16 ส.ค. 2020 เวลา 01:45 • กีฬา
ชัยชนะแบบพลิกล็อคของ โอลิมปิก ลียง เหนือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3-1 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ถือเป็นการประกาศชัยชนะอย่างเป็นทางการของ ลีก เอิง ว่าพวกเขามีมาตรฐานสูงกว่าการเป็นแค่ “ลีกบอท” อย่างที่แฟนบอลหลายๆ คนเหยียดหยาม
นี่คือครั้งแรกในประวัติศาสตร์ UCL ที่ทีมจากฝรั่งเศสทะลุเข้ารอบรองชนะเลิศได้ถึง 2 ทีม โดยอีก 2 ทีมที่เหลือมาจากบุนเดสลีกา ที่หลายๆ คนก็เรียกว่าเป็น “ลีกบอท” ด้วยเหมือนกัน
รอบรองชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก ยังคงเป็นสิ่งที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า พาทีมเรือใบสีฟ้าไปไม่ถึง ทั้งที่สมัยที่คุม บาร์เซโลน่า และ บาเยิร์น มิวนิค เขาต้องพาทีมเข้าถึงรอบตัดเชือกเป็นอย่างน้อยได้ตลอด
ถึงแม้ว่า แมนฯ ซิตี้ ในยุคของกุนซือชาวกาตาลัน ลงทุนเสริมทัพในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาไปไม่ต่ำกว่า 700 ล้านปอนด์ พร้อมปรับเกมการเล่นให้มีคุณภาพ จนยกระดับมาตรฐานในพรีเมียร์ลีกให้สูงขึ้นไปอีก และกลายเป็นทีมที่เป็น “เต็งหนึ่ง” ของทุกรายการที่ลงแข่งขัน...
แต่ความเป็นจริงก็คือ 4 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ กวาร์ดิโอล่า ไปทำงานที่อังกฤษ มีทีมจาก ลีก เอิง ที่เข้าถึงรอบรอง UCL มากกว่าทีมจากพรีเมียร์ลีกเสียด้วยซ้ำ
นับตั้งแต่ฤดูกาล 2016-17 เป็นต้นมา ตัวแทนจากลีกแดนผู้ดีมีเพียง 2 ทีมที่ทะลุถึงรอบ 4 ทีมสุดท้าย ได้แก่ ลิเวอร์พูล (2018 และ 2019) ส่วนอีกทีมคือ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ซึ่งเข้าชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว
ขณะที่ตัวแทนจากฝรั่งเศสมี 3 ทีมด้วยกัน ประกอบด้วย โมนาโก (2017) และอีก 2 ทีมได้แก่ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง และ โอลิมปิก ลียง ที่ทำได้ในปีนี้
การเข้าถึงรอบรองชนะเลิศของ เปแอสเช อาจไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะทีมของ โธมัส ทูเคิ่ล ยังไม่ได้เจอ “ของจริง” เท่าไรนักในรอบน็อคเอาต์ เพราะไม่ว่าจะเป็น โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ อตาลันต้า ต่างมีชื่อชั้นเป็นรองแชมป์ลีกแดนน้ำหอมทั้งสิ้น
แต่การมาไกลขนาดนี้ของ โอลิมปิก ลียง เนี่ยสิ ที่ถือเป็นเรื่องเกินคาดมากๆ
ฤดูกาล 2019-20 อดีตแชมป์ ลีก เอิง 7 ปีซ้อน ออกสตาร์ทฤดูกาลอย่างย่ำแย่ โดยชนะแค่ 2 นัดจาก 10 เกมแรก จนต้องรีบปลด ซิลวินโญ่ ออกจากตำแหน่งเฮดโค้ช แล้วดึง รูดี้ การ์เซีย เข้ามาทำทีมแทน
