22 ส.ค. 2020 เวลา 11:35 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ผู้ชนะต้องได้คะแนน 270 จาก 538 เสียง
1
ฟลอริดา และ เท็กซัส คือจุดยุทธศาสตร์
วิเคราะห์การเลือกตั้งสหรัฐอเมริกา / โดยลงทุนฉบับมืออาชีพ
ผลสำรวจการนับคะแนนแบบ Winer-Take-All “เดโมแครต” มีคะแนนนำ รีพับลิกัน 278 ต่อ 169
ถึงแม้ผลสำรวจคะแนนความนิยมของประชาชนชาวอเมริกันล่าสุดยังชี้ว่า “โจ ไบเดน” มีคะแนนนำ “โดนัลด์ ทรัมป์” อยู่ถึง +7.6 จุด แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าเขาจะสามารถเอาชนะ "โดนัลด์ ทรัมป์" ไปได้ง่ายๆ เช่นเดียวกับปี 2016 ที่โพลทุกสำนักในตอนนั้นบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า นางฮิลลารี คลินตัน จะชนะทรัมป์ไปได้แบบชิวๆ
2
แต่พอถึงวันเลือกตั้งจริงทรัมป์กลับพลิกแซงเข้าวินไปได้จากนโยบายรักชาติ วลีเด็ด "Make America Great Again" ซึ่งทรัมป์ก็แสดงให้เห็นแล้วกับนโยบายสงครามการค้ากับจีนและทุกประเทศทั่วโลกที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ
2
ถามว่า popular vote ที่ไบเดนนำทรัมป์อยู่ตอนนี้บอกอะไรได้มากไหม ต้องบอกว่าไม่ได้มีนัยยะขนาดนั้น เพราะระบบการเลือกตั้งของประเทศสหรัฐฯใช้กระบวนการที่เรียกว่า Electoral College หรือ คณะผู้เลือกตั้ง ซึ่งผู้ที่จะได้เป็นประธานาธิบดีต้องได้คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Voter) ของรัฐต่างๆ รวมกันอย่างน้อย 270 เสียง จากจำนวนทั้งสิ้น 538 เสียง
1
6 รัฐที่ “ทรัมป์” เคยชนะในปี 2016 ผลสำรวจชี้ “ไบเดน” มีคะแนนนำอยู่ถึง 4 รัฐ
โดยแต่ละรัฐจะมีจำนวนคณะผู้เลือกตั้งไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับจำนวนประชากรของรัฐนั้นๆ ซึ่งคณะผู้เลือกตั้งในแต่ละรัฐจะประกอบด้วยสมาชิกวุฒิสภา (ซึ่งมีได้รัฐละสองคนเท่ากัน) บวกกับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นตัวแทนของรัฐนั้นๆ
1
และการนับคะแนนจะใช้กฎที่เรียกว่า "Winner Takes All" ผู้ชนะกินรวบ หมายถึงรัฐไหนที่พรรคนั้นครอบครองเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งส่วนใหญ่ได้ พรรคนั้นก็จะได้คะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Vote) ของรัฐนั้นไปครองทั้งหมด
พูดง่ายๆก็คือ popular vote ที่ดี ควรจะเป็น popular vote ที่อยู่ในรัฐใหญ่ที่มีคณะผู้แทนการเลือกตั้งเยอะๆ ถึงจะทำให้ผู้ท้าชิงประธานาธิบดีคนนั้นได้เปรียบในการตุนคะแนนเสียงส่วนใหญ่ของประเทศไว้ก่อน
1
เพราะฉะนั้นการดู popular vote แบบภาพรวมทั้งประเทศจึงยังไม่ชัด เราจึงต้องมาดูผลสำรวจการนับคะแนนแบบ Winer-Take-All ในแต่ละรัฐเพื่อให้เห็นชัดไปเลยว่ารัฐไหนเป็นของพรรคเดโมแครต (ไบเดน) และรัฐไหนเป็นของรีพับลิกัน (ทรัมป์)
2
เปรียบเทียบนโยบายที่สำคัญของผู้ท้าชิง
พอมาไล่ดูทีละรัฐพบว่า พรรคเดโมแครต มีคะแนนนำ พรรครีพับลิกัน อยู่ 278 ต่อ 169 เสียง ซึ่งหมายความว่ารัฐที่เป็น Swing State คะแนนยังสูสีต่างฝ่ายต่างมีโอกาสคว้าชัยชนะ (สีเทา) จะมีคะแนนเหลืออยู่แค่ 91 เสียง ซึ่งไม่เพียงพอต่อพรรครีพับลิกันที่จะรวมคะแนนให้ได้ถึง 270 เสียง (169+91 ได้แค่ 260)
สาเหตุที่คะแนนของพรรครีพับลิกันตามหลังอยู่ค่อนข้างมากเกิดจาก รัฐเพนซิลเวเนียและรัฐมิชิแกนที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เคยชนะเมื่อปี 2016 ปัจจุบันโดน โจ ไบเดน ยึดฐานเสียงไปได้ รวมถึงรัฐฟลอริดาและโอไฮโอที่ถึงแม้โพลหลายสำนักจะมองเป็นรัฐ Swing State (สีเทา) แต่ปัจจุบัน โจ ไบเดน มีคะแนนนำห่างอยู่ถึง +5 จุด และ +2.3 จุดตามลำดับ
1
6 รัฐที่ “ทรัมป์” เคยชนะในปี 2016 ผลสำรวจชี้ “ไบเดน” มีคะแนนนำอยู่ถึง 4 รัฐ
เห็นแบบนี้แล้วถ้าเดโมแครตถ้าต้องการที่จะชนะรีพับลิกันให้เด็ดขาดจำเป็นอย่างมากที่จะต้องยึดคะแนนเสียงจากรัฐฟลอริดาและโอไฮโอให้ได้ เพราะเป็นรัฐที่หลายคนยังเชื่อว่าทรัมป์จะสามารถพลิกกลับมายึดคืนได้อยู่ (แถมเป็นรัฐที่มีคณะผู้เลือกตั้งจำนวนมาก)
3
ขณะเดียวกันทางฝั่งรีพับลิกันถ้ายังอยากอยู่ในเส้นทางการแข่งขันครั้งนี้ต่อไป ทรัมป์ต้องรักษารัฐเท็กซัสให้ได้แบบนี้ไปตลอดจนถึงวันเลือกตั้งเดือน พ.ย. เพราะรัฐนี้เป็นฐานเสียงสำคัญของรีพับลิกันและเป็นรัฐที่มีคณะผู้แทนมากเป็นอันดับสองของประเทศ เรียกได้ว่าเป็นฐานที่มั่นของทรัมป์ก็ว่าได้
1
แต่ในมุมของตลาดหุ้นกลับมีหลายสำนักที่ชอบทรัมป์มากกว่าไบเดน เพราะเมื่อเปรียบเทียบนโยบายที่สำคัญของผู้ท้าชิงพบว่า นโยบายขึ้นภาษีนิติบุคคล และการต่อต้านการผูกขาดของธุรกิจเทคโนโลยีของ “โจไบเดน” เป็นผลลบต่อตลาดหุ้นมากกว่านโยบายของ “โดนัลด์ ทรัมป์”
เนื่องจากนโยบายขึ้นภาษีจะกระทบกำไรบริษัทในดัชนี S&P500 ราว 6% และกระทบไปยังหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในดัชนี Nasdaq ที่กำลังร้อนแรงอยู่ในตอนนี้ด้วย
เปรียบเทียบนโยบายที่สำคัญของผู้ท้าชิง
สุดท้ายแล้วไม่ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดี การสกัดดาวรุ่งประเทศจีนไม่ให้แซงหน้าขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของโลกก็คงจะดำเนินต่อไปกลายเป็นยุทธศาสาตร์ชาติ จะเปลี่ยนก็แค่เพียงวิธีการหากประธานาธิบดีคนต่อไปไม่ใช่ "โดนัลด์ ทรัมป์"
ถ้าชอบ กด like & share  และอย่าลืม กดติดตาม เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะครับ : )
1
โฆษณา