15 ส.ค. 2020 เวลา 12:09 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
เขียนโปรแกรมเครือข่ายด้วยซ็อกเก็ต (Socket) ตอนที่ 2: TCP Iterative Server และ Client ด้วยภาษาจาวา (Java)
หมายเหตุ: โหลดโค้ดโปรแกรมได้ที่ https://github.com/ajsarun/simpletcpitrsocket
ในตอนนี้เราจะมาเริ่มเขียนโปรแกรมกันแล้ว โดยจะเขียนโปรแกรมในฝั่งเซิร์ฟเวอร์กันก่อน อย่างที่ทราบจากตอนที่ผ่านมาว่าโปรแกรมที่จะสื่อสารกันได้จะต้องสร้างซ็อกเก็ต (Socket) ก่อน ในฝั่งของเซิร์ฟเวอร์นั้นจะต้องสร้างซ็อกเก็ตสองตัว ตัวแรกจะขอเรียกว่าเซิฟร์เวอร์ซ็อกเก็ต (Server Socket) ซึ่งมีหน้าที่รอรับการติดต่อจากไคลเอนต์ ส่วนตัวที่สองจะขอเรียกว่าซ็อกเก็ตเชื่อมต่อ ( Connection Socket) ซึ่งจะใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับไคลเอนต์ ที่ต้องมีซ็อกเก็ตสองตัวก็เพื่อที่จะเตรียมการให้เซิร์ฟเวอร์สามารถรองรับไคลเอนต์ได้หลาย ๆ ตัว พร้อม ๆ กัน (แต่ต้องเขียนโปรแกรมเพิ่มเติมซึ่งจะกล่าวถึงในตอนต่อ ๆ ไปครับ)
สำหรับแนวคิดของการอ่านและเขียนข้อมูลกับซ็อกเก็ตนั้นจะใช้แนวคิดของสตรีม (Stream) ซึ่งก็คือแนวคิดที่จาวา (Java) ใช้ในการรับส่งข้อมูลระหว่างโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาจาวา กับอุปกรณ์รอบข้าง หรือกับไฟล์ ตัวอย่างเช่น เวลาจะพิมพ์ข้อมูลออกมาทางจอภาพเราจะใช้คำสั่ง System.out.println("string"); ประโยคนี้ out คือสตรีมผลลัพธ์ (output stream) ซึ่งอ้างถึงตัวแสดงผลลัพธ์มาตรฐาน ซึ่งก็คือจอภาพนั่นเอง การเขียนโปรแกรมซ็อกเก็ตของภาษาจาวา (Java) ก็จะใช้แนวคิดนี้ เพียงแต่สตรีมที่เราสร้างขึ้น จะเชื่อมโยงกับซ็อกเก็ตแทนที่จะเป็นอุปกรณ์หรือไฟล์
คลาสในภาษาจาวาที่ใช้สร้างเซิฟร์เวอร์ซ็อกเก็ตก็คือ ServerSocket ส่วนคลาสที่ใช้ในการสร้างซ็อกเก็ตเชื่อมต่อก็คือ ConnectionSocket นั่นเอง เอาล่ะครับเพื่อให้เข้าใจการทำงานมาดูตัวอย่างกันดีกว่า สำหรับโปรแกรมเซิร์ฟเวอร์ที่จะเขียนขึ้นมาก็คือเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ในการแปลงข้อความภาษาอังกฤษที่รับเข้ามาจากไคลเอนต์ ให้เป็นตัวอักษรตัวใหญ่ทั้งหมดแล้วส่งกลับไปให้ไคลเอนต์ สำหรับโค้คภาษาจาวา ของโปรแกรมแสดงได้ดังนี้ครับ
2
01: import java.io.*;
02: import java.net.*;
03: import java.util.*;
04: class TCPServer {
05: public static void main(String argv[]) {
06: String clientSentence;
07: String capitalizedSentence;
08: ServerSocket welcomeSocket = null;
09: Socket connectionSocket = null;
10: Scanner inFromClient = null;
11: DataOutputStream outToClient = null;
12: try {
13: welcomeSocket = new ServerSocket(6789);
14: }
15: catch (IOException e) {