ถึงแม้จะเปลี่ยนกุนซือ แต่ การ์เซีย ก็ทำได้ดีที่สุดแค่พาทีมขยับจากสถานการณ์หนีตกชั้น กลับไปอยู่ครึ่งบนของตาราง ก่อนที่ ลีก เอิง จะถูกสั่งตัดจบดื้อๆ ทั้งที่ยังเหลือโปรแกรมไม่ต่ำกว่าทีมละ 10 นัด
การไม่ได้โอกาสแข่งต่อให้จบ ทำให้ ลียง ต้องโชคร้าย จบซีซั่นแค่อันดับ 7 และไม่ดีพอแม้กระทั่งคว้าตั๋ว ยูโรปา ลีก เพราะในเวลาต่อมา พวกเขาพลาดแชมป์ เฟร้นช์ ลีก คัพ เมื่อดวลจุดโทษแพ้ เปแอสเช ในนัดชิง
ทางเดียวที่พวกเขาจะได้ปรากฏตัวในรายการของยูฟ่าฤดูกาลหน้า จึงเหลือเพียงหนทางที่ยากที่สุด นั่นคือการคว้าแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลนี้ให้ได้สถานเดียวเท่านั้น
หากเทียบกับอีก 7 ทีมที่เหลือ ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายถ้วยหูโตซีซั่นนี้ คุณจะพบว่าทีมอื่นๆ ไม่มีใครจบอันดับในลีกต่ำกว่าที่ 3 เลย นั่นจึงเป็นหลักฐานฟ้องชัดว่า โอลิมปิก ลียง คือทีมที่ดูน่าจะ “เคี้ยวง่าย” ที่สุดในรอบน็อคเอาต์
ย้อนไปในรอบแบ่งกลุ่ม โอลิมปิก ลียง ไม่ได้อยู่ร่วมสายกับทีมระดับเต็งแชมป์เลยสักทีม
คู่แข่งร่วมกลุ่ม G ประกอบด้วย แอร์เบ ไลป์ซิก, เบนฟิก้า และ เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก แต่กว่าที่ รูดี้ การ์เซีย จะพาทีมผ่านเข้ารอบมาได้ ก็แทบกระอักเลือด
ในเกมนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม ลียงโดนไลป์ซิกบุกนำห่าง 0-2 คาบ้านตัวเอง ก่อนจะโชว์ฮึดไล่ตีเสมอได้เป็น 2-2 ก่อนหมดเวลาเพียง 8 นาที โดยฮีโร่ผู้ซัดตีเจ๊าคือ เมมฟิส เดอปาย
ถ้าหากไม่มีประตูนั้น ลียงจะมีแค่ 7 แต้มร่วมกับ เบนฟิก้า และ เซนิต และจะต้องตกรอบแบ่งกลุ่มด้วยอันดับบ๊วย ซึ่งไม่ได้ไปต่อแม้กระทั่งรอบน็อคเอาต์ของถ้วยเล็กอย่าง ยูโรปา ลีก
เพราะหากเอาผลการแข่งขันเฉพาะการเจอกันเองระหว่าง ลียง, เบนฟิก้า และ เซนิต มาวัดกันแบบ “มินิลีก” ถือว่าทีมจากฝรั่งเศสเองนั่นแหละ ที่แย่กว่าใครเพื่อน
ด้วยฟอร์มแบบนั้นใครจะไปคิดว่าพวกเขาจะเอาตัวรอดได้ ในการเจอแชมป์ กัลโช่ เซเรีย อา 9 ปีซ้อนอย่าง ยูเวนตุส ที่มีราชาถ้วยนี้อย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ นำทีม
และขนาดผ่านยูเว่มาได้ด้วยกฎประตูทีมเยือน ก็ยังคงไม่มีใครเชื่อมือว่า โอลิมปิก ลียง จะสามารถเอาตัวรอดได้ ในการพบกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ทันทีที่ บาเยิร์น มิวนิค ถล่ม บาร์เซโลน่า ยับเยิน 8-2 เข้าไปรอในรอบรองชนะเลิศ เชื่อว่าแฟนบอลไม่น้อยกว่า 90% จะต้องคิดว่าคู่ต่อสู้ทีมต่อไปของเสือใต้ คือทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า แน่ๆ
ขนาดแฮนดิแคปก่อนแข่ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังเป็นต่อไม่น้อยกว่าลูกครึ่ง
นั่นหมายความว่าโอกาสที่ ลียง ชนะขาดด้วยสกอร์ 3-1 คือเรื่องที่ถูกมองว่าแทบเป็นไปไม่ได้
สำหรับเกมรอบก่อนรองชนะเลิศคู่สุดท้าย ที่สนามเอสตาดิโอ โชเซ่ อัลวาลาเด้ เมื่อคืนวันเสาร์ ถือว่าน่าแปลกใจมากที่จู่ๆ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็คิดมากเกินเหตุ ด้วยการจัดวางแท็กติก 3-5-2 ลงไปสู้
นับตั้งแต่ฟุตบอลกลับมารีสตาร์ทแข่งใหม่อีกครั้งหลังผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 แมนฯ ซิตี้ ลงสนามด้วยระบบแบ็กโฟร์ทุกนัด ถ้าหากไม่ใช่สูตรเก่งอย่าง 4-3-3 ก็ต้องเป็น 4-2-3-1
ไม่รู้ว่าเป๊ปติดประมาท ลียง ที่เป็นรองพวกเขามากเกินไป จนมองข้ามช็อตถึงการทดลองระบบการเล่น 3 เซนเตอร์แบ็ก ที่อาจจะหวังใช้ในการเจอกับ บาเยิร์น มิวนิค หรือไม่
เพราะตามปกติแล้ว ถ้าทีมของคุณเหนือกว่าคู่แข่งมหาศาล ศักยภาพนักเตะเหนือกว่าเห็นๆ ก็ไม่ควรเปลี่ยนแปลงระบบการเล่นที่ตัวเองถนัดไปดื้อๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเกมที่แข่งกันแบบ “นัดเดียวจอด” ไม่มีเลกสองให้ไปแก้ตัว
แม้จะเปลี่ยน 11 ตัวจริงจากเกมย้ำแค้น เรอัล มาดริด 2-1 แค่ตำแหน่งเดียว คือให้กองหลังอย่าง เอริก การ์เซีย ออกสตาร์ทแทนกองกลางตัวรุกอย่าง ฟิล โฟเด้น แต่การถอดตัวรุกออกแล้วใส่ตัวรับแทน ทำให้แผนการเล่นต้องเปลี่ยนแปลงแทบล้มกระดาน
เอริก การ์เซีย ถูกจับยืนเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟตัวกลางในแผงแบ็กทรี ขนาบข้างด้วย แฟร์นันดินโญ่ ทางขวา และ อายเมอริค ลาป๊อร์กต์ ทางซ้าย
ขณะที่วิงแบ็กขวา-ซ้ายคือ ไคล์ วอล์คเกอร์ และ ชูเอา คันเซโล่ ตามลำดับ
แดนกลางให้ โรดรี้ ยืนต่ำสุดคอยเชื่อมเกมจากแนวรับขึ้นมา ปล่อยให้ เควิน เดอ บรอยน์ กับ อิลคาย กุนโดกัน คุมเกมกลางสนาม
ส่วนแดนหน้าใช้ กาเบรียล เชซุส เล่นคู่กับ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง
จนป่านนี้ผมยังไม่เข้าใจว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เลือกใช้แผนการเล่นที่ลูกทีมตัวเองไม่ถนัดในเกมสำคัญแบบนี้ทำไม
ทั้งที่เมื่อคืนวันศุกร์ กีเก้ เซเตียน ก็ทำให้ บาร์เซโลน่า ดับอนาถ ด้วยการคิดมากเปลี่ยนไปใช้หมาก 4-4-2 จนโดน บาเยิร์น มิวนิค ต้อนซะไร้ทางสู้ให้เห็นมาแล้ว
เป็นทาง โอลิมปิก ลียง เองต่างหาก ที่มั่นใจกับการใช้ระบบหลังสามมากกว่า เพราะนี่คือแผนการเล่นที่ รูดี้ การ์เซีย ใช้กำราบ ยูเวนตุส เข้ารอบมาได้ และเขาไม่เปลี่ยนแปลง 11 ตัวจริงจากเกมที่เยือนยูเว่ที่ตูรินแม้แต่ตำแหน่งเดียว
แอนโธนี่ โลเปส ลงเฝ้าเสา ส่วนกองหลังได้แก่ เจสัน เดนาเยอร์ (นักเตะที่ แมนฯ ซิตี้ ไม่เหลียวแล), มาร์เซโล่ และ แฟร์นันโด มาร์ซาล
วิงแบ็กฝั่งขวาคือ เลโอ ดูบัวส์ ทางซ้ายคือดาวเตะทีมชาติโกตดิวัวร์อย่าง แม็กซ์เวล กอร์กเน่ต์
ตรงกลาง 3 คนอัดแน่นด้วยมิดฟิลด์อย่าง มักซ็องซ์ กาเกเร่ต์, บรูโน่ กีมาไรส์ และ ฮุสเซม อาอูอาร์
ส่วนความหวังสูงสุดในแดนหน้าคือ เมมฟิส เดอปาย โดยมีพาร์ทเนอร์เป็นหัวหอกทีมชาติแคเมอรูนอย่าง คาร์ล โตโก เอกอมบี้ ส่วนดาวยิงตัวเก่งอย่าง มุสซ่า เดมเบเล่ ถูกดร็อปเป็นตัวสำรอง 2 นัดติดต่อกัน
ปกติแล้ว ระบบ 3 เซนเตอร์แบ็กจะเหมาะสำหรับทีมที่ต้องการเน้นความรัดกุม และหาโอกาสโต้กลับมากกว่า
ซึ่งแน่นอนว่าทีมที่เหมาะกับแผนการเล่นนี้มากกว่าคือ ลียง ไม่ใช่ทีมที่มีจุดเด่นที่การครองบอลและต่อบอลอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้
การปรับระบบแนวรับจากแบ็กโฟร์เป็นแบ็กทรี และพอเกมไม่ค่อยดีก็ปรับเป็นแบ็กโฟร์กะทันหัน จนสลับตำแหน่งระหว่างเกมกันจนซับซ้อนไปหมด ทำให้ แมนฯ ซิตี้ เล่นกันแบบขาดความเข้าใจ
พวกเขาต้องอาศัยความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะในการโจมตี มากกว่าจะเข้าทำเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพเหมือนนัดก่อนๆ
นาทีที่ 23 แมนฯ ซิตี้ จึงถูกลงโทษด้วยการที่ คาร์ล โตโก เอกอมบี้ เอาชนะกับดักล้ำหน้า ด้วยการสปีดไปรับบอลวางยาวจากแดนหลังของ แฟร์นันโด มาร์ซาล ได้ ซึ่ง ไคล์ วอล์คเกอร์ ขยับขึ้นเช็คไลน์ช้า จึงเสียท่าไป
แม้ว่า เอริก การ์เซีย จะพยายามตามไปสกัด แต่ก็กลายเป็นการเขี่ยถวายพานให้ แม็กซ์เวล กอร์กเน่ต์ ได้ซัดด้วยซ้ายตามน้ำเข้าหาประตูโล่งๆ อย่างคมกริบ
จะโทษนายประตูอย่าง เอแดร์ซอน โมราเอส ที่ออกจากเส้นประตูมาไกลเกินก็คงว่าได้ไม่เต็มที่ เพราะเขาต้องลนลานรีบวิ่งออกมาตั้งแต่เห็นว่า เอกอมบี้ กำลังจะหลุดเดี่ยวแล้ว และเมื่อ กอร์กเน่ต์ ยิงเร็วได้สมบูรณ์แบบขนาดนั้น ยังไงก็กลับไปเซฟไม่ทันแน่
เมื่อประตูแรกของเกม ตกเป็นของ โอลิมปิก ลียง ถือเป็นความเสียหายอย่างใหญ่หลวงของ แมนฯ ซิตี้ เพราะพวกเขาออกสตาร์ทเกมด้วยแท็กติกที่ไม่ได้ผล และไม่ใช่ธรรมชาติของพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ตัวสำรองคนแรกที่ กวาร์ดิโอล่า ส่งลงตั้งแต่เกมยังไม่ทันครบหนึ่งชั่วโมงจะเป็น ริยาด มาห์เรซ แล้วถอดนักเตะตัวรับผู้เชื่องช้าอย่าง แฟร์นันดินโญ่ ออก เพื่อปรับระบบมาเป็น 4-3-3 เหมือนเดิม
ซิตี้ เริ่มเดินเกมได้อย่างต่อเนื่องมากขึ้นก่อนได้ประตูตีเสมอเป็น 1-1 ในนาทีที่ 69
ถือเป็นการเข้าทำที่เข้าขารู้ใจ และเปี่ยมประสิทธิภาพ บอลจาก ชูเอา คันเซโล่ ขึ้นหน้า มี กาเบรียล เชซุส วิ่งลงต่ำมารับบอล ก่อนม้วนหาเหลี่ยมเบิ้ลเร็วขึ้นหน้าให้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ใช้ความเร็วสปีดไปเกือบสุดเส้นหลังฝั่งซ้าย แตะหลบ เจสัน เดนาเยอร์ ก่อนจ่ายเร็วไปยังที่ว่างให้ เควิน เดอ บรอยน์ เติมขึ้นมาแปตุงตาข่ายอย่างเฉียบขาด
หลังจากนั้น ดูเหมือนโมเมนตัมจะไปเข้าทางของ แมนฯ ซิตี้ แต่การที่เรือใบสีฟ้ายังเจาะแนวรับอันเหนียวแน่นของ ลียง เพื่อยิงแซงไม่สำเร็จ เปิดโอกาสให้ช่วงท้ายเกม รูดี้ การ์เซีย ส่งนักเตะตัวสดๆ อย่าง มุสซ่า เดมเบเล่ ลงไปแทน เมมฟิส เดอปาย และกลายเป็นตัวโจ๊กเกอร์ของเกม
ประตูขึ้นนำ 2-1 ของลียง สำหรับผมถือว่าไลน์แมนควรยกธงล้ำหน้ามากกว่า ถือว่า แมนฯ ซิตี้ เสียประตูนั้นไปแบบโชคร้าย
เพราะถึงแม้ว่า คาร์ล โตโก เอกอมบี้ จะไม่ได้เล่นบอล แต่การข้ามหลอกของเขาให้ลูกจ่ายจาก ฮุสเซม อาอูอาร์ หลุดไปถึง มุสซ่า เดมเบเล่ ได้วิ่งสอดหลุดเดี่ยวขึ้นไปยิง ก็ถือเป็นการเล่นจากตำแหน่งล้ำหน้า และส่งผลต่อสมาธิของแนวรับ แมนฯ ซิตี้ แล้ว
แต่แน่นอนว่าจังหวะที่ตัดสินผลแพ้ชนะที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุด หนีไม่พ้นการพลาดโอกาสทองฝังเพชรแบบไม่น่าให้อภัยในนาที 86 ของ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง
ทั้งที่ตรงหน้าปีกทีมชาติอังกฤษมีแค่ตาข่ายโล่งๆ หลังจาก กาเบรียล เชซุส ถวายพานมาให้อย่างดีที่สุดชนิดที่ไม่รู้ว่าจะดีกว่านี้ได้ยังไงแล้ว แต่ สเตอร์ลิ่ง กลับยิงข้ามคานจนทำลายกำลังใจของทีมในช่วงเวลากดดันไปเสียหมดสิ้น
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อดีตดาวเตะลิเวอร์พูลพลาดโอกาสจะแจ้ง
เขาเหวี่ยงโอกาสทองแบบนี้มาแล้วนับไม่ถ้วนตลอดฤดูกาล ชนิดที่ว่าถ้าหากไม่เคยพลาดโล่งๆ บ่อยเกินไป เขาอาจมีลุ้นคว้าดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกได้เลยด้วยซ้ำ
และเมื่อไม่สามารถฉวยโอกาสตีเสมอได้ ลียง จึงได้ใจ บุกขึ้นไปยิงตอกฝาโลงทันที จากจังหวะที่ เอแดร์ซอน โมราเอส เซฟลูกยิงของ ฮุสเซม อาอูอาร์ ไม่อยู่ เข้าทาง มุสซ่า เดมเบเล่ ยิงประตูที่ 2 ให้ตัวเอง
การที่ โอลิมปิก ลียง นำห่างถึง 3-1 โดยที่ก่อนหน้านั้นไม่กี่วินาทีเพิ่งรอดตัวจากการโดนตีเสมอ ทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไร้วี่แววที่จะสร้างปาฏิหาริย์อีกแล้ว แม้ผู้ตัดสินจะทดเวลาบาดเจ็บนานถึง 5 นาทีก็ตาม
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ให้สัมภาษณ์หลังจบเกมแบบยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ยังคงหวังว่า ในฤดูกาลที่ 5 ของเขาในถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม เขาจะทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปถึงรอบรองชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้ได้เสียที
“ผมไม่ต้องการจะตำหนิ หรือมองหาข้อแก้ตัว พวกเราตกรอบ สำหรับเรื่องของช่วง 25 นาทีแรก (โดนนำ 1-0) หรือการที่เราเจอความลำบากในการค้นหาจังหวะของเราเอง"
"และแม้ว่าผมรู้สึกว่าพวกเราเหนือกว่ามากในครึ่งหลัง แต่ในการแข่งขันรายการนี้ คุณต้องสมบูรณ์แบบ”
“เราสร้างโอกาสได้หลายครั้งในครึ่งหลัง แต่เราเองก็เสียประตู 2 ลูก เราต้องทำให้ดีกว่านั้น”
“เราทำอะไรที่ดีบางอย่างในเกมนี้ แต่เราก่อความผิดพลาดในพื้นที่ทั้ง 2 ฝั่ง และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราแพ้”
“มันคือเรื่องน่าผิดหวัง แต่ตอนนี้มันคือเวลาของการพักร้อน พวกเราจะพยายามกันต่อไป และในวันหนึ่ง ผมมั่นใจว่าพวกเราจะสามารถก้าวข้ามช่องโหว่นี้ไปได้”
หลายๆ ครั้งฟุตบอลก็เป็นแบบนี้ สิ่งที่ใครๆ ก็คาดว่ามันจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน มันอาจเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นก็ได้
แทบไม่มีใครคิดว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะต้องมาตกรอบด้วยน้ำมือของทีมอย่าง โอลิมปิก ลียง ทั้งที่เพิ่งล้มแชมป์ ลา ลีกา อย่าง เรอัล มาดริด มาได้ทั้งไปและกลับ
ไม่มีใครคิดตอนได้ดูถ่ายทอดสด ว่าจังหวะที่ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง เสือกเท้าเข้าแปโล่งๆ มันจะข้ามคานแบบนั้น
แทบไม่มีใครคิดว่า โอลิมปิก ลียง จะเป็นหนึ่งใน 4 ทีมสุดท้าย ทั้งที่พวกเขาเกือบจะร่วงไปตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม
แม็กซ์เวล กอร์กเน่ต์ วิงแบ็กซ้ายของ ลียง ผู้ทำประตูแรกของเกม เผยว่าถ้าต้นสังกัดมาไกลถึงขนาดนี้ ก็ไม่ต้องกลัวใครหน้าไหนอีกแล้ว
“พวกเราโชคดีที่ได้ต่อสู้กับเหล่านักเตะที่ดีที่สุดในโลก พวกเราไม่ได้มาที่นี่ด้วยความบังเอิญ พวกเราทำงานมาหนักมาก พวกเราไม่เคยยอมแพ้ และพวกเรายังมีอีก 2 แมตช์”
.
แน่นอนว่าในรอบรองชนะเลิศ ทุกคนจะต้องยกให้ บาเยิร์น มิวนิค เป็นต่อ และคงยังไม่มีใครคิด ว่า ลียง จะเจ๋งพอที่จะล้มทีมเสือใต้ของ ฮันซี่ ฟลิค ที่แกร่งทั่วแผ่น
แต่ในเมื่อ รูดี้ การ์เซีย กล้าๆ พาทีมหักปากกาเซียนให้เห็นมาแล้ว ทั้งการล้มแชมป์ กัลโช่ เซเรีย อา และแชมป์เก่าพรีเมียร์ลีก…
ถ้าจะต้องเจอกับแชมป์บุนเดสลีกาในรอบต่อไป โอลิมปิก ลียง ก็คงพร้อมสู้แบบไม่มีอะไรจะเสียครับ
#เสียบสามเหลี่ยม #Lyon #OlympiqueLyonnais #ManCity #MCFC #PepGuardiola #Sterling #MoussaDembele #Bayern #Bundesliga #Ligue1 #PremierLeague #UCL #ChampionsLeague
ชอบกดไลค์ ถูกใจกดแชร์ และเพื่อไม่พลาดบทความคุณภาพจากเรา อย่าลืมกดไลค์เพจ และติดตามเพจแบบ See First ไว้เลยนะครับ
..สนใจติดต่อลงโฆษณา, สนับสนุนเพจ ติดต่อจ้างงานเขียนบทความฟุตบอล งานแปลข่าว เขียนสคริปต์สำหรับ Content ฟุตบอล หรือแปลหนังสือฟุตบอล ทักอินบ็อกซ์ สอบถามได้ตลอดเวลาครับ
โฆษณา