23 ส.ค. 2020 เวลา 08:43 • ความคิดเห็น
ปี 2555 ซึ่งปรากฏเป็นข่าวหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์หลายฉบับ คือคดีของนายชรินทร์ ช้ำเกตุ อายุ 35 ปี คนขับรถแท็กซี่ หมายเลขทะเบียน มจ 621 กรุงเทพมหานคร ที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีชิงทรัพย์ น.ส.ชลลดา จาระสิทธิ์ อายุ 25 ปี พนักงานฝ่ายครัวการบิน บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน)
เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2555 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลาดกระบัง และชุดสืบสวนสอบสวน กก.สส.บก.น.3 ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนยืนยันว่ามีพยานหลักฐานชัดเจน แม้นายชรินทร์จะปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดโดยมีพยานยืนยันว่าวันเกิดเหตุเขาเดินทางไปต่างจังหวัดกับญาติ แต่คำให้การดังกล่าวกลับไม่เป็นผล แต่ถูกจับขังอยู่ที่โรงพัก 2 วัน ก่อนจะถูกนำตัวไปฝากขังที่เรือนจำมีนบุรีอีก 7 วัน รวมเป็น 9 วันที่ขาดอิสรภาพ
อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่นายชรินทร์ถูกคุมขังอยู่นั้น ได้เกิดเหตุคนร้ายขับแท็กซี่หมายเลขทะเบียน มจ 621 กรุงเทพมหานคร ชิงทรัพย์และข่มขืนหญิงสาวอีกรายหนึ่งเป็นคดีที่เกิดขึ้นซ้ำอีก ทำให้ฝ่ายสืบสวน สน.ลาดกระบัง ต้องมีการรื้อคดีขึ้นมาสืบสวนใหม่
จนกระทั่งพบว่าผู้ต้องหาที่ก่อเหตุตัวจริงคือ นายทินภัทร สิริโสภาโชติกุล เมื่อจับกุมมาได้ก็ให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุชิงทรัพย์ผู้โดยสารจริง บางรายก็ลงมือข่มขืนด้วย โดยใช้วิธีติดสติ๊กเกอร์ทะเบียนรถปลอมไว้ภายในรถเพื่อตบตาผู้โดยสาร เมื่อผลคดีออกมาเช่นนี้ ทำให้พนักงานสอบสวน สน.ลาดกระบังมีคำสั่งไม่ฟ้องและรีบนำตัวนายชรินทร์ออกจากเรือนจำทันที แต่กลับไม่มีการแถลงข่าวกับสื่อมวลชนเพื่อให้สังคมได้รับรู้ความจริงว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์
ต่อมาเมื่อญาติของนายชรินทร์เข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชน จนกลายเป็นข่าวว่ามีการจับผิดตัว ทำให้พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ซึ่งทราบเรื่องภายหลัง ได้เชิญตัวนายชรินทร์มาทำการแถลงข่าวที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อยืนยันว่านายชรินทร์เป็นผู้บริสุทธิ์ พร้อมมอบเงิน 20,000 บาท เพื่อช่วยเหลือเยียวยาให้ เพราะกรณีนี้ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับเงินเยียวยาจากกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เนื่องจากคดีอยู่ในชั้นสอบสวน ไม่ได้ถูกพนักงานอัยการฟ้องเป็นจำเลยในคดีอาญา จึงได้รับเพียงเงินเยียวยาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจตามสมควรเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม มีข้อน่าสังเกตว่า คดีดังกล่าวไม่มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสืบสวนหาข้อเท็จจริง เพื่อดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม โดยที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ออกมาปกป้องว่าเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมปฏิบัติไปตามหน้าที่ เพราะหมายเลขทะเบียนที่คนร้ายตัวจริงทำปลอมขึ้นมาตรงกับทะเบียนรถแท็กซี่ของนายชรินทร์ รวมทั้งมีผู้เสียหายชี้ตัวยืนยัน ทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้น แต่เรื่องนี้นายชรินทร์ไม่ได้ติดใจเอาความและไม่คิดจะฟ้องร้องดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต้องการกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวเท่านั้น ทำให้เรื่องนี้จบลงได้ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขาตัดสินใจเลิกอาชีพขับรถแท็กซี่ตลอดไป
โฆษณา