16: System.out.println("Cannot create a welcome socket");
17: System.exit(1);
18: }
19: while(true) {
20: try {
21: System.out.println("The server is waiting ");
22: connectionSocket = welcomeSocket.accept();
23: inFromClient = new Scanner(connectionSocket.getInputStream());
24: outToClient =
25: new DataOutputStream(connectionSocket.getOutputStream());
26: clientSentence = inFromClient.nextLine();
27: capitalizedSentence = clientSentence.toUpperCase() + '\n';
28: outToClient.writeBytes(capitalizedSentence);
29: }
30: catch (IOException e) {
31: System.out.println("Error cannot create this connection");
32: }
33: finally {
34: try {
35: if (inFromClient != null)
36: inFromClient.close();
37: if (outToClient != null)
38: outToClient.close();
39: if (connectionSocket != null)
40: connectionSocket.close();
41: }
42: catch (IOException e) {
43: e.printStackTrace();
44: }
45: }
46: }
47: }
48: }
49:
สำหรับโปรแกรมนี้ก็มีส่วนที่จะอธิบายดังนี้ครับ บรรทัดที่ 13 เป็นการสร้างเซิร์ฟเวอร์ซ็อกเก็ตโดยใช้หมายเลขพอร์ต 6789 ในการรอรับการติดต่อกับไคลเอนต์ บรรทัดที่ 22 จะเห็นว่ามีการเรียกใช้เมท็อด accept() เมท็อดนี้จะมีผลทำให้โปรแกรมเซิร์ฟเวอร์หยุดรอรับการติดต่อจากไคลเอนต์ เมื่อไคลเอนต์ติดต่อเข้ามาก็จะสร้างซ็อกเก็ตเชื่อมต่อเพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล
บรรทัดที่ 23 สร้างสตรีมข้อมูลเข้า (input stream) เพื่ออ่านข้อมูลจากซ็อกเก็ต บรรทัดที่ 24-25 สร้างสตรีมผลลัพธ์ (output stream) เพื่อเขียนข้อมูลลงซ็อกเก็ต บรรทัดที่ 26 หยุดเพื่อรออ่านข้อมูลที่ไคลเอนต์จะส่งผ่านซ็อกเก็ตมา
บรรทัดที่ 27 แปลงสตริงที่รับมาให้เป็นตัวอักษรตัวใหญ่ และบรรทัดที่ 28 เขียนข้อมูลผ่านซ็อกเก็ตกลับไปให้ไคลเอนต์ ใน finally clause จะปิด stream ที่สร้างขึ้นมาทั้งหมด และซ็อกเก็ตเชื่อมต่อตัวนี้ เนื่องจากในตัวอย่างนี้เซิฟร์เวอร์จะแปลงสตริงที่ไคลเอนต์ส่งเข้ามา ส่งสตริงที่แปลงกลับไป และตัดการเชื่อมต่อกับไคลเอนต์ทันที และข้อสังเกตที่น่าสนใจก็คือจะเห็นว่าเราให้โปรแกรมนี้ทำงานอยู่ในลูปไม่รู้จบ ซึ่งเป็นธรรมชาติของโปรแกรมเซิร์ฟเวอร์ที่จะทำงานไปเรื่อย ๆ
โปรแกรมเซิร์ฟเวอร์ตัวนี้ให้บริการไคลเอนต์ครั้งละหนึ่งตัว เมื่อให้บริการไคลเอนต์ตัวหนึ่งเสร็จจึงจะไปให้บริการไคลเอนต์ตัวอื่นที่ติดต่อเข้ามาได้ ลักษณะของโปรแกรมเซิร์ฟเวอร์แบบนี้เราจะเรียกว่า iterative server ซึ่งก็คือเซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการไคลเอนต์ได้ครั้งละหนึ่งตัว ถ้ามีไคลเอนต์ตัวอื่นติดต่อเข้ามาขณะที่เซิร์ฟเวอร์กำลังให้บริการไคลเอนต์ตัวอื่นอยู่ ไคลเอนต์ที่ติดต่อเข้ามาก็จะถูกเข้าคิวไว้ เมื่อเซิร์ฟเวอร์ให้บริการไคลเอนต์ตัวนี้เสร็จก็จะกลับไปให้บริการไคลเอนต์ในคิว สำหรับเซิร์เวอร์ที่ให้บริการไคลเอนต์ได้ทีละหลายตัวพร้อมกันที่เรียกว่า concurrent server นั้น ทำได้โดยใช้เธรด (thread) ซึ่งจะกล่าวถึงในตอนต่อ ๆ ไป
