26 ส.ค. 2020 เวลา 13:16 • บันเทิง
“เรื่องของผม” เรื่องเล่าจาก เก่ง อธิป
อะไรนะ!?? เราถาม… เรื่องของผม!!! เก่งย้ำ
ครั้งแรกที่เราได้ยินเก่งบอกว่า วันนี้จะเล่าเรื่องของผม เราก็นึกในใจว่า… เออ รู้แล้วว่าจะเล่าเรื่องของตัวเอง แล้วจะมาพูดกวนทำไม!!!
เก่งใช้มือเสยผมตัวเองครั้งนึง แล้วพูดย้ำว่า “เรื่องของผม…ครับ” เราก็… อ๋อ… เก่งตั้งใจจะเล่าเรื่องของ “ผม” ของเขานี่เอง! (ฮาาาาา!) แล้วเสียงหัวเราะก็ดังขึ้น ก่อนที่การสัมภาษณ์จะเริ่มต้นขึ้น
เก่ง อธิป ที่ร้านทำผมแห่งหนึ่ง
แล้วเรื่องเกี่ยวกับ “ผม” ของเก่ง มีอะไรให้น่าสนใจที่จะมาเล่า - เรานึกในใจอีกรอบ แล้วเอ่ยถามเก่งไปว่า… เรื่องราวที่ว่าเป็นมายังไง?
เก่งเริ่มเล่าเรื่องด้วยแววตาที่มุ่งมั่นเช่นเคย น้ำเสียงหวานแต่กังวานของเขา สะกดคนฟังได้ดีเลยทีเดียว “เรื่องนี้นะครับ… เรียกได้ว่า มันเป็นความยากลำบากมหาศาลมากอยู่เหมือนกันครับ ต้องย้อนกลับไปสมัยที่ผมออกอัลบั้มในนามวงลูกหินเลยครับ ตอนนั้นผมเรียนอยู่ชั้นมัธยม ที่โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรักครับ”
เราชวนคุยนิดหน่อยว่า ถ้าย้อนอดีตขนาดนั้น ก็น่าจะเป็นช่วงหลายๆ ปีผ่านมาแล้ว เพราะเราจำได้ว่า เก่ง ออกเทปวงลูกหินกับน้องร็อค (ดนตรี เดชะ) เมื่อปี พ.ศ. 2544 เก่งเลยตอบว่า “อย่าไปคำนวณปีเลยจะดีกว่าครับ… ฟังเรื่องต่อดีกว่านะครับ” แล้วเขาก็หัวเราะ “ฮาๆๆ…”
“คือตอนนั้น… ตอนที่ผมมาทำอัลบั้มลูกหิน มันทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไปมากพอสมควร หรือจะเรียกได้ว่าเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเลยครับ ก็คือโรงเรียน ผมก็แทบไม่ได้ไป ถ้านับจำนวนวันที่ขาดเรียนรวมๆ กัน น่าจะเกือบๆ 100 วันนะครับในปีนึง… พอตอนไปโรงเรียน ผมก็เป็นนักเรียนคนเดียวในโรงเรียนที่ไว้ผมยาวครับ”
เก่งเล่าให้เราฟังต่ออีกว่า “คือระเบียบของโรงแรมอัสสัมชัญ ในตอนนั้นนะครับ นักเรียนทุกคนต้องตัดผมสั้น ทรงนักเรียน แบบไถทั้งหัว คล้ายๆ โกนหัวเลยครับ แล้วผมก็เป็นนักเรียนคนเดียวที่ต้องไปขอไว้ผมยาว แล้วเราก็ต้องเข้าห้องปกครองบ่อยมากๆ และนี่มันคือเรื่องที่ถือว่าเป็นเรื่องดราม่าแทบที่สุดเรื่องนึงในชีวิตของผมตอนเด็กๆ เลยครับ”
ด้วยความที่เก่งกำลังเล่าเรื่องอย่างออกรส เราเลยปล่อยให้เขาเล่าต่อ…
เก่งเล่าต่อว่า “ตรงนี้มันถือว่าเป็นเรื่องนึงในความยากลำบากของการมีชีวิตเป็นศิลปินเด็กของผมตอนนั้นเลยครับ… แต่ว่าเราไม่ได้เสียใจนะครับ คืออยู่ในช่วงที่ต้องปรับตัวและทำความเข้าใจมากกว่าครับ”
เก่ง และ ร็อค วงลูกหิน ถ้าสังเกต จะเห็นไฮไลต์สีทองที่ผมของเก่ง ส่วนผมของร็อค ทำไฮไลต์สีน้ำเงิน
“ตอนนั้น ผมอยู่ชั้นมัธยม 2, มัธยม 3 ได้ครับ… ช่วงไหนหรือวันไหน ที่ผมไม่ได้ติดงานหรือติดธุระ ผมก็จะไปโรงเรียนตามปกติ ซึ่งในตอนเช้า นักเรียนทุกคนของโรงเรียน ราวๆ 2,000 กว่าคน ก็ต้องมาเข้าแถวเคารพธงชาติ ยืนตากแดดโดยพร้อมเพรียงกัน ซึ่งผมก็ไปเข้าแถวกับเพื่อนๆ นั่นแหละครับ แล้วเมื่ออาจารย์มองลงมาข้างล่าง จากตึกชั้นบน อาจารย์ก็จะเห็นเลยครับว่า นักเรียนทุกคนหัวขาว-หัวเขียวกันหมด มีผม (หมายถึง เก่ง) โดดขึ้นมาคนเดียวที่ผมยาว ดำ และยังมีแซมไฮไลต์สีทองอีก อยู่ไกลๆ ก็ยังมองเห็นเลยครับว่า นี่คือเด็กชายอธิป
นี่คือ เก่ง วงลูกหิน นี่คือเราครับ”
“เราไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีอภิสิทธิ์เหนือเพื่อนๆ นะครับ เพราะเราก็คือเด็กอัสสัมฯ เหมือนเพื่อนๆ ทุกคน แต่เวลานั้นคือ เรารู้สึกว่า… เราจะต้องทำยังไงดีกับสิ่งที่เราได้รับมอบหมาย
ในอาชีพของเรา และในอีกบทบาทนึง อีกหัวโขนนึง เราก็เป็นนักเรียนของโรงเรียน ซึ่งเราก็แคร์ความรู้สึกของเพื่อนๆ และคุณครูเช่นเดียวกันครับ”
ผู้สัมภาษณ์นึกในใจว่า มุมๆ นี้ของศิลปินเด็ก ช่างเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และคนนอกวงการอย่างเรา ก็ไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลยว่า มันจะเป็นประเด็นเล็กๆ เป็นเรื่องที่ศิลปินต้องปรับตัว และหาทางจัดการเรื่องแบบนี้ให้ได้ด้วยตัวเอง
เก่งบอกว่า ตอนนั้นเขารู้สึกเป็นเสมือนคนกลางที่ต้องบาลานซ์ให้ได้ระหว่างกฎเกณฑ์
กฎระเบียบของโรงเรียน และความรับผิดชอบ ความมุ่งมั่น ทุ่มเท ที่มีต่อหน้าที่การงาน และ
สิ่งที่ตัวเขากำลังทำ เพื่อทำในสิ่งที่รัก ทำตามความฝันของตัวเอง
เราตอบกลับเก่งไปว่า ก็ถือว่าไม่ง่ายเลยสำหรับเด็กอายุเพียง 14 ปี ที่ต้องหาวิธีจัดการกับสิ่งเหล่านี้ ทั้งทางรูปธรรม (เดี๋ยวจะเล่าต่อไปว่า เก่งต้องทำอะไรกับผมไฮไลต์สีทองของเขา ในวันที่ต้องไปโรงเรียน) และนามธรรม ซึ่งก็คือ ความรู้สึก อารมณ์ และจิตใจ ของศิลปินเด็กคนหนึ่ง
เก่งเล่าต่อว่า “ประมาณทุกๆ ต้นเดือน จะต้องมีการตรวจผมโดยคุณครูหัวหน้าสายในแต่ละชั้น เก่งก็เป็นคนเดียวนี่แหละครับที่ขออนุญาตไว้ผมยาว ส่วนเพื่อนๆ บางคนที่ไว้ผมยาวเกินไป คุณครูก็จะไม่ให้เข้าห้องเรียน แล้วบางคนคุณครูก็จะลงโทษด้วยการใช้กรรไกรเล็มปลายผมตรงนั้นเลย ให้เป็นทรงแบบแหว่งๆ เบี้ยวๆ เพื่อที่เขาจะได้เดินไปตัดให้เป็นทรงที่ถูกระเบียบของโรงแรมจากร้านตัดผมหน้าโรงเรียน ณ เวลานั้นเลยครับ”
“แต่ของผมเป็นแบบนี้ครับ… ด้วยการที่เราต้องออกอัลบั้ม ทางแกรมมี่ก็ทำเอกสารไปขอความอนุเคราะห์จากทางโรงเรียนว่า ด้วยการที่เราเป็นศิลปิน ต้องมีภาพลักษณ์ที่แตกต่าง โดดเด่นในระดับนึง เพราะเราต้องทำหน้าที่การงาน ร้องเพลง และทำกิจกรรมต่างๆ ทาง
สัมคม ซึ่งก็ได้สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศและโรงเรียนด้วยตั้งแต่ตอนเด็กๆ ซึ่งทางโรงเรียน
ก็น่ารักมากๆ เลยครับ เพราะโรงเรียนก็เมตตาอนุญาตให้ผมไว้ผมทรงรองทรงได้ ณ เวลานั้นครับ”
(ในตอนนั้น เก่ง และน้องร็อค คู่หูดูโอ วงลูกหิน รวมทั้งศิลปินเด็กคนอื่นๆ เช่น นาตาลี
สติเบิร์ท และพลอย ณัชชา ได้รับการคัดเลือกให้เป็นเยาวชนร่วมรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด
ในโครงการ ‘Just Say NO’ - ผู้สัมภาษณ์)
ศิลปินแกรมมี่ เข้าร่วมโครงการรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด ‘Just Say No’
“แต่พอเวลาที่มีการตรวจผมนักเรียน ผมก็จะเป็นคนสุดท้ายตลอดที่คุณครูหัวหน้าสายจะกักตัวไว้ก่อน ยังไม่ให้เข้าห้องเรียน เพราะในบางครั้ง… โดยมาตรฐานของคุณครู ยังไงก็ตาม ท่านก็ยังรู้สึกว่าผมของผมยาวเกินไป ผมก็จะถูกกักตัว บางทีก็เข้าห้องเรียนช้ากว่าเพื่อนๆ ไปเป็นชั่วโมง สองชั่วโมงเลยครับ”
ตอนนั้น ในบางครั้งเก่งก็พูดในใจ แต่บางทีก็เคยพยายามอธิบายให้คุณครูฟังว่า “ผมไม่ได้อยากจะทำผิดกฎของโรงเรียนนะครับ ผมก็เป็นแค่เด็กนักเรียนธรรมดาๆ คนนึง ผมไม่ได้อยากมีอภิสิทธิ์เหนือนักเรียน เหนือเพื่อนๆ คนอื่นๆ เลยนะครับ แต่ด้วยการที่ผมมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งส่วนหนึ่งผมก็ตั้งใจทำสิ่งดีๆ ให้โรงเรียนด้วยนะครับ” ซึ่งคุณครูก็มักจะอะลุ่มอล่วยให้เก่งเสมอ
เก่งเล่าต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “แต่สถานการณ์แบบนั้นมันหนักขึ้นเรื่อยๆ และดราม่าขึ้นเรื่อยๆ ครับ แล้วเมื่อทำงานออกอัลบั้มไปได้สักพัก… วันนึง ฝ่ายสไตลิสต์ของเรา ก็ออกคอนเซ็ปท์มาว่า วงลูกหินจะต้องมีลุคแบบเป็นแบบ fashionable มีความเป็นผู้นำแฟชั่น นำสมัยเล็กน้อย ในตอนนั้น ฝ่ายคอสตูมก็เลยสรุปกันที่ว่า ผมต้องทำไฮไลต์ผม ต้องทำสีทองมานิดนึงด้วยครับ ซึ่งทางโรงเรียนไม่อนุญาตครับในส่วนนี้… และผมก็เข้าใจทางโรงเรียนนะครับ เพราะที่อนุญาตให้ไว้ผมยาว ก็ถือว่า เป็นความกรุณามากๆ และช่วยเหลือเราเต็มที่แล้วครับ ถ้ามากกว่านั้น ก็ดูจะโดดเด่น จะเยอะเกินกฎมากไปครับ ในส่วนของทางแกรมมี่… ผมก็เข้าใจเช่นกันครับว่า ในเมื่อเราต้องทำงานและมีแนวคิดในวิถีทางว่า ศิลปินแต่ละคนจะต้องแต่งตัวแบบไหน มีลุคแบบไหน เราในฐานะศิลปิน เราก็ต้องทำตามนั้นครับผม”
“เรื่องมันเลยมีอยู่ว่า… แล้วผมจะทำยังไงกับสีทองไฮไลต์ที่ผมของผมละครับ?”
เราก็ถามเก่งกลับไปว่า นั่นนะสิ แล้วต้องทำยังไง จะเปลี่ยนสีผมไปมาวันเว้นสองวัน ตามตารางเรียนและตารางงานหรอ? เก่งหัวเราะนิดหน่อย แล้วเล่าต่อว่า
“ในเมื่อเรามีสองบทบาทในเวลาเดียวกัน… การครึ่งทาง และวิธีแก้ปัญหาเรื่องผมของผม
ที่ต้องมีสีผมสีดำไปโรงเรียนทุกวัน ก็คือ…”
“ในช่วงจังหวะการโปรโมทของอัลบั้มของเราก็คือ ราวๆ ครึ่งปีครับ ประมาณ 5-6 เดือนครับ ที่ผมต้องทำสีผม ไฮไลต์สีทอง คือโกรกสีผมจริงๆ ครับ… และในทุกๆ เช้าของวันที่ผมต้องไปโรงเรียน ซึ่งปกติพวกเราพี่น้องสามคน ผม และพี่สาว น้องสาว จะตื่นกันตั้งแต่ตี 5 เพื่อที่จะเตรียมตัวไปโรงเรียนครับ เราไม่เคยไปถึงโรงเรียนสายเลยครับ…”
“แต่เมื่อชีวิตถึงจุดหักเหที่ว่า… ผมต้องทำไฮไลต์สีผม แล้วต้องทำผมสีดำไปโรงเรียนในทุกๆ เช้าอะครับ เพราะผมตกลงกับโรงเรียนที่ว่า ผมขอไว้ผมยาว แต่จะทำผมสีดำไปโรงเรียนตลอด ตอนนั้น ครึ่งทางระหว่างโรงเรียน แกรมมี่ และตัวผมเอง ก็คือ… ทุกๆ เช้า ผมและคุณแม่ก็จะต้องตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตี 4 เพื่อที่คุณแม่ของผมจะใช้ครีมเปลี่ยนสีผมชั่วคราวเอามาทาผมให้ผมครับ แล้วครีมที่ใช้มันจะเหนียวๆ เหนอะๆ หน่อยอะครับ มันก็เหมือนกับคนแก่ที่โกรกสีผมอะครับ คุณแม่ก็จะต้องหวีกวาดไปให้ทั่วหัวเลยครับ”
ผู้สัมภาษณ์เอง เมื่อนึกจินตนาการถึง ภาพครีมเปลี่ยนสีผมสมัยก่อน เมื่อ 10 กว่าปีมาแล้ว คุณภาพของครีมเปลี่ยนสีผมก็คงไม่ได้ดีเหมือนสมัยนี้ ก็เลยพอจะเข้าใจเก่งว่า สิ่งที่เขาต้องโดนเอามาทา ทา ทา ทาให้ทั่วที่ผมของเขา ในทุกๆ เช้า ก่อนไปโรงเรียน จะมีลักษณะอย่างไร พอนึกแล้ว ก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของเก่งได้บ้าง
เก่งเล่าต่อว่า “คือตอนนั้น… ผมรู้สึกว่ามันหนักหนาสาหัสมากนะครับสำหรับผม ผมไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยนะครับ แต่อยากให้ออกมาเป็นบทความนี้มากครับ”
“ชีวิตมันไม่ง่าย แต่ว่าเราต้องสู้… ถ้าสู้แล้วเราจะได้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แล้วเราจะภูมิใจกับมันจริงๆ นะครับ”
“ตอนนั้นที่ผมบอกว่ามันหนักจริงๆ ก็เพราะ…ผมได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เป็นพระเอกละครมิวสิคัลเรื่อง ‘ปลาฉลามฟันหลอ’ ผมรับบทเป็นเจ้าชายปลาฉลามครับ เราต้องไปซ้อมละครเวทีเรื่องนี้กันที่ตึกช้าง ซึ่งอยู่แถวแยกรัชโยธินครับ แล้วผมต้องไปจากแถวบางรัก จากโรงเรียนอัสชัมชัญ หลังเลิกเรียนตอนเย็น เพื่อไปซ้อมละครกันตั้งแต่ 5 โมงเย็น จนถึง 4 ทุ่มครึ่ง 5 ทุ่ม กว่าจะซ้อมเสร็จ กลับถึงบ้านประมาณเที่ยงคืน แล้วต้องตื่นตี 4 ทำแบบนี้ทุกวัน อยู่เป็นเดือนๆ”
เก่ง อธิป เมื่อครั้งแสดงละครเวที มิวสิคัล เรื่อง ‘ปลาฉลามฟันหลอ’
(‘ปลาฉลามฟันหลอ’ เป็น บทละครที่สร้างขึ้นจากวรรณกรรมชื่อเดียวกันนี้ของ บินหลา สันกาลาคีรี อำนวยการแสดงโดย บริษัท บางกอกการละคอน จำกัด และมีคุณครูกาดูก - นพีสี เรเยส อาจารย์ผู้สอนสาขาวิชาขับร้องและละครเพลง คณะดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นผู้กำกับการแสดง เขียนบทและเนื้อร้องสำหรับใช้เล่นละครเพลงเรื่องนี้ รวมทั้งควบคุมการร้องเพลงทั้งหมดด้วย - ผู้สัมภาษณ์)
“เด็กคนนึงที่ได้นอนเที่ยงคืน แล้วต้องตื่นตี่ 4… ตื่นมาทำอะไรครับ… ก็เพื่อที่จะมานั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยอาการง่วงๆ แล้วคุณแม่เก่งน่ารักมากๆ ครับ คือเราผ่านในช่วงเวลาทั้งชีวิตที่มีคุณแม่อยู่เคียงข้างเราตลอด คุณแม่พูดกับผมว่า ‘มานี่มาลูกเก่ง… สู้ๆ นะลูก แม่พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างลูก… แม่เข้าใจลูกทุกอย่าง’ ในระหว่างที่พูด คุณแม่ก็ลูบไหล่… ลูบไหล่ผมครับ แล้วคุณแม่ก็เอาครีมมาทาที่ผมของผมครับ หวี หวี หวี… ป้าย ป้าย ป้ายไปให้ทั่ว จนสีผมของผมดำขลับไปทั้งหัวเลยครับ อ้อ… คุณแม่เอาผ้าคลุม เหมือนผ้าที่เอาไว้ใช้คลุมเวลาเราไปที่ร้านตัดผมมาคลุมไว้ที่ไหล่และตัวผม เพื่อที่จะไม่ให้สีมันเลอะที่เสื้อนักเรียนครับ”
“คุณแม่หวีไป เก่งนั่งสัปหงกไป คุณแม่หวีไป เก่งตัวเอน โงนเงนไป… หลับๆ ตื่นๆ อยู่แบบ นั้นน่ะครับ คุณแม่ก็โอบไหล่เรา แล้วบอกว่า ‘สู้ๆ ลูก!’ แล้วผมก็ตอบคุณแม่ไปว่า ‘สู้แม่…
เก่งเข้าใจ!’ ครับ”
“แล้วมันเป็นแบบนี้ทุกเช้า เป็นเดือนๆ ครับ และในหลายๆ วัน ผมก็มีนั่งหลับบ้าง นั่งสัปหงกบ้าง แต่ในจิตใต้สำนึก ก็ต้องปลุกตัวเองขึ้นมา เพราะยังรู้สึกว่าต้องพยายามนั่งให้ตรงๆ
นั่งให้ได้ที่ ให้ตรงตำแหน่ง เพื่อที่เวลาคุณแม่หวีครีมใส่ที่ผมให้ สีจะได้ไม่ไหลไปเปื้อนเสื้อผ้า เสื้อนักเรียน และจุดอื่นๆ น่ะครับ”
“แล้วจนมาถึงวันนึง… ผมก็นึกกับตัวเองครับว่า ‘เฮ้ย…นี่เรามาถึงจุดนี้แล้วหรอเนี่ย เราต้องตื่นมาทำอะไรแบบนี้ทุกเช้าเนี่ยนะ’ ตอนนั้น… มันคือแบบ… ผมก็อัดอั้นตันใจมากพอสมควรเลยครับ มีอยู่วันนึง ในตอนที่คุณแม่กำลังหวีผมให้เรา ในตาของเรามันมีน้ำตาซึมออกมาครับผม คือผมถึงกับนั่งร้องไห้เลยอะครับ ร้องไห้ด้วยความรู้สึกที่แบบ… เราต้องสู้กับมันให้ได้! แต่แล้ว ผมก็คิดได้ครับว่า… อันที่จริง อีกนัยนึง เราก็เหมือนกับเราได้รับพรจากคุณแม่เราในทุกๆ เช้าครับ เพราะแม่ก็ลูบผม ลูบหัวให้เราทุกวันครับ”
“จนตอนหลัง… ตอนที่ผมโตขึ้นแล้วครับ… ถึงเพิ่งจะได้มาคุยถึงเรื่องราวตอนนั้นกับคุณแม่อีกครั้ง แล้วคุณแม่บอกกับผมว่า ‘เก่งรู้มั้ยลูก… ในตอนนั้น ตอนที่เก่งนั่งร้องไห้ ที่เราต้องฟันฝ่าด้วยกันมา… แม่ลูบผมลูก แม่หวีผมลูก แล้วก็แม่ก็ให้พรทุกครั้งนะลูกว่า ขอให้ลูกสู้ แล้วผ่านไปได้ จนสำเร็จ’ ครับ”
เราฟังเก่งเล่าจนเพลิน ไม่มีคำถาม หรืออะไรจะชวนเก่งคุย เพราะเรื่องราวที่เขาเล่า มันสะกดให้เราจินตนาการภาพเหตุการณ์ทุกๆ ช็อตตามไปด้วย
เก่ง อธิป ในชุดนักเรียนโรงเรียนอัสชัมชัญ กับคุณแม่
เก่งจึงเล่าต่อว่า “เรื่องนี้คือ… มันแสดงให้เห็นถึงความละมุน ความเมตตา ความเป็นโพธิสัตว์ของคำว่าแม่ได้อย่างชัดเจนเลยครับ… ซึ่งผมเองไม่เคยคาดคิดว่าจะต้องมาเจอเรื่องยากลำบากแบบนี้ในชีวิต ซึ่งตอนนั้นผมก็ยังเด็กอยู่น่ะครับ แต่คุณแม่ผมบอกกับผมว่า ‘นี่มันแค่จุดเริ่มต้นของชีวิตเอง ถ้าลูกผ่านไปได้ ลูกจะเก่งขึ้น แม่อยู่เคียงข้างลูก พ่ออยู่เคียงข้างลูก ครอบครัว ทุกคน พี่น้องอยู่เคียงข้างลูก ลูกไม่ได้ทำเพื่อครอบครัวเพียงอย่างเดียว แต่ลูกทำเพื่อสังคม ลูกทำเพื่อให้ความสุขกับคน อย่างที่ลูกเคยขอ เคยตั้งใจเมื่อ 4 ปีที่แล้ว’ ซึ่งก็คือตอนที่ผมขอคุณพ่อคุณแม่ไปเรียนร้องเพลงกับครูแอน - นันทนา บุญ-หลง ครับ”
“อ้อ… แล้วพอทาครีมเปลี่ยนสีผม จนผมของผมดำขลับไปทุกเส้นแล้วนะครับ ตอนไปโรงเรียนเนี่ย… ในตอนเช้า เวลาที่กำลังยืนเข้าแถวเคารพธงชาติ ทุกคนลองนึกถึงภาพ การยืนเคารพธงชาติกลางแดดร้อนๆ นะครับ หัวเรา ผมเรา ก็จะมีเหงื่อไหลออกมาใช่มั้ยครับ… และแน่นอนครับ เหงื่อพวกนี้ก็จะไหลมาปน มาผสมกับครีมเปลี่ยนสีผมที่อยู่บนหัวของผม แล้วไหลลงมาที่ท้ายทอยอะครับ… แล้วผมก็ต้องพกทิชชู่ไว้ซับเหงื่อสีดำๆ ที่ไรผม ซับที่ท้ายทอยตลอดเวลา เพื่อไม่ให้มันไหลลงมาเปื้อนคอเสื้อครับ แล้วมันก็เป็นแบบนี้อยู่เป็นเดือนๆ ครับ ที่เราจะต้องอยู่ในสภาพแบบนั้น… จนมีเพื่อนๆ และคุณครู มาทัก มาถามว่า ‘เธออยู่แบบนี้ได้ยังไง’ ผมก็ตอบกลับไปแนวๆ ว่า ‘ทำได้ครับ… ก็ต้องทนให้ได้ครับ’ ประมาณนี้อะครับผม”
“เรื่องผมคือถือว่าเป็นเรื่องที่ดราม่ามากๆ เรื่องนึงในชีวิตของผมเลยครับ… แต่มันก็ผ่านมาได้เพราะว่ากำลังใจจากครอบครัว ตรงนี้ผมถึงให้ความสําคัญมากๆ เลยกับสิ่งสิ่งนี้ครับ เราโตมาเป็นคนแบบนี้เพราะครอบครัวเลยครับ… คือผมไม่ได้เป็นเด็กเรียบร้อยแบบผ้าพับไว้ หรือแบบว่า ทุกอย่างจะต้องอยู่ในกรอบนะครับ ผมก็มีชีวิตแบบเพื่อนๆ ทั่วไป แบบวัยรุ่น มีทำผิดบ้าง อะไรบ้าง ปกติครับ… แต่อะไรที่เป็นแรงผลักดันให้เราอยากทำเพื่อสังคมและประเทศชาติของเรามากขึ้น ตรงนี้… ผมบอกได้เลยครับว่า ผมถูกปลูกฝังมาจากจุดที่เล็กที่สุด นั่นก็คือ… ครอบครัว ครับผม” เก่งพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
สำหรับเราแล้ว จาก “เรื่องของผม” ที่เก่งเล่าให้ฟังในวันนี้ เรามองเห็นในความอดทน ความเป็นคนต่อสู้ และความทุ่มต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเก่ง ในช่วงที่เขาต้องพยายามปรับตัว และเข้าใจชีวิต และที่สำคัญ ที่เราเห็นได้ชัดในตัวเขา เห็นจากแววตาเวลาเขาเล่าเรื่อง ก็คือ ความอบอุ่นของครอบครัวของเก่ง
เก่งฝากถึงน้องๆ วัยรุ่น วัยเรียนไว้ว่า “ตรงนี้… ในท้ายที่สุด… ผมอยากให้เรื่องราวของผมเป็นกระจกสะท้อนให้น้องๆ เจเนอเรชั่นใหม่ว่า ปัญหาต่างๆ ที่เราต้องเจอในระหว่างวัยรุ่น
วัยเรียน บางที ถ้าเราปรึกษาแค่เพื่อนๆ อย่างเดียว มันก็อาจจะไม่เพียงพอ สิ่งที่สำคัญที่สุด
คือ ครอบครัว จะอยู่กับเราเสมอ เราอาจจะต้องลองลดอัตตา ลดทิฐิในตัวเอง ในช่วงของ ‘ความพุ่ง’ ในวัยรุ่น แล้วหันกลับเข้ามาหาครอบครัว ผมเชื่อว่า ปัญหาหลายๆ อย่างของ
วัยรุ่นที่เกิดขึ้นในสังคม มันก็อาจจะได้รับการแก้ไขที่ถูกต้อง ทันท่วงที จากการที่เราหันหน้าเข้าหาครอบครัว แล้วก็พูดคุย และกล้าที่จะทะลายกำแพงระหว่างวัยไปน่ะครับ”
เราถามเก่งว่า แล้วเหตุการณ์ สถานการณ์ “เรื่องของผม” มันดีขึ้น และจบลงตอนไหน ยังไง?
เก่งยิ้ม แล้วตอบกลับมาว่า “มันดีขึ้นตอนหลังจากที่ช่วงโปรโมทผ่านไปครับ พอหมดช่วงโปรโมท เราก็กลับมาทำผมสีดำปกติได้ครับ และเมื่อมันเกิดการตรวจผมหลายๆ รอบ
ผมก็เริ่มหาตรงกลางระหว่างเรากับโรงเรียนที่ลงตัวที่สุดได้… แต่กว่าจะผ่านจุดนั้น ในหลายเดือนนั้นมาได้… ตอนนี้ คิดแล้วยังเหนอะๆ อยู่เลยครับ ฮ่าๆๆๆ” เก่งหัวเราะเสียงดัง จนเรายิ้มและหัวเราะตามไปด้วย
เราชวนเก่งคุยต่ออีกหน่อย คุยกันเรื่องเกี่ยวกับละครเวที เพราะพอรู้มาบ้างว่า การแสดงละครเพลง จะต้องใช้เวลาในการซ้อมระยะหนึ่ง ก่อนถึงวันแสดงจริง เก่งบอกว่า ในตอนนั้น คือใช้เวลาซ้อมประมาณ 3 เดือน และเขาต้องนอนวันละแค่ 4 ชั่วโมงอยู่อย่างนั้นเกือบตลอด ละครเวที เดอะมิวสิคคอล เรื่อง ‘ปลาฉลามฟันหลอ’ นี้ ถูกจัดให้มีการแสดงวันละ 3 รอบ โดยรวมแล้ว จัดการแสดงไปทั้งสิ้น 14 รอบ จัดขึ้นที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
เราบอกเก่งว่า อยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการแสดงละครเวที เดอะมิวสิคคอล ให้ละเอียดขึ้น และได้นัดหมายกันว่า ในคราวต่อๆ ไป จะขอสัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้
ในตอนท้าย เราถามเก่งว่า แล้วตอนนี้ ได้แวะไปที่โรงเรียนอัสสัมชัญ (บางรัก) บ้างมั้ย เก่งบอกว่า ได้กลับไปร่วมกิจกรรมต่างๆ ของทางโรงเรียนเป็นครั้งคราว
“ไว้คราวหน้า… เดี๋ยวผมจะเล่าเรื่องจุดเริ่มต้นของการร้องเพลงในชีวิตของผมให้ฟังครับ ซึ่งก็เริ่มต้นในรั้ว AC อัสชัมชัญ นี่แหละครับ” เก่งพูดทิ้งท้ายการสัมภาษณ์ พร้อมรอยยิ้ม
เก่ง อธิป กลับไปเยี่ยมโรงเรียนอัสสัมชัญ (บางรัก)
เจ้าของเรื่องเล่า เรื่องราวดีๆ สร้างพลัง และแรงบันดาลใจ :: เก่ง - อธิป เจริญชัยสกุลสุข
Facebook Fanpage: Atip Official https://www.facebook.com/atip.keng
Facebook: Atip Keng Charoenchaisakulsuk https://www.facebook.com/keng.atip
YouTube: Atip Channel
โฆษณา