ในปลายศตวรรษ 18 แต่กำลังขยายอาณาเขตครองโลก
กลับมาที่ฝรั่งเศส ขณะนั้นมีประชากร 28 ล้านคน มากสุดในยุโรปตะวันตก ซึ่งก็ก่อสงครามมานับไม่ถ้วน แต่ตามมาด้วยภาระหนี้สินมหาศาล
ความล้มเหลวทางการเงิน นำมาซึ่งความอดอยากของผู้คน และก่อกำเนิดศัตรูที่ทรงพลังที่สุด คือ พลังประชาชนของตนเอง
10. จากฟองสบู่ สู่ปฏิวัติฝรั่งเศส 1700-1799
อังกฤษ และ ฝรั่งเศส ห้ำหั่นกันยาวนาน มีการใช้เงินไปมากมาย มีหนี้สินมากมาย
อังกฤษ กู้เงินมากมายในรูปแบบพันธบัตร หนี้สินมากมาย จึงตั้งบริษัท South Sea Company เพื่อแก้ปัญหาหนี้สินของรัฐบาล โดยมีโมเดลคือ ให้เจ้าหนี้ของรัฐบาลอังกฤษ เปลี่ยนหนี้ที่ค้างไว้ มาเป็นหุ้นของบริษัทแทนได้ (นำBondอังกฤษ มาแลกเป็น หุ้นของ South Sea)
ส่วนรัฐบาลก็จะมอบสัมปทานการผูกขาดการค้าทั้งหมดในแถบทะเลใต้ นั่นคือ มหาสมุทรแอตแลนติกในแถบทวีปอเมริกาใต้ ให้กับบริษัท ซึ่งบริษัททำการค้าหากำไรหลัก จากการค้าทาส และค้าฝ้าย
ธุรกิจของบริษัทก็แค่ทรงๆ แต่ราคาหุ้นกลับพุ่งทะยาน จากไม่กี่ 10 ปอน ไปถึง 1000 ปอนในเวลาไม่กี่ปี
ผู้ถือหุ้นของบริษัท South Sea มีมากมาย ไม่เว้นแม้แต่ขุนนาง ประชาชน รวมไปถึง sir Isaac newton (ซึ่งติดดอยไปเต็มๆ)
จนเมื่อกิจการคงไปไม่ถึงมูลค่าที่คาดหวัง insider ก็เริ่มขายหุ้นออกมา เพื่อข่าวหลุดมาภายนอก คนก็แย่งขายหุ้นกันหนีตาย
บริษัทนี้ล้มละลาย ในปี 1720 (สิริอายุ 9 ปี) เป็นฟองสบู่ของอังกฤษ
ฝรั่งเศสไม่น้อยหน้า มีฟองสบู่เหมือนกัน เรียกว่า ฟองสบู่ Mississippi
เริ่มต้นจากที่ John Law นักเศรษฐศาสตร์ชาวสก็อตแลน เข้ามาเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้รัฐบาล ซึ่งกำลังมีหนี้มาหศาล
ลอร์สนับสนุนให้มีการแทรกแซงของรัฐบาลในการบริหารประเทศ และแนะนำให้ใช้ Fiat currency แทนใช้โลหะที่มีค่าในการซื้อขาย
ปี 1716 ลอร์จัดตั้งธนาคารกลาง เปิดให้ประชาชนเอาโลหะ ทองคำมาแลกกับเงินธนบัตรที่ธนาคารออกให้
Law ได้เข้าซื้อบริษัทในลุยเซียน่า ซึ่งขณะนั้นเป็นดินแดนอาณานิคมของฝรั่งเศส
Law รับซื้อหนี้รัฐบาลที่เหลืออยู่ จากประชาชน ด้วยหุ้นของบริษัท missisippi
ราคาหุ้นตอนแรกคือ 500 Livres เพิ่มขึ้นเป็น 10000 livre ใน 1 ปี เหตุผลหนึ่งเพราะคนเชื่อว่าบริษัทนี้จะขุดเงินและทองคำได้อย่างมหาศาลจากดินแดนแห่งนั้น (ซึ่งในความเป็นจริง มีแต่ดิน)
การเอาหุ้นแลกหนี้นี้ ทำให้รัฐบาลปลดหนี้ทั้งหมด
และเนื่องจากจะซื้อหุ้นได้ ต้องใช้เงินที่ธนาคารพิมเท่านั้น จึงมีการผลิตเงินเพิ่มถึง 186% ซึ่งเงินที่พิมเพิ่มออกมานั้น มีจำนวนมากกว่าทองคำที่เก็บสำรองในธนาคารถึง 4 เท่า
ปัญหาเริ่มเกิดขึ้น เมื่อคนต้องการแลกเงินกลับมาเป็นทองคำ แรกๆจึงมีมาตรการจำกัดจำนวนทองที่แลกได้ต่อวัน หลังๆก็มีการประกาศลดมูลค่าหุ้นและธนบัตรลง เพราะทองสำรองขาดแคลน
เงินจำนวนมหาศาลที่พิมออกมา ทำให้เงินเฟ้อของฝรั่งเศสพุ่งถึง 23% ต่อเดือน ไม่นาน john law ก็หนีออกจากประเทศ ประชาชนฝรั่งเศส เหลือแต่เงินกระดาษที่ไม่มีค่าอันใด
ฟองสบู่ฝรั่งเศสนี้ ทำให้เศรษฐกิจฝรั่งเศสพินาศย่อยยับ ประเทศล้มละลาย รัฐหาเงินวิธีอื่นไม่ได้ จึงขึ้นภาษี
ผู้เสียภาษีของฝรั่งเศส คือชนชั้นที่ 3 สามัญชนทั่วไป ส่วนชนชั้น 1 และ 2 คือกษัตริย์และนักบวช ไม่ต้องเสียภาษีใดๆ
ความเหลื่อมล้ำที่มากขึ้น ประชาชนก็หมดความอดทน วันที่ 14 กค 1789 ประชาชนในกรุงปารีสบุกยึดคุกบาสตีล กำเนิดการปฏิวัติฝรั่งเศส ที่กินระยะเวลาอยู่ 2 ปี ปิดฉากระบบกษัตริย์ในฝรั่งเศส ด้วยการประหารชีวิตพระเจ้าหลุยที่ 16 และราชินีมารี อ็องตัแนต ด้วยกิโยติน ในปี 1793
ระหว่างที่ฝรั่งเศสวุ่นวายกันอยู่นี้เอง อังกฤษได้คิดสิ่งที่ทำให้เผ่าพันธ์มนุษย์พัฒนาการแบบก้าวกระโดด
11. ปฏิวัติอุตสาหกรรม 1780 – 1829
การปฏิวัติอุตสาหกรรม คือการที่ งาน ไม่ได้มาจากผลคูณของ ปริมาณแรงงาน และ เวลา เท่านั้น อีกต่อไป
ทำไมการปฏิวัติอุตสาหกรรม เกิดที่อังกฤษ?
o ความพร้อมที่ 1 : ทุนความรู้ จากทั้งการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ และการมีกฏหมายเกี่ยวข้องกับสิทธิบัติในอังกฤษ กระตุ้นการต่อยอดพัฒนาสิ่งต่างๆมากมาย
o ความพร้อมที่ 2 : วัตถุดิบและตลาด ดินแดนอาณานิคมของอังกฤษในช่วงนั้น มีวัตถุดิบสำคัฐคือ ฝ้าย ที่ถูกนำมาทำสิ่งทอ และถ่านหินมาผลิตพลังไอน้ำ
o ความพร้อมที่ 3 : การขนส่งทางเรือ ในช่วงนั้นอังกฤษมีกองเรื่อจำนวนมาก และทรงอานุภาพทุสุดในโลก
o ความพร้อมที่ 4 : การเมืองที่มั่นคง จาก Glorious Revolution ทำให้กษัตริอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ระบบการเมืองมั่นคง ขัดแย้งกันน้อย ไม่มีอุปสรรคภายใน
การประดิษเครื่องจักรไอน้ำ ของ jame watts ในปี 1776 เป็นจุดเริ่มต้นของยุค และมันถูกปรับเป็นนวัตกรรมต่างๆ เช่น เครื่องทอผ้า เครื่องคัดเมล็ดฝ้าย รถจักรไอน้ำ
อังกฤษกำลังไปข้างหน้า แต่ดินแดนในยุโรปกำลังเจอปัญหาจากชายที่ชื่อว่า นโปเลียน
ความวุ่นวายภายในฝรั่งเศส การล้มระบอบกษัตริย์ ทำให้ประเทศเพื่อนบ้านกลัวว่าการปฏิวัติจะแพร่มายังประเทศตน จึงประกาศสงครามกับฝรั่งเศส ซึ่ง นโปเลียน โบนาปาร์ต คือผู้นำในการกรบกับเพื่อนบ้าน และทำศึกชนะครั้งแล้วครั้งเล่า
นโปเลียน ทำรัฐประหาร และได้แต่งตั้งตนเป็นจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 มีจุดหมายจะทำให้จักรวรรดิฝรั่งเศส ยิ่งใหญ่เช่นโรมันในอดีต จึงเปิดสงครามขยายอาณาเขตฝรั่งเศสไปทั่วยุโรป และพบความพ่ายแพ้ที่รัสเซีย
สงครามครั้งนี้ ทำให้ยุโรปมมีการจัดระเบียบใหม่ กำเนิดประเทศต่างๆ ส่วนการหมดอำนาจของประเทศยิ่งใหญ่ เช่น สเปน ก็ทำให้อาณานิคมในทวีปอเมริกาใต้ทำสงครามประกาศเอกราช ก่อตั้งประเทศเช่น เม็กซิโก เวเนซุเอล่า เปรู โบลิเวีย
การปฏิวัติทางอุตสาหกรรม ที่เริ่มจากอังกฤษ ก็ไปถึงประเทศต่างๆในยุโรป และอเมริกา
มันทำให้ทรัพยากรแรงงานมนุษย์ลดความสำคัญลง ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ไม้ ถ่านหิน เหล็ก แร่ธาตุต่างๆ มีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในสายการผลิต
ทรัพยากรต่างๆนี้ หาได้ในทวีปที่ล้าหลังกว่า นั่นคือ ทวีปเอเชีย
12. จักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่ตกดิน 1830 – 1885
ความต้องการทรัพยากรมาป้อนโรงงานในยุโรป ทำให้เหล่าประเทศที่เจริญกว่า หลั่งไหลมายึดทรัพยากรจากโลกตะวันออก ด้วยการติดต่อให้ประเทศเหล่านั้นเปิดการค้าเสรี ถ้าไม่ยอม ก็จะมีกองทัพมาบังคับให้เปิดประเทศ หรือ ยอมไม่ยอมยังไง ก็ถูกยึดเป็นอาณานิคมไปเลย
เกิดเป็นลัทธิจักรวรรดินิยม
อังกฤษที่สูญเสียอาณานิคมอย่างสหรัฐอเมริกาไป ก็ต้องหาที่ใหม่ มีเหยื่อในเอเชียคือ
o อินเดีย ดินแดนอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งเพาะปลูกฝ้ายที่สำคัญเพื่อป้อนโรงงานอังกฤษ แทนสหรัฐอเมริกาที่เสียไป รัฐบาลเข้าคุมอินเดียโดยตรง เรียกดินแดนนี้ว่า British Raj
o จีน : อังกฤษนำฝิ่นเข้ามาหาย ทำให้คนจีนเกือบ 12 ล้านคน ติดฝิ่นงอมแงม ส่งผลให้อาชญากรรมขึ้นสูง จนจักรพรรดิในสมัยนั้นสั่งยุติการค้ากับอังกฤษ
o ผลคืออังกฤษก็ยกทัพเรือมาถึงกวางตุ้ง เกิดสงครามกับจีนในปี 1840 เรียกว่า สงครามฝิ่น แน่นอนว่าจีนแพ้ ทำสนธิสัญญานานกิง ยกเกาะฮ่องกงให้อังกฤษในปี 1842
o พม่า : กษัตริพม่าพยายามขยายดินแดน ไปชนกับอินเดียของอังกฤษ นำมาสู่สงคราม อังกฤษยึดดินแดนพม่าได้เรื่อยๆ จนพม่าตกเป็นของอังกฤษสมบูรณ์ในปี 1885
o มาลายา : เดิมบริเวณนี้เป็นอาณานิคมของเนเธอแลนด์ ซึ่งอังกฤษเข้ามายึดครองจนเบ็ดเสร็จ ในปี 1867
ในยุครุ่งเรื่อง อังกฤษได้ยึดครองดินแดน ตั้งแต่แคนาดาในอเมริกาเหนือ กายอานาในอเมริกาใต้ ไอร์แลนและมอลตาในยุโรป เคปทาวในแอฟริกา อินเดีย ฮ่องกง พม่า มาลายา ในเอเชีย ออสเตรเลีย นิวซีแลน และหมู่เกาะในสมหาสมุทรแปซิฟิก
จักรวรรดิอังกฤษ จึงได้ชื่อว่า จักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่ตกดิน
ครองสุเอซ สร้างเสร็จในปี 1869 ร่นระยะเวลาเดินทางยุโรปไปเอเชียได้อย่างมหาศาล
ลอนดอนกลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในปี 1881
การขยายตัวของอุตสาหกรรมทำให้เกิดชนชั้นแรงงานในเมือง เกิดการขยายกิจการผ่านระบบร่วมทุนในตลาดหุ้น ออกกฏหมายร่วมหุ้นในบริษัท (Joint stock companies act ) ในปี 1856 เป็นศูนย์กลางการเงินของโลก
ประเทศอื่นๆ ก็เจริญรอยตามอังกฤษ
ฝรั่งเศส
o หลังนโปเลียนแพ้ไป ฝรั่งเศสก็ยังปกครองด้วยกษัตริย์
o ฝรั่งเศสเริ่มก่อจักรวรรดิตนเองในเอเชีย ยึดดินแดนตอนใต้ของเวียดนามเป็นอาณานิคม ตั้งศูนย์กลางที่เมืองไซง่อน
จักรวรรดิเยอรมัน
o รวมตัวกันในปี 1871พัฒนาอุตสาอุตาหกรรมถ่านหิน เหล็กกล้า ขยายรางรถไฟทั่วประเทศ ค่อยๆขึ้นมาเป็นผู้นำอุตสาหกรรมในยุโรป
อเมริกา
o ค้นพบทองคำในแคลิฟอเนีย ในช่วงปี 1848 – 1855 เรียกยุคนี้ว่า ช่วง Gold Rush
o รัฐทางเหนือมีโรงงานอุตสาหกรรม ส่วนรัฐทางใต้เน้นเพาะปลูกฝ้ายและอ้อย
o การประกาศเลิกทาส นำมาซึ่งสงครามระหว่างรัฐเหนือและใต้ จบที่ทางใต้พ่ายแพ้ ยอมให้การเลิกทาส
o อุตสาหกรรมขยายตัวรวดเร็ว รับผู้อพยพมากขึ้นจากยุโรป ที่หนีความแร้นแค้นมา ไม่ว่าจะคนอังกฤษ ไอริช เยอรมัน อิตาลี ทำให้ประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จาก 1790 มี 7 ล้านคน ไป 50 ล้านคน ในปี 1880
ญี่ปุ่น
o ประเทศแรกในเอเชียที่มีปฏิวัติอุตสาหกรรม เนื่องจาก การปฏิรูปเมจิ คือการเปิดรับวิทยาการใหม่ๆ จากตะวันตก การอุตสหกรรม การจัดการกองทัพ ปรับสังคมให้ก้าวรับกับการเปลี่ยนแปลง
o จากประเทศเล็กๆที่ไม่มีทรัพยากรมาก ก็กลายมาเป็นมหาอำนาจแห่งเอเชีย
13. ขีดจำกัดความเป็นมนุษย์ 1875 – 1899
งาน World Expo จัดขึ้นครั้งแรก ในปี 1851 ภายใต้ชื่อ The Great Exhibition เพื่อนำเสนอผลผลิตทางอุตสาหกรรมของอังกฤษ สู่ชาวโลก นำความกระตือรือร้นของผู้คนในการแข่งขั้นประดิษคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ทั่งในฝั่งยุโรปและสหรัฐ
• สหรัฐ
o Alexander Graham Bell ค้นพบวิธีส่งเสียงตามสายผ่านลวดทองแดง และพัฒนาเป็นโทรศัพท์ จดสิทธิบัตในปี 1876 ก่อตั้งบริษัท Bell Telephone company และพัฒนามาเป็ฯ AT&T ในปี 1885
o Thomas Alva Edison สามารถหาไส้หลอดไฟที่มีอายุได้นาน นั่นคือ ไส้หลอดคอบอน จดสิทธิบัตรในปี 1879 และก่อตั้งบริษัท Edison Electric Light ที่ดึงดูด J P Morgan มหาเศรษฐีให้เข้ามาเป็นหุ้นใหญ่ และให้เงินเขาตั้งบริษัท
o Nikolas Tesla ลูกน้องคนหนึ่งของเอดิสัน ซึ่งเชื่อว่าไฟฟ้ากระแสสลับ จะเป็นอนาคตของระบบไฟฟ้า ขัดกับเอดิสัน ที่เชื่อในไฟฟ้ากระแสตรง ก็ลาออก มาทำงานให้กับ Westinghouse Electric ของนักธุรกิจชื่อ George Westinghouse
o จุดตัดสินอยู่ที่งาน World Expo 1893 ที่ชิคาโก ซึ่ง Westinghouse Electrtic ชนะการประมูล และทำให้งาน Discover America ตอนนั้น เต็มไปด้วยแสงสวาง
o ความล้มเหลวของเอดิสัน ทำให้ J P Morgan ยึด Edison Electric Light แล้วควบรวมเข้ากับบริษัท Thomson-Houston Electric ที่เป็นบริษัทซึ่งเน้นผลิตไฟฟ้ากระแสลสลบ เปลี่ยนชื่อเป็ฯบริษัท General Electric ในปี 1892
• เยอรมัน
o คาร์ล เบนซ์ มีความคิดที่จะทดแทนการใช้ม้าลาก ด้วยการประดิษฐ์เครื่องยนต์ จึงได้ก่อตั้งบริษัท Benz & Zie สร้างเครื่องยนสันดาปภายในที่ใช้นำมัน และเกิดรถยนคันแรกของโลก Benz Patent Motorwagen ในปี 1885
• ศตวรรษที่ 19 นี้ คือยุคแห่งการสร้างสิ่งมากมายที่จะเปลี่ยนแปลงโลก ปูรากฐานศตวรรษใหม่ด้วยอุตสากรรม ด้วยความพยายามที่จะทะลุทุกขีดจำกัดของมนุษย์ แต่ก็สร้างความแตกต่างระหว่างสังคมที่ยิ่งใหญ่ ระหว่างชนชั้นนายทุน และแรงงาน ผู้ปกครอง กับประชาชน เจ้าจักรวรรดินิยม และดินแดนอาณานิคม
14. จุดจบของจักรวรรดินิยม 1900 – 1909
ศตวรรษที่ 20 เปิดฉากด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เต็มไปด้วยความแข่งขัน จนเกินพอดี ในทวีปยุโรป
แข่งขันกันมากไป กลายเป็นความขัยดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นความต่างระหว่างชนชั้นภายใน และความขัดแย้งระหว่างรัฐ
ความขัดแย้งระหว่างชนชั้น นายทุนและกรรมาชีพ นำไปสู่การเคลื่อนไหวของสังคมนิยม มี คาร์ล มาร์กซ์ นักเศรษฐศาสตร์ชาวเยอรมัน สร้างงานเขียนที่มีอิทธิพล ปลดพลังมวลมหาประชาชนขึ้นมา ให้ปกครองแทนผู้นำเดิม
ในยูโรป ความสั่นคลอนกำลังมา รอยแตกร้าวกำลังระเบิด
แตในในอเมริกา ดินแดนแห่งเสรีภาพ ก็มีเหล่านักประดิษฐ์มากมาย
o เฮนรี ฟอร์ต ลาออกจากบริษัทของ Edison เพื่อมาตั้งบริษัท ฟอร์ด มอเตอ์ ในปี 1903 เขาเป็นคนที่นำระบบสายพาน มาใช้ในการผลิตรถยนต์ ทำให้ได้รถยนต์ราคาถูก และได้ความนิยมไปทั่วสหรัฐ นั้นคือ Ford Model T
o รถม้า ถูก Disruption โดยสมบูรณ์แบบ จากรถยนต์ราคาถูกนั่นเอง
o สองพี่น้องตระกูลไรต์ สร้างเครื่องบินลำแรกของโลก ในปี 1900 และ
ในส่วนของญี่ปุ่น การปฏิรูปเมจิ ทำให้ญี่ปุ่นเรียนรู้ซึมซับ ปรับความรู้ตะวันตกมาให้เหมาะกับตัวเอง มีการส่งนักศึกษาไปเรียนนอก จ้างชาวตะวันตกมาวางแผนรากฐานอุตสาหกรรม แปลตำราต่างประเทศมาเป็นภาษญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรม และซึมซับลัทธิจักรวรรดินิยมมาด้วย ด้วยการประกาศสงครามกับทั้งรัสเซีย จีน และเอาชนะไปได้
จักรวรรดิจีนระส่ำระส่าย และล่มลสาย
รัสเซีย ที่อยู่ภายใต้ราชวงโรมานอฟเอง ก็ถึงจุดจบเช่นกัน ด้วยภาวะข้าวยากหมากแพงจากหลากปัจจัยรุมเร้า และการแพ้สงคราม ทำให้ราชวงศ์โรมานอฟถึงกาลล่มสลาย ด้วยการฏิวัติพรรค Bolshevik
ทวีปยูโรปในตอนนั้น ประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ จักรวรรดิเยอรมัน ที่ก้าวมาเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในยุโรป แซงอังกฤษและฝรั่งเศส จักรวรรดิหน้าเดิม เกิดความขัดแย้ง ระหว่างหน้าเดิมและหน้าใหม่
เยอรมัน ดึงประเทศเพื่อนบ้านคือ จักรวรรดิออสเตีย ฮังการี และอิตาลี ตั้งเป็นกลุ่มไตรพันมิตร (Triple Alliance)
อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย ตั้งกลุ่มสัญญาไตรภาคี (Triple Entente)
ทั้ง 2 ฝ่าย สะสมกำลังอาวุธและแสนยานุภาพ รอวันที่ระเบิดลูกใหญ่ถูกจุดชนวน เป็นสงครามโลกครั้งที่ 1
Part II/II : 100 ปีหลัง
โฆษณา