-ตอนที่ผมรีวิว Death Race For Love ใจนึงผมก็คิดว่า พรสวรรค์ของเขาสามารถไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่นี้ได้ งานชุดนั้นเหมือนคนนึกสนุกที่สามารถฟรีสไตล์ได้เป็นวัน จนมันประกอบเป็นรูปเป็นร่างออกมาได้ นั่นเป็นสิ่งที่ Lil Dicky, Eminem, Young Thug ต่างสรรเสริญถึงพรสวรรค์ของเขา ตามคลิปเสียงสัมภาษณ์ที่ดันกลายเป็นส่วนสำคัญของอัลบั้มชุดนี้ในแทร็ค The Man The Myth The Legend ถึงงานเพลงก่อนๆจะขับเคลื่อนไปด้วยสัญชาตญาณดิบล้วนๆ แต่อย่างน้อยมีมากกว่าหนึ่งเพลงที่ถูกหวย ดันฮิตไปโดนคนส่วนใหญ่ได้ บางคนใช้เวลานานมากในการแต่งเพลงให้มันฮิต แต่เขาด้นสดแล้วมัน catchy ด้วยตัวมันเอง ถือเป็นความสามารถที่น่าทึ่งเหมือนกัน ตอนนั้นผมมีความหวังลึกๆที่จะได้เห็นการเฉิดฉายอย่างโดดเด่นจนสามารถเป็นได้มากกว่า emo trap ที่เป็นเทรนด์จนเริ่มจะเหมือนๆกันหมด แค่วัย 21 ปีเท่านั้น ต้นทุนทางอายุกำลังเหมาะเหม็งที่จะลับคม มีโอกาสอีกเยอะกว่าวัย 20 ปลายๆ คิดแบบไม่มีอะไร ชีวิตน่าจะหันสู่ความสุกสว่างได้ซักวันมั้ง จนกระทั่งการเสียชีวิตแบบช็อคโลกเมื่อปลายปีที่แล้วเป็นสิ่งที่เร็วเกินไปจนอดเสียใจไม่ได้
-ส่วนแขกรับเชิญที่มาช่วยเติมเต็มก็สามารถทำให้งานหลังความตายชุดนี้งดงามยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น The Weeknd ซึ่งผมโชคดีที่ได้รีวิวตอนที่ซิงเกิ้ลล่าสุดถูกเอามารวมในชุดนี้พอดีกับเพลง Smile ด้วยบริบทไร้ซึ่งความประชดประชัน เต็มเปี่ยมไปด้วยบริบทการเป็นผู้ให้จริงๆ โดยปกติเราจะได้ฟังเพลง Jarad ที่เป็นสไตล์ตัดพ้อซะเยอะ ส่วน Abel ยังคงพร่ำเพ้อถึงคนรักเก่าที่ตอนนี้กลายเป็นของคนอื่นไปแล้ว Tell Me U Luv Me ที่ได้ Trippie Redd มาถ่ายทอดท่อนฮุกได้อย่างอาลัยอาวรณ์มากๆ ความรู้สึกไปไกลกว่าที่จะเป็นเพลงอีโมง้อสาวแล้ว
-Hate the Other Side แทร็ปแร็พบริสุทธิ์ที่มีทั้ง Polo G และ The Kid LAROI มาฟีทระบายความอึดอัดใจในความรุนแรงของสังคมภายนอกที่แต่ละคนประสบพบเจอ การได้ชาวแก๊งค์ทั้งสองคนเป็นสิ่งที่เหมาะเหม็งในบริบทแบบนี้ Life’s a Mess พูดถึงความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิง รักแท้ไม่มีอยู่จริงตามถนัด การได้ Halsey มาเป็นเงาเสียงให้ถือเป็นตัวเลือกที่ดี สอดรับสไตล์ emo ของ Jarad ได้อย่างดี Come & Go อันนี้ดีเกินคาดเลยนะ จากผมที่ไม่เคยฟังสาย edm มานานมากแล้ว ยังดีที่ Marshmello ไม่ได้ยัดซาวน์ดอิเล็กทรอนิกส์ให้ดูล้นเกิน ใส่กลิ่นอายความเป็น glam rock ได้อย่างเหมาะเหม็งกับสไตล์ร็อคสตาร์หน่อยๆของศิลปินผู้ล่วงลับได้เป็นอย่างดี แถมเนื้อหาก็เหมาะกับการเป็นเพลงเต้นรำยุคใหม่ที่ไม่ได้เต้นใต้แสงเทียนแบบคุณพ่อคุณแม่แล้ว ยุคนี้มันต้องแสงสีน้ำเงินแดงแล้ว
-Can’t Die เหมือนเขาจะเริ่มคำนึงถึงคนใกล้ตัวมากขึ้นว่า เขายังไม่อยากตายไวจนคนรักต้องมาทุกข์ระทมเสียใจ อีกทั้งยังรู้สึกปลงที่ได้เห็นข่าวแร็ปเปอร์หลายๆคนเริ่มล้มหายตายจากเยอะขึ้นเรื่อยๆจนคิดไม่ตกว่า การใช้ชีวิตแบบคนไม่ปกติอย่างเขาจะเป็นรายต่อไปหรือไม่? นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่เขาตามพวกนั้นไปด้วย ปิดท้ายด้วย Man of The Year ที่มาแบบพังค์ร็อคตีมเด็กไฮสคูลโยกหัวเหวี่ยง ถ้าได้ฟังคุณจะโคตรรัก Juice มากขึ้นจนไม่อยากให้เขาจากไปเลย มันคือเพลงที่โคตร sincere กับแฟนเพลงมาก ถึงเจ้าตัวจะมีปัญหาชีวิตเยอะ อย่างน้อยเค้าก็ทิ้งเพลงไว้ปลอบประโลมคนอื่นได้ เสียดายมากที่เวอร์ชั่นแรกผมดันฟังแล้ว แยกความแตกต่างไม่ค่อยได้เท่าไหร่ เท่าที่รู้สัมผัสได้ว่าใน verse 2 ดูมีน้ำมีนวลมากขึ้นด้วยเครื่องสีไวโอลิน ไม่แน่ใจว่าเวอร์ชั่นแรกๆดิบกว่าสุดตรีนกว่าอย่างที่เค้าบอกรึเปล่า โคตรอยากฟังให้หายคล่องใจ
Top Tracks : Titanic, Righteous, Smile, Tell Me U Luv Me, Hate the Other Side, Life's a Mess, Come & Go, Fighting Demons, Wishing Well, Can't Die, Man of the Year