คราวนี้มาดูโปรแกรมฝั่งไคลเอนต์บ้าง สำหรับโปรแกรมก็เป็นดังนี้ครับ
01: import java.io.*;
02: import java.net.*;
03: import java.util.*;
04: class TCPClient {
05: public static void main(String argv[]) throws Exception
06: {
07: String sentence;
08: String modifiedSentence;
09: Scanner inFromUser = null;
10: Socket clientSocket = null;
11: DataOutputStream outToServer = null;
12: Scanner inFromServer = null;
13: try {
14: inFromUser = new Scanner(System.in);
15: clientSocket = new Socket("localhost", 6789);
16: outToServer =
17: new DataOutputStream(clientSocket.getOutputStream());
18: inFromServer = new Scanner(clientSocket.getInputStream());
19: System.out.print("Please enter words: ");
20: sentence = inFromUser.nextLine();
21: outToServer.writeBytes(sentence + '\n');
22: modifiedSentence = inFromServer.nextLine();
23: System.out.println("FROM SERVER: " + modifiedSentence);
24: }
25: catch (IOException e) {
26: System.out.println("Error occurred: Closing the connection");
27: }
28: finally {
29: try {
30: if (inFromServer != null)
31: inFromServer.close();
32: if (outToServer != null)
33: outToServer.close();
34: if (clientSocket != null)
35: clientSocket.close();
36: }
37: catch (IOException e) {
38: e.printStackTrace();
39: }
40: }
41: }
42: }
บรรทัดที่ 15 เป็นการสร้างซ็อกเก็ตเชื่อมต่อ (Connection Socket) ให้สังเกตว่าเราใช้ชื่อโฮสต์คือ localhost เพราะโปรแกรมตัวอย่างของเราเราจะรันโปรแกรมเซิร์ฟเวอร์และไคลเอนต์บนเครื่องเดียวกัน ในกรณีที่รันโปรแกรมเซิร์ฟเวอร์บนเครื่องอื่น ให้ระบุชื่อหรือหมายเลขไอพีของเครื่องดังกล่าว
หมายเลขพอร์ตใช้หมายเลขที่โปรแกรมเซิร์ฟเวอร์รอรับการติดต่ออยู่ ในที่นี้ใช้ 6789 เพราะโปรแกรมเซิร์ฟเวอร์ที่เราเขียนขึ้นในบทความที่แล้วใช้หมายเลขพอร์ตนี้ บรรทัดที่ 16-17 สร้างสตรีมผลลัพธ์สำหรับเขียนข้อมูลลงซ็อกเก็ต บรรทัดที่ 18 สร้างสตรีมเพื่อรับข้อมูลจากซ็อกเก็ต
บรรทัดที่ 21 เขียนข้อมูลลงซ็อกเก็ตเพื่อส่งให้เซิร์ฟเวอร์ บรรทัดที่ 22 รอรับข้อมูลที่เซิร์ฟเวอร์จะส่งกลับมา finally clause บรรทัดที่ 28-35 ปิดสตรีมทุกตัว และซ็อกเก็ตเชื่อมต่อ
