16 ส.ค. 2020 เวลา 15:31 • การเมือง
ช่วงนี้ประเด็นทางการเมืองร้อนแรง วันนี้ผมขอมาอัพเดทประเด็นทางการเมืองกันบ้าง แต่เป็นการเมืองของทางฝั่งประเทศอีกซีกโลก ก็คือสหรัฐอเมริกานั่นเองครับ
ช่วงนี้การเมืองทางฝั่งสหรัฐเองก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน เนื่องจากจะมีการเลือกตั้งประธนาธิบดีในเดือนพฤศจิกายนนี้ครับ ซึ่งรู้หรือไม่ครับ ในสมัยข้างหน้า เราอาจจะไม่ได้เห็นประธานาธิบดีจอมทวิตเตอร์คนนี้อีกแล้วก็เป็นได้
ท้าวความเบื้องต้นก่อนว่า การเลือกตั้งของทางสหรัฐตอนนี้ ปัจจุบันมีแคนดิเดตสำคัญอยู่สองท่าน นั่นก็คือ นายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน และ นายโจ ไบเดน จากทางฝั่งพรรคเดโมแครต
โดยสถานการณ์ตอนนี้ของทรัมป์นั้น ไม่สู้ดีเท่าไหร่ครับ จากโพลหลักๆเกือบจะทั้งหมด จะเห็นได้ว่าตอนนี้ทางฝั่งนายไบเดน ค่อนข้างนำทรัมป์อยู่ห่างโขพอสมควรครับ โดยจากโพลส่วนใหญ่นั้น เดโมแครต ได้ที่นั่งเลย 270 ที่นั่งซึ่งเป็นจำนวนมากกว่าครึ่งไปแล้ว โดยเก้าอี้ที่ชนะอย่างท้วมท้นและไม่น่าจะพลิกโผ มีมากถึง 180-190 ที่ ในขณะที่ฝั่ง รีพับลิกัน มีเก้าอี้ที่น่าจะชนะขาดลอยเพียง 70-80 ที่นั่งเท่านั้นครับ
หากเจาะลึกลงไปถึงฝั่งของรัฐ Swing State ที่เป็นรัฐที่กินกันไม่ค่อยลง จะเห็นว่ามีหลายรัฐเปลี่ยนแปลงไปในทางฝั่งเดโมแครตอย่างมากครับ
ในส่วนของสถานการณ์ของทรัมป์นั้นจัดได้ว่าค่อนข้างแย่ โดยหลักๆในช่วงหลังคะแนนความนิยมของเค้านั้น เริ่มตกลดลงมาเรื่อยๆจากเรื่องฉาวทุนเดิม ไม่ว่าจะเป็นจากเรื่องธรรมภิบาลที่มีข่าวด้านการโกงคะแนนเสียง การฮั้วกับจีนในการให้ซื้อสินค้าเกษตร โดยล่าสุดก็ยังโดนซ้ำไปอีกเรื่องจากการแก้ปัญหาในเรื่องไวรัส COVID-19 ที่เน้นในมุมมองธุรกิจมากเกินไป จนทำให้คนอเมริกันส่วนใหญ่ไม่ค่อยพอใจนักครับ
โดยผลสำรวจความน่าพึงพอใจของทรัมป์ตลอดการดำรงตำแหน่งในสมัยแรกมานั้น อยู่ที่ค่าเฉลี่ยเพียง 40% เท่านั้นครับ ซึ่งถ้าเทียบกับประธานาธิบดีคนเก่าๆในสมัยแรก ทรัมป์เรียกได้ว่าต่ำสุดเลยครับ ซึ่งขนาดคนที่ต่ำที่สุดก่อนหน้านายทรัมป์คือนายจิมมี่ คาร์เตอร์ ยังได้ค่าเฉลี่ยไปถึง 45.5 ครับ ซึ่งหากสังเกตว่าจากประวัติศาสตร์คนที่ได้รับการเลือกในสมัยที่สองนั้น คะแนนในส่วนนี้มักจะอยู่ในระดับสูงกว่าทรัมป์ในตอนนี้เยอะครับ
อย่างไรก็ตามโพลมิได้บ่งชี้ความแน่นอนเสมอไปครับ ทรัมป์ก็เคยพลิกโผชนะฮิลลารี่มาแล้วในสมัยก่อนหน้า โดยยังเหลือเวลาอยู่อีกเกือบๆ 3 เดือน อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอครับ
ซึ่งในช่วงหลังนี้จะเห็นว่าทรัมป์พยายามที่จะสร้างข้อพิพาทกับจีน และพยายามที่จะสร้างความได้เปรียบจีนให้ได้ เพื่อโชว์ความเป็นอเมริกันนิยม และเรียกคะแนนเสียงกลับมานั่นเอง เนื่องจากนโยบายความเป็นอเมริกันนิยมเนี่ยแหละครับ ที่เป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้ทรัมป์ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในสมัยก่อนหน้า
ทั้งนี้หากทรัมป์ไม่ได้รับเลือกจะเกิดอะไรขึ้น? แน่นอนนักลงทุนทั้งหลายคงเป็นกังวลกับการปรับตัวของตลาดหุ้นครับ เนื่องจากการบริหารของทรัมป์เนี่ย ค่อนข้างสนับสนุนการเติบโตของตลาดหุ้นครับ สังเกตได้จากการพยายามกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐปรับลดดอกเบี้ยมาตลอดทาง ทั้งนี move ที่สำคัญจริงๆของเค้าคือการปรับลดภาษีนิติบุคคลครับ ซึ่งทำให้ลดภาระค่าใช้จ่ายของบริษัทยักษ์ใหญ่ลงไป และทำให้บริษัทเหล่านั้นมีผลกำไรเพิ่มขึ้นมา ซึ่งส่งผลให้หุ้นปรับขึ้นมารุนแรง
แต่หากผู้ชนะรอบนี้เป็น นายโจ ไบเดน ซึ่งเค้ามีนโยบายที่จะปรับภาษีนิติบุคคลกลับขึ้นมาครึ่งหนึ่งของที่ทรัมป์ปรับลงไปครับ ซึ่งแน่นอนจะส่งผลต่อตลาดหุ้นแน่ๆครับ นอกจากนี้ยังมีนโยบายอีกหลายๆด้านที่ค่อนข้างมีทิศทางแตกต่างไปจากทรัมป์ ไว้มีโอกาสผมจะมาเล่าให้ฟังในวันถัดๆไปครับ
ก็อัพเดทสถานการณ์กันคร่าวๆนะครับ เผื่อใครที่ไม่ได้ติดตามการเมืองทางฝั่งสหรัฐแล้วอยากจะได้ข้อมูลแบบสั้นๆ อย่างไรก็ตามอย่างที่ผมบอกไป สถานการณ์อาจจะพลิกโผกันได้เสมอ จับตาดูกันให้ดีครับว่าผู้นำประเทศยักษ์ใหญ่คนใหม่จะเป็นใคร เพราะผมคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยหากมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำรวมถึงเปลี่ยนแปลงนโยบาย เพราะมันอาจส่งผลต่อคนในประเทศเราบ้างไม่มากก็น้อยครับ เนื่องจากคนในประเทศเราก็มีการใช้บริการหรือมีความเกี่ยวข้องกับบริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอยู่พอสมควรครับ
อ้างอิง
โฆษณา