ตัวอย่างของธุรกิจที่ใช้หลัก Creatively Inefficient มาใช้คือ ร้าน Paul Smith
Paul Smith เป็นสินค้าแบรนด์เนมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แฟนคลับของแบรนด์มักจะชอบความมีลูกเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มากับดีไซน์คลาสสิคที่ใช้ได้นาน เพียงแต่ไม่น่าเบื่อ ผมเป็นคนนึงที่ชื่นชมวิธีคิดของแบรนด์นี้ เวลาไปต่างประเทศ จึงมักจะหาโอกาสแวะเวียนไปเดินดูร้านของเขา
ที่ปารีสมีร้าน Paul Smith อยู่ด้วยกัน 3 แห่ง ต่างขนาดแล้วแต่โลเคชั่น แต่ทุกร้านจะมีสไตล์การตกแต่งที่ไม่ได้เหมือนกันซะทีเดียว เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ก็แตกต่างกัน ทำให้ความรู้สึกเวลาไปเยือนแต่ละร้านนั้น ค่อนข้างแตกต่างกัน เสมือนไปคนละร้าน เพียงแต่ขายสินค้าที่คล้าย ๆ กัน
Sir Paul Smith บอกว่าการทำแบบนี้ ทำให้ต้นทุนการทำร้านแต่ละร้านแพงกว่าปกติ ใช้เวลามากกว่าทั่วไป เพราะต้องดูดีไซน์แต่ละร้าน เลือกการตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ ที่เหมาะกับแต่ละร้านจริง ๆ ไม่ใช่ออกแบบทีเดียวแล้วปั๊มออกมา ไปแต่ละที่ไม่มีความตื่นเต้นเอาเสียเลย
เขาทำแบบนี้ ทำให้ร้าน Paul Smith ยังมีคนเดินเข้า เปลี่ยนโลเคชั่นก็ยังอยากเข้าร้าน