ต่อไปเราจะมาลองรันโปรแกรมเพื่อทดสอบการทำงานกันดู โดยจะขอยกตัวอย่างการรันโปรแกรมบนระบบปฏิบัติการไมโครซอฟท์วินโดวส์ นะครับ โดยเราจะรันทั้งสองโปรแกรมบนเครื่องเดียวกัน หลังจากคอมไฟล์ทั้งโปรแกรมเซิร์ฟเวอร์และไคลเอนต์แล้ว เราจะเริ่มจากรันโปรแกรมเซิร์ฟเวอร์ดังนี้ start java TCPServer
การรันโปรแกรม TCPServer
เราใช้คำสั่ง start นำหน้าคำสั่งที่ใช้รันโปรแกรมเซิร์ฟเวอร์เพราะเราต้องการจะเปิดหน้าจอ command prompt ชึ้นมาใหม่เพื่อใช้รันโปรแกรมเซิร์ฟเวอร์ โดนหน้าจอ command prompt เดิมจะได้ใช้สำหรับรันโปรแกรมไคลเอนต์ต่อไป ให้สังเกตว่าโปรแรมเซิร์ฟเวอร์จะรันอยู่ในอีกหน้าต่างหนึ่ง โดยพิมพ์คำว่า The server is waiting
การรันไคลเอนต์ใช้คำสั่งดังนี้ java TCPClient
การรันโปรแกรม TCPClient
หลังจากนั้นเราสามารถป้อนข้อความอะไรก็ได้ โดยโปรแกรมฝั่งเซิร์ฟเวอร์จะส่งข้อความที่เราป้อนเข้าไปกลับมาเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวใหญ่ จากตัวอย่างนี้ เราป้อนคำว่า This is the house ซึ่งก็ได้รับการตอบกลับมาเป็นประโยคเดียวกัน แน่เป็นตัวอักษรตัวใหญ่ทั้งหมด หลังจากรันโปรแกรมแล้วโปรแกรมฝั่งไคลเอนต์จะจบการทำงาน ส่วนโปรแกรมฝั่งเซิร์ฟเวอร์จะรอรับการติดต่อจากไคลเอนต์ต่อไป
ให้สังเกตว่าที่หน้าจอของเซิร์ฟเวอร์มีการพิมพ์คำว่า The server is waiting อีกครั้งหนึ่ง นั่นคือมันให้บริการไคลเอนต์เสร็จแล้ว และพร้อมจะให้บริการไคลเอนต์ตัวถัดไปแล้ว ดังนั้นเราสามารถรันโปรแกรมฝั่งไคลเอนต์เพื่อติดต่อเข้าไปอีกกี่รอบก็ได้ ถ้าต้องการจบการทำงานของโปรแกรมฝั่งเซิร์ฟเวอร์ให้ไปที่หน้าต่างของโปรแกรมเซิร์ฟเวอร์และกด Ctrl-C หรือกดปิดหน้าต่างก็ได้
อีกหนึ่งจุดที่อยากให้ทดลองคือ เซิร์ฟเวอร์ที่เราเขียนขึ้นจากตัวอย่างที่แล้วเป็น iterative server คือจะให้บริการไคลเอนต์ได้ทีละหนึ่งตัว ตัวที่ติดต่อเข้ามาภายหลังจะต้องเข้าคิวรอไว้ ดังนั้นเพื่อให้เห็นภาพให้ลองรันไคลเอนต์สักสองตัว โดยเปิดหน้าต่าง command prompt ขึ้นมาสองหน้าต่าง แต่ละหน้าต่างก็รันโปรแกรมไคลเอนต์ จากนั้นให้ลองดูว่าถ้าป้อนสตริงจากไคลเอนต์ที่รันเป็นตัวที่สองก่อนที่จะป้อนสตริงจากไคลเอนต์ตัวที่หนึ่งจะเกิดอะไรขึ้น
หมายเหตุ:
1. ในกรณีที่รันโปรแกรมเซิร์ฟเวอร์ไม่ได้ส่วนใหญ่ปัญหาจะเกิดจากการที่ใช้หมายเลขพอร์ตซ้ำกับโปรแกรมอื่นที่รันอยู่ ให้แก้หมายเลขพอร์ตในโค้ดโปรแกรมของทั้งเซิร์ฟเวอร์และไคลเอนต์ จากนั้นคอมไพล์โปรแกรมและรันใหม่
ถ้าสนใจบทความอื่น ๆ ทางด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ และการพัฒนาโปรแกรมของผมสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://computingblog.intakosum.net/

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา