26 ส.ค. 2020 เวลา 05:46 • ประวัติศาสตร์
อะไรอยู่ใต้ฐาน ร.๑ พล.ร.๖
ตีพิมพ์ในวารสารฯ แล้วใน ปีที่ ๑๙ ฉบับที่ ๑ เดือนตุลาคม – ธันวาคม ๒๕๕๐
สำหรับฉบับนี้ ผมจะเขียนถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับ พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (อนุสาวรีย์ ร.๑) หน้า บก.พล.ร.๖ ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าน่าเกรงขาม และเป็นที่เคารพสูงสุดของ เราชาวค่ายสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ค่ายทหารค่ายเดียวในประเทศที่ใช้นามเต็มของพระองค์ท่าน และชาว พล.ร.๖ ทุกคน จึงอยากเสนอในเรื่องที่ว่า “อะไรอยู่ใต้ฐาน ร.๑ พล.ร.๖”
จากบันทึกที่ได้มาจากการมีส่วนร่วมและรับรู้ในเรื่องการก่อสร้างบ้าง และจากบุคคลที่มีส่วนร่วมในการก่อสร้าง ตั้งแต่เริ่มต้นจนแล้วเสร็จ รวบรวมและบันทึกเป็นตัวหนังสือให้อ่าน เหมือนเดิมครับ เอาไว้เป็นข้อมูลในการสนทนาถกเถียงกันอีกเรื่องครับ ว่าดังนี้…
ต้น ธันวาคมปี ๒๕๓๖ พล.ร.๖ (ผบ.พล.ร.๖ – พล.ต.สนั่น มะเริงสิทธิ์) เสนอโครงการก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.๑ ซึ่งตามประวัติการก่อสร้างที่บันทึกไว้ (ลอกลงมาให้) มีดังนี้
“กองพลทหารราบที่ ๖ เป็นหน่วยขึ้นตรงของกองทัพภาคที่ ๒ ได้รับการจัดตั้งหน่วยขึ้นเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๒๒ โดยมีที่ตั้งปกติถาวรอยู่บริเวณบ้านโสกเชือก ตำบลโพธิ์สัย อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด ในระยะเริ่มต้นของการจัดตั้งหน่วย กองพลทหารราบที่ ๖ ได้ใช้กำลังทหารเข้าระงับยับยั้งสถานการณ์การคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ และกองกำลังภายนอกประเทศที่รุกล้ำอธิปไตยชาติไทย บริเวณพื้นที่ภาคอีสานตอนล่าง สามารถยับยั้งสถานการณ์การคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ รวมทั้งการป้องกันการคุกคามจากภายนอกประเทศได้ผลดีอย่างต่อเนื่องตลอดมา เพื่อเป็นเกียรติประวัติของหน่วยในการที่ได้ปฏิบัติหน้าที่รักษาความมั่นคงของชาติได้ผลดี กับทั้งเพื่อให้กำลังพลของหน่วย กองพลทหารราบที่ ๖ มีที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ กองทัพบกจึงได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ขอพระราชทานชื่อค่ายทหารให้เป็นเกียรติประวัติแก่หน่วยสืบไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานชื่อค่ายทหารว่า “ค่ายสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช” ตั้งแต่ วันที่ ๑๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๗ เป็นต้นมา
เพื่อเป็นการน้อมนำใจทหารให้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช องค์พระปฐมบรมราชจักรีวงศ์ ได้ทรงพระบรมเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่ ทรงทำนุบำรุงประเทศชาติและศาสนาให้เจริญก้าวหน้ามาจนถึงปัจจุบัน กับทั้งเพื่อเป็นที่สักการะและเป็นศูนย์รวมจิตใจเหล่าทหารและประชาชนทั่วไป จึงได้ร่วมมือพร้อมใจกัน ก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในวโรกาสฉลองศิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี ในปีพุทธศักราช ๒๕๓๙ ประดิษฐาน ณ หน้ากองบัญชาการกองพลทหาราบที่ ๖ อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด
พลตรี สนั่น มะเริงสิทธิ์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ ๖ เป็นผู้เสนอโครงการก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โดยได้ขอให้กรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ ทำการออกแบบ และดำเนินการก่อสร้างโดย กองพันทหารช่างที่ ๖ ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๓