Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เรื่องเล่ารัฐฉาน ล้านนา ล้านช้างและสยามประเทศ
•
ติดตาม
24 ส.ค. 2020 เวลา 09:29 • ประวัติศาสตร์
จอมพล สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ "พระบิดาแห่งกองทัพอากาศไทย"
เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 40 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และองค์ที่ 4 ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง ทรงประสูติในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2425
พระองค์มีพระเชษฐภคินีและพระอนุชาร่วมพระมารดา คือ
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าพาหุรัดมณีมัย กรมพระเทพนารีรัตน์
- พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าตรีเพ็ชรุตม์ธำรง
- จอมพล สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์
- พลเรือเอก สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา
- สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย
- พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
การศึกษา
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เมื่อครั้งมีพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถและยังทรงพระเยาว์ได้ทรงศึกษาวิชาหนังสือไทยกับพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) และขุนบำนาญวรวัฒน์ (สิงโต) ในพระบรมมหาราชวัง ต่อมาเมื่อมีการจัดตั้งโรงเรียนราชกุมารในพระบรมมหาราชวังแล้ว จึงทรงศึกษาต่อที่นี้ทั้งวิชาภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยมีครูสอนภาษาอังกฤษคือ นายวุลสเลย์ ลูวีส และนายเยคอล พิลด์เยมส์ เมื่อพระองค์มีพระชนม์ได้ 9 พรรษา ได้ทรงสถาปนาพระอิสริยยศเป็น กรมขุนพิษณุโลกประชานารถ เมื่อมีพระชนมายุได้ 14 พรรษา ได้เสด็จไปทรงศึกษาในประเทศอังกฤษเพื่อเล่าเรียนภาษาอังกฤษ ทั้งขนบธรรมเนียม ประเพณีของคนอังกฤษและชาวยุโรปชั้นสูง ในปี พ.ศ. 2439
ในปี พ.ศ. 2440 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก ก็ได้เสด็จไปเยี่ยมพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย ซึ่งเป็นพระสหายของพระองค์ พระเจ้าซาร์นิโคลาสที่ 2 ครั้งยังทรงเป็นมกุฎราชกุมารได้เคยเสด็จเมืองไทยเมื่อวันที่ 20-24 มีนาคม พ.ศ. 2433 และทางราชสำนักไทยได้ถวายการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ จนพระเจ้าซาร์นิโคลาสที่ 2 ทรงพอพระทัยอย่างสูงสุด ต่อมาได้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซียแล้ว สมเด็จพระเจ้าซาร์นิโคลัสฯ จึงได้ทรงชักชวนให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ส่งพระราชโอรสไปศึกษาที่ประเทศรัสเซีย ซึ่งพระองค์ยินดีที่จะอุปการะเสมือนพระญาติวงศ์แห่งพระราชวงศ์โรมานอฟด้วยผู้หนึ่ง ดังนั้นในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2441 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ จึงมีพระราชกระแสรับสั่งให้ส่งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมขุนพิษณุโลกประชานาถ ซึ่งขณะนั้นทรงศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษอยู่แล้ว ให้เข้าศึกษาในโรงเรียนนายร้อยมหาดเล็กตามพระราชประสงค์ของสมเด็จพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซียต่อไป
สมเด็จเจ้าฟ้าชายจักรพงษ์ภูวนารถ หรือ “ทูลกระหม่อมเล็ก” ทรงเข้าศึกษาวิชาการทหารที่โรงเรียนนายร้อยมหาดเล็ก Corps de Pages ประเทศรัสเซีย เมื่อพระชนมพรรษา 16 ปี ในการไปศึกษาของพระองค์ในประเทศรัสเซียคราวนั้น มีผู้ตามเสด็จไปร่วมเรียนด้วยคือ นายพุ่ม สาคร นักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงที่สอบชิงทุนได้เป็นครั้งแรก นายพุ่ม สาคร โดยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้นายพุ่มฯ เข้ารับการศึกษาร่วมกับพระราชโอรสด้วย ทั้งนี้ก็ด้วยพระบรมราโชบายเพื่อต้องการให้พระราชโอรสได้มีคู่แข่ง ก่อให้เกิดขัตติยมานะพยายามเล่าเรียนอย่างเข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยพระเจ้าซาร์นิโคลัสฯ ได้รับสั่งให้พลตรี เคาน์ต เค็ลแลร์ ผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยมหาดเล็ก และนายร้อยเอกวัลเดมาร์ฆรูลอฟฟ์ นายทหารม้ารักษาพระองค์ เป็นผู้ดูแลแทนพระองค์อย่างกวดขัน
