19 ส.ค. 2020 เวลา 12:55 • ดนตรี เพลง
[รีวิวอัลบั้ม] Legends Never Die - Juice WRLD
1
เพื่อนที่ไม่มีวันตาย
[รีวิวอัลบั้ม] Legends Never Die - Juice WRLD
-ตอนที่ผมรีวิว Death Race For Love ใจนึงผมก็คิดว่า พรสวรรค์ของเขาสามารถไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่นี้ได้ งานชุดนั้นเหมือนคนนึกสนุกที่สามารถฟรีสไตล์ได้เป็นวัน จนมันประกอบเป็นรูปเป็นร่างออกมาได้ นั่นเป็นสิ่งที่ Lil Dicky, Eminem, Young Thug ต่างสรรเสริญถึงพรสวรรค์ของเขา ตามคลิปเสียงสัมภาษณ์ที่ดันกลายเป็นส่วนสำคัญของอัลบั้มชุดนี้ในแทร็ค The Man The Myth The Legend ถึงงานเพลงก่อนๆจะขับเคลื่อนไปด้วยสัญชาตญาณดิบล้วนๆ แต่อย่างน้อยมีมากกว่าหนึ่งเพลงที่ถูกหวย ดันฮิตไปโดนคนส่วนใหญ่ได้ บางคนใช้เวลานานมากในการแต่งเพลงให้มันฮิต แต่เขาด้นสดแล้วมัน catchy ด้วยตัวมันเอง ถือเป็นความสามารถที่น่าทึ่งเหมือนกัน ตอนนั้นผมมีความหวังลึกๆที่จะได้เห็นการเฉิดฉายอย่างโดดเด่นจนสามารถเป็นได้มากกว่า emo trap ที่เป็นเทรนด์จนเริ่มจะเหมือนๆกันหมด แค่วัย 21 ปีเท่านั้น ต้นทุนทางอายุกำลังเหมาะเหม็งที่จะลับคม มีโอกาสอีกเยอะกว่าวัย 20 ปลายๆ คิดแบบไม่มีอะไร ชีวิตน่าจะหันสู่ความสุกสว่างได้ซักวันมั้ง จนกระทั่งการเสียชีวิตแบบช็อคโลกเมื่อปลายปีที่แล้วเป็นสิ่งที่เร็วเกินไปจนอดเสียใจไม่ได้
-การได้มาฟัง posthumous album ของ Jarad Anthony Higgins อาจจะเป็นสิ่งที่ทำใจยากหน่อยสำหรับ hardcore fan ที่ดำดิ่งไปกับบทเพลงอีโมอกหักของเขาจนอินเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอมาเจอกับชุดนี้คุณจะดาวน์จนทำใจลืมไม่ได้อย่างแน่นอน เผลอๆยังไม่กล้าฟังด้วยซ้ำ อันนี้ต้องเตือนกันก่อน เพราะบรรยากาศของเพลงเต็มไปด้วยความจิตตกและลางสังหรณ์บอกเหตุอยู่เรื่อย ซึ่งเป็นเซนส์ที่น่ากลัวมากๆ อ่อนไหวพอสมควร
-แต่ถ้ามองในเชิงรำลึกถึงผู้จากไป นี่คือผลงานรสโศกที่เราต้องคาราวะคนที่รวบรวมผลงานเหล่านี้ขึ้นมา ราวกับพวกเขาเห็นคุณค่าในผลงานของ Jarad มากกว่ามูลค่าทางการค้า เป็นการเผยแพร่เพื่อรำลึกถึงการต่อสู้ดิ้นรนกับภาวะเสพติดยา และภาวะจิตตกที่เขาพยายามมาตลอดตั้งแต่โลดแล่นอยู่ในวงการ แน่นอนว่าความพยายามรังสรรค์ของ Jarad เป็นสิ่งที่ดีงามมากกว่าทำให้คนตื่นกลัว เหมือนเพื่อนคนนึงที่กำลังปลอบประโลมคนอื่นๆว่า “อย่าคิดว่ามีนายคนเดียวที่กำลังเผชิญกับสิ่งเลวร้ายนี้อยู่ เราก็เช่นกัน” Jarad ไม่พยายามสร้างเพลงมาเปลี่ยนโลกในเชิงการเคลื่อนไหวทางสังคม แต่เขาพยายามทำสิ่งที่ตัวเองรักเพื่อเยียวยาจิตใจตัวเองและคนอื่นๆไปพร้อมๆกัน
-ผมนับถือความเข้าใจคิดของโปรดิวเซอร์ที่เอาคลิปเสียงสัมภาษณ์รายการ IRL หนึ่งในคอนเทนท์ของ Genius มาให้เรารับรู้ถึงสิ่งที่เขาอยากบอกเล่าต่อไปในอินโทร Anxiety ทำให้เราเข้าใจถึงเป้าประสงค์แบบ overall ของการเป็นศิลปินที่ไม่ใช่แค่เจ้าพ่อเพลงรักอกหักอย่างเดียว ซึ่งเราจะได้เจอความ Anxiety พร้อมอยากระบายให้ทุกคนฟังตลอดทั้งอัลบั้ม
-ในเพลง Titanic เขาเปรียบเปรยความขึ้นสุดลงสุดได้เห็นภาพอย่างจริงจังด้วยบีทสุด tense ต่อให้รวยจากการเป็นศิลปินมากแค่ไหนก็ยังเยียวยาจิตใจไม่ได้ Righteous มันคือ anthem หม่นๆของคนหลอน Percocet, Codeine ที่ใช้มันเป็นที่พึ่งทางลัดจนติดแหงกอยู่กับวังวน Bad Energy แทนที่จะเป็นเพลงแห่งการมองโลกในแง่ดี พยายามรับพลังงานบวกเข้ามา แต่ก็ยังไม่พ้นการใช้ยา,โคดีนแก้ปัญหาอยู่ดี Stay High ก็ไม่ใช่สายชิวล์ลอยๆที่มีวิธีแก้ปัญหาเข้าท่าได้อย่างสบายอกสบายใจได้ จนกระทั่ง Wishing Well แสดงถึงภาวะกระอักกระอ่วมเห็นภาพคนที่หายใจไม่ทั่วถึงท้อง กำลังตกในภาวะ SOS อย่างจวนเจียน มืดมนจนมองไม่เห็นทางของวันพรุ่งนี้ได้ง่ายดายนัก จนไม่อยากปิดโกหกตัวเองอีกต่อไป ตรงกันข้ามกับความมืดหน้าตามัวก็คือการนำเสนอด้วยท่วงทำนองสวยงามจนน่าเห็นใจมากกว่าหลอนไปตามการบรรยาย
-เกือบทุกเพลงแทบจะเอื้อกับความเชื่อจำพวกขายวิญญาณให้ซาตานมากๆ ซึ่งผมไม่รู้เหมือนกันว่าแกจงใจจะขายวิญญาณด้วยหรือไม่ แค่เพลงแรก Conversations แสดงถึงความลุ่มร้อนคั่นเนื้อคั่นตัวมาแต่ไกล ราวกับเห็นนิมิตรซาตานมาเป็นพรายกระซิบ ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกด้วยที่แก reference ถึงเบื้องล่าง ในเพลงฮิตอย่าง Lucid Dreams, Wasted ก็เคยกล่าวถึง จนไม่คิดว่าจะเป็นจริง ถึงจะ reference สิ่งที่น่ากลัวแล้วเป็นฝันร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ Jarad ยังมีเพลงที่เป็นตัวแทนแห่งการภาวนาเพื่อวันดีที่ดีกว่าอย่าง Fighting Demons ท่วงทำนองของบัลลาดเปียโนช่างสวยงามและอ่อนโยน
-ส่วนแขกรับเชิญที่มาช่วยเติมเต็มก็สามารถทำให้งานหลังความตายชุดนี้งดงามยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น The Weeknd ซึ่งผมโชคดีที่ได้รีวิวตอนที่ซิงเกิ้ลล่าสุดถูกเอามารวมในชุดนี้พอดีกับเพลง Smile ด้วยบริบทไร้ซึ่งความประชดประชัน เต็มเปี่ยมไปด้วยบริบทการเป็นผู้ให้จริงๆ โดยปกติเราจะได้ฟังเพลง Jarad ที่เป็นสไตล์ตัดพ้อซะเยอะ ส่วน Abel ยังคงพร่ำเพ้อถึงคนรักเก่าที่ตอนนี้กลายเป็นของคนอื่นไปแล้ว Tell Me U Luv Me ที่ได้ Trippie Redd มาถ่ายทอดท่อนฮุกได้อย่างอาลัยอาวรณ์มากๆ ความรู้สึกไปไกลกว่าที่จะเป็นเพลงอีโมง้อสาวแล้ว
-Hate the Other Side แทร็ปแร็พบริสุทธิ์ที่มีทั้ง Polo G และ The Kid LAROI มาฟีทระบายความอึดอัดใจในความรุนแรงของสังคมภายนอกที่แต่ละคนประสบพบเจอ การได้ชาวแก๊งค์ทั้งสองคนเป็นสิ่งที่เหมาะเหม็งในบริบทแบบนี้ Life’s a Mess พูดถึงความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิง รักแท้ไม่มีอยู่จริงตามถนัด การได้ Halsey มาเป็นเงาเสียงให้ถือเป็นตัวเลือกที่ดี สอดรับสไตล์ emo ของ Jarad ได้อย่างดี Come & Go อันนี้ดีเกินคาดเลยนะ จากผมที่ไม่เคยฟังสาย edm มานานมากแล้ว ยังดีที่ Marshmello ไม่ได้ยัดซาวน์ดอิเล็กทรอนิกส์ให้ดูล้นเกิน ใส่กลิ่นอายความเป็น glam rock ได้อย่างเหมาะเหม็งกับสไตล์ร็อคสตาร์หน่อยๆของศิลปินผู้ล่วงลับได้เป็นอย่างดี แถมเนื้อหาก็เหมาะกับการเป็นเพลงเต้นรำยุคใหม่ที่ไม่ได้เต้นใต้แสงเทียนแบบคุณพ่อคุณแม่แล้ว ยุคนี้มันต้องแสงสีน้ำเงินแดงแล้ว
-Can’t Die เหมือนเขาจะเริ่มคำนึงถึงคนใกล้ตัวมากขึ้นว่า เขายังไม่อยากตายไวจนคนรักต้องมาทุกข์ระทมเสียใจ อีกทั้งยังรู้สึกปลงที่ได้เห็นข่าวแร็ปเปอร์หลายๆคนเริ่มล้มหายตายจากเยอะขึ้นเรื่อยๆจนคิดไม่ตกว่า การใช้ชีวิตแบบคนไม่ปกติอย่างเขาจะเป็นรายต่อไปหรือไม่? นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่เขาตามพวกนั้นไปด้วย ปิดท้ายด้วย Man of The Year ที่มาแบบพังค์ร็อคตีมเด็กไฮสคูลโยกหัวเหวี่ยง ถ้าได้ฟังคุณจะโคตรรัก Juice มากขึ้นจนไม่อยากให้เขาจากไปเลย มันคือเพลงที่โคตร sincere กับแฟนเพลงมาก ถึงเจ้าตัวจะมีปัญหาชีวิตเยอะ อย่างน้อยเค้าก็ทิ้งเพลงไว้ปลอบประโลมคนอื่นได้ เสียดายมากที่เวอร์ชั่นแรกผมดันฟังแล้ว แยกความแตกต่างไม่ค่อยได้เท่าไหร่ เท่าที่รู้สัมผัสได้ว่าใน verse 2 ดูมีน้ำมีนวลมากขึ้นด้วยเครื่องสีไวโอลิน ไม่แน่ใจว่าเวอร์ชั่นแรกๆดิบกว่าสุดตรีนกว่าอย่างที่เค้าบอกรึเปล่า โคตรอยากฟังให้หายคล่องใจ
-อย่างที่ว่าไว้ข้างต้น ผมฟังชุดนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกสงสารและเสียดายที่เจ้าของผลงานจากไปเร็วเกินไปจนเราไม่ได้เห็นผลงานดีๆในอนาคตที่ไม่ใช่คลังไฟล์เพลงสำรองมหาศาลที่ไม่รู้ว่า ทำไปได้ไง เหมือนดีดเสียจนใช้บ้างานอย่างหนักหน่วงเกินไป ทุกสิ่งที่เขาพูดล้วนแต่เป็นเซนส์ทำนายฆาตที่แม่นจนน่ากลัว อดโยงกับฝันร้ายที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
-ถึงแม้ว่าการจากไปแบบเร็วเกินกว่าที่บางคนจะทำใจได้ อย่างน้อยสิ่งที่เขาทิ้งไว้กลับเป็นสิ่งที่สร้างคุณค่าทางจิตใจได้อย่างดีงามจนไม่อยากให้มองข้ามแบบจากลาแล้วก็จากกันไป คนที่รวบรวมคอลเลคชั่นเพลงก็เป็นปัจจัยเกื้อหนุนสำคัญในการร้อยเรียงผลงานได้อย่างเข้าใจเป้าประสงค์ของคนจากไปได้อย่างสมเกียรติภูมิ
-สิ่งที่ Jarad ทิ้งจดหมายลาไว้ไม่ใช่พร่ำบอกทุกคนว่า ปัญหาส่วนตัวจะสามารถผ่านพ้นไปโดยง่าย หรือแค่เปลี่ยน mindset แล้วจะพยทางสว่างอย่างที่ไลฟ์โค้ชหลายคนพร่ำสอน แต่เป็นการบอกทุกคนกล้าที่จะซื่อตรงต่อความรู้สึกตนเองแบบไม่ต้องหลอกตัวเองว่าสามารถจัดการได้ทุกปัญหา จริงอยู่ที่ปัญหาเราต้องแก้ด้วยตัวเราเอง ไม่มีใครรู้ดีเท่ากับเรา ในระหว่างทางการเก็บงำความรู้สึกก็เหมือนการซุกปัญหาไว้ใต้พรมเช่นกัน เหมือนมีแต่เราคนเดียวที่แบกปัญหาอย่างโดดเดี่ยวโดยที่ไม่มีใครยื่นมือมาช่วยเหลือ ไม่มีวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาย่อมดีกว่าการไม่เรียกร้องอะไรเลย ชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนจริงๆ เพราะบางทีการที่เพื่อนของเราบ่นสารพัดปัญหาที่แก้ไม่ได้จริงๆ อาจจะไม่ต้องการ solution เด็ดๆก็เป็นได้ เค้าต้องการให้เรารับฟังก็เท่านั้น
The party never end
Top Tracks : Titanic, Righteous, Smile, Tell Me U Luv Me, Hate the Other Side, Life's a Mess, Come & Go, Fighting Demons, Wishing Well, Can't Die, Man of the Year
Give 7/10
Thanks For Reading
See Y’all
โฆษณา