ครั้นในปี พ.ศ.2442 พระองค์ได้เสด็จกลับมาเยี่ยมประเทศไทยเป็นครั้งแรก ต่อมาพระองค์เสด็จกลับไปศึกษาต่อยังประเทศรัสเซียในปี พ.ศ.2443 จนถึงปี พ.ศ.2445 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของพระองค์ แล้วด้วยพระวิริยะอุตสาหะ ผลการสอบของพระองค์ในโรงเรียนนายร้อยฯ ปรากฏว่าพระองค์ทรงสอบไล่ได้ที่ 1 นายพุ่มสอบได้เป็นที่ 2 ยิ่งกว่านั้นผลการสอบของพระองค์ในโรงเรียนนายร้อยมหาดเล็กในราชสำนักกรุงรัสเซีย ทรงทำคะแนนได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของโรงเรียน ดังนั้นพระนามของพระองค์จึงได้ถูกจารึกไว้บนแผ่นศิลาอ่อนของโรงเรียน ในเวลาต่อมา ทั้งพระองค์ฯ และนายพุ่มได้รับการบรรจุเป็นนายทหารม้าประจำกรมทหารม้าฮุสซาร์ของสมเด็จพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ในปีนั้นเอง
เมื่อทรงสำเร็จการศึกษา ได้เสด็จกลับมาเยี่ยมประเทศไทยอีกครั้งในปี พ.ศ.2446 พร้อมกันนั้นพระองค์ได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็นนายร้อยเอก และในปีเดียวกันนั้นเองก็ได้เสด็จกลับเพื่อการศึกษาชั้นสูงต่อไป เข้าประจำโรงเรียนนายทหารฝ่ายเสนาธิการเป็นเวลา 2 ปี พร้อมกับนายพุ่ม พระสหายจนถึงเดือนมีนาคม พ.ศ.2448 ปรากฏว่าพระองค์ฯ ทรงสอบได้เป็นที่ 1 อีกครั้ง และพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ทรงพอพระทัยยิ่ง ได้ทรงแต่งตั้งให้เป็น นายพันเอกพิเศษในกองทัพบกรัสเซีย และเป็นนายทหารพิเศษในกรมทหารม้าฮุสซาร์ของสมเด็จพระจักรพรรดิ อีกทั้งยังพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เซนต์อันเดรย์ ชั้นสายสะพาย ซึ่งเป็นตราสูงสุดของประเทศรัสเซียสมัยนั้น รวมทั้งตราเซนต์วลาดิเมียร์อีกด้วย
พระชายา พระโอรส และ ลูกเลี้ยง
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ ทรงเสกสมรสกับพระชายาชาวรัสเซียชื่อ เอกาเทรินา (คัทริน) อิวานอฟนา เดนิตสกายา เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2449 ได้ทรงสมรสที่เมืองคอนสแตนติโนเปิล โดยที่ไม่ได้ทรงกราบทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงทราบแต่ประการใด กับได้ทรงพาหม่อมคัทริน กลับเมืองไทยในปีเดียวกันนั้นเอง ในชั้นแรกทรงให้หม่อมคัทริน พักอยู่ที่เมืองสิงคโปร์เป็นการชั่วคราวก่อน ส่วนพระองค์ฯ ได้เสด็จกลับกรุงเทพฯ แต่พระองค์เดียว โดยเสด็จประทับอยู่ที่วังปารุสกวัน ครั้นต่อมาในเดือนเมษายน พ.ศ. 2449 ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลื่อนยศเป็นนายพันเอก และดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ ในไม่นานก็มีข่าวลือมายังกรุงเทพฯ ว่ามีมาดามเดอพิษณุโลกอยู่ที่สิงคโปร์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนารถทราบ ทรงกริ้วเป็นที่สุด โดยที่พระโอรสพระองค์นี้ทรงเป็นที่สนิทเสน่หาของสมเด็จพระราชบิดา และพระราชมารดาเป็นอย่างยิ่ง กลับทรงไปมีพระชายาเป็นชาวต่างชาติ ย่อมเป็นที่แสลงพระราชหฤทัย อันเนื่องด้วยพระราชประเพณีเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อข่าวเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้ว พระองค์ฯ ก็จัดให้หม่อมคัทริน เดินทางมายังกรุงเทพฯ
ครั้นในปลายปี พ.ศ. 2450 นั้นเอง หม่อมคัทรินพระชายาของพระองค์ได้ประสูติโอรสเป็นชายพระองค์แรกและพระองค์เดียวคือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ประสูติเมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2450 ซึ่งนับเป็นพระราชนัดดาพระองค์แรกในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เมื่อขณะประสูติพระองค์ดำรงพระอิสริยยศเป็นหม่อมเจ้า ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าสถาปนาเป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2463 พระโอรสของสมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมขุนพิษณุโลกประชานาถ พระองค์นี้ได้นำความปลาบปลื้มปีติยินดีให้กับสมเด็จพระบรมราชินีนารถยิ่งนัก
หลังจากที่หม่อมคัทรินพระชายาได้เสด็จไปพักผ่อนเพื่อรักษาสุขภาพที่ประเทศญี่ปุ่นและแคนาดา หลังจากกลับมาพระองค์ก็ได้ทรงหย่าขาดจากกัน ในปี พ.ศ. 2462 ขณะที่พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ พระโอรสมีพระชันษาได้ 12 ปี ได้อยู่กับพระบิดา
และในเวลาต่อมาพระองค์ก็ได้ทูลขอพระบรมราชานุญาตจะทำการสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงชวลิตโอภาส รพีพัฒน์ พระธิดาในกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ต่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่จะด้วยเหตุผลใดไม่ทราบชัด พระองค์ก็ไม่ได้ทรงรับพระบรมราชานุญาต จึงทรงร่วมชีวิตกันเองโดยมิได้มีพิธีสมรส ด้วยเหตุเพราะขัดกับข้อบังคับสำหรับทหารบกที่พระองค์ทรงเป็นผู้ร่างเองว่า ต้องมีการพิธีเสกสมรส จึงจะอยู่กับคู่สมรสได้ ดังนั้นพระองค์จึงได้ทรงลาออกจากราชการทหาร แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับใบลาแล้ว ก็มิได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ลาออก และยังทรงขอแก้ไขข้อบังคับทหารข้อนั้นเป็นการผ่อนปรน แต่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ ก็ทรงยืนยันกราบถวายบังคมทูลลาออกเช่นเดิม และในปีนั้นเองสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชนนี พระพันปีหลวง (สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ) ได้เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2462
ครั้นเมื่อเสร็จสิ้นงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวงในต้นปี พ.ศ. 2463 แล้วพระองค์จึงขอพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ขอลาพักผ่อน ครั้นเมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว พระองค์ทรงแต่งตั้งให้พลตรีพระยาภักดีภูธร (ชื่น ภักดีกุล) เจ้ากรมแผนที่ทหารบกเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งเสนาธิการทหารบกแทนพระองค์ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2463
สำหรับลูกเลี้ยงมีหลายองค์ องค์ที่สำคัญที่สุดเพราะเป็นลูกเลี้ยงที่นานที่สุด คือหม่อมเจ้าทองฑีฆายุ ทองใหญ่ หรือท่านทองรอด (เป็นพระโอรสของกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม) ท่านทองรอดได้เล่าเรียนที่รัสเซีย ได้เป็นนายทหารม้า เข้าประจำกรมทหารม้ารักษาพระองค์หุ้มเกราะ และได้หม่อมชาวรัสเซียที่มีนามเดิมว่า ลุดมิลา
ส่วนลูกเลี้ยงองค์ถัดไปคือ หม่อมเจ้าวัลภากร วรวรรณ โอรสของกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ได้ไปเรียนแพทย์ที่รัสเซีย ต่อจากนั้นก็มีหม่อมเจ้าปรีดิเทพย์พงษ์ เทวกุล และหม่อมเจ้าไตรทิพเทพสุต เทวกุล โอรสของกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ และหม่อมเจ้าอีกพระองค์ที่โปรดเลี้ยงดูคือ หม่อมเจ้านิวัทธวงศ์ เกษมสันต์ โอรสกรมหลวงพรหม แต่ไม่ปรากฏว่าเป็นลูกเลี้ยง จากในหนังสือเกิดวังปารุสก์ประพันธ์โดย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ได้กล่าวว่า "พ่อทรงเลี้ยงดู หม่อมเจ้านิวัทธวงศ์ โอรสกรมหลวงพรหมฯ แต่ไม่ปรากฏว่าเป็นลูกเลี้ยงเพราะ ข้าพเจ้ามิได้ถูกสอนให้เรียกว่าพี่ แต่เรียกว่า ท่านนิวัทธ เสมอมา" ซึ่งลูกเลี้ยงของพระองค์เคยเป็นนักเรียนที่รัสเซียทุกพระองค์ นอกจากหม่อมเจ้าปรีดิเทพย์พงษ์ พระองค์เดียวที่เรียนที่เยอรมนี
พระกรณียกิจ
ทรงรับตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการโรงเรียนทหารบกและเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก ได้ทรงวางระเบียบการศึกษา ขยายรูปโครงออกให้กว้างขวางทันสมัย
ทรงรับตำแหน่งเสนาธิการทหารบก ได้ทรงปรับปรุงงานเสนาธิการให้กว้างขวางเพิ่มขึ้น โดยทรงริเริ่มจัดตั้งโรงเรียนเสนาธิการ
ทรงทำนุบำรุงส่งเสริมกิจการบิน ทั้งในกิจการทหารและกิจการพลเรือน ทรงวางรากฐานแนวทางเสริมสร้างกำลังทางอากาศของประเทศไทยอย่างจริงจัง จนกระทั่งได้มาเป็นกองทัพอากาศในปัจจุบัน กองทัพอากาศไทยได้ยกย่องถวายพระเกียรติพระองค์ไว้ว่าเป็น "พระบิดาแห่งกองทัพอากาศไทย"
เมื่อ พ.ศ. 2460 ทรงจัดส่งทหารอาสาไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ในปีต่อมาได้ทรงก่อตั้งกองบินทหารบก ซึ่งต่อมา ได้ขยับขยายเป็นกองทัพอากาศ และทรงริเริ่มก่อสร้างค่ายจักรพงษ์ที่จังหวัดปราจีนบุรี พระองค์ยังได้เป็นผู้กำกับการก่อสร้างสถานที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งสภากาชาดไทย ทรงมีส่วนริเริ่มในการก่อตั้งสภากาชาดไทย และทรงดำรงตำแหน่ง อุปนายกผู้อำนวยการสภากาชาดไทย พระองค์แรก
เสด็จทิวงคต
จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ พระองค์ตกลงพระทัยว่าจะเสด็จประพาสทะเลทางฝั่งแหลมมลายู ในครั้งนั้นพระองค์ได้ทรงพา หม่อมเจ้าหญิงชวลิตโอภาส พระชายา, พระโอรสคือพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ และนายพันเอกพระยาสุรเสนา ปลัดกรมเสนาธิการทหารบก ตามเสด็จไปด้วย แต่ขณะที่เสด็จไปทางเรือไปตามแนวฝั่งทะเลตะวันตก เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2463 ได้เพียงวันเดียว ก็มีพระอาการประชวรไข้ไปตลอดทาง กลายเป็นพระปับผาสะเป็นพิษ (เป็นโรคปอดบวม) ขณะที่เรือถึงเมืองสิงคโปร์เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2463 พระอาการกำเริบหนักขึ้น ครั้นความทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พันโทสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนสุโขทัยธรรมราชาและพันเอกพระศักดาพลรักษ์รีบออกไปสิงคโปร์โดยรถไฟพิเศษ เพื่อจัดการรักษาพยาบาลร่วมมือกันกับนายแพทย์ในเมืองสิงคโปร์ ซึ่งได้ถวายพระโอสถประคับประคองเต็มความสามารถอยู่แล้ว พระอาการมีแต่ทรงกับทรุดตลอดมา และเสด็จทิวงคตเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2463 เวลา 13 นาฬิกา 50 นาที พระอาการกำเริบหนักเหลือกำลังที่พระองค์จะทนทานได้เสด็จทิวงคตในเวลานั้น
การเสด็จทิวงคตของจอมพลสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ได้นำความโศกเศร้าอาลัยต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและข้าราชการฝ่ายทหารอย่างสุดซึ้ง ดังปรากฏข้อความในคำนำหนังสือที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์แจกในงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ มีความตอนหนึ่งว่า
"....นอกจากเธอเป็นน้องที่ข้าพเจ้ารักมากที่สุด เธอยังได้เป็นที่ปรึกษา และผู้ช่วยราชการอย่างดีที่สุดหาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ โดยเหตุที่ข้าพเจ้าเป็นผู้มีอายุมากกว่าเธอ ข้าพเจ้าจึงได้เคยหวังอยู่ว่าจะได้อาศัยกำลังของเธอต่อไปจนตลอดชีวิตของข้าพเจ้า ฉะนั้นเมื่อเธอได้มาสิ้นชีวิตลงโดยด่วนในเมื่อมีอายุยังน้อย ข้าพเจ้าจะมีความเศร้าโศกอาลัยปานใด ขอท่านผู้ที่ได้เคยเสียพี่น้องและศุภมิตรผู้สนิทชิดใจจงตรองเองเถิด ข้าพเจ้ากล่าวโดยย่อๆ แต่เพียงว่าข้าพเจ้ารู้สึกตรงกับความที่สมเด็จกรมพระยาปรมานุชิตชิโนรส ได้ทรงไว้ใน เตลงพ่ายว่า “ถนัดดั่งพาหาเหี้ยน หั่นให้ไกลองค์”
เมื่อจอมพลสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถเสด็จทิวงคต สิริพระชนมายุได้ 37 พรรษา 3 เดือน 10 วัน พระองค์ได้รับการสถาปนาพระอิศริยยศเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช พระราชทานเศวตฉัตร 5 ชั้น ประดับเหนือพระโกศ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้เสด็จมาพระราชทานเพลิงพระศพพระอนุชาฯ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2463 พระอังคารของพระองค์ได้บรรจุไว้ที่อนุสรณ์สถานเสาวภาประดิษฐาน ณ สุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามตราบเท่าทุกวันนี้
Cr.wikipedia
บันทึก
2
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ
2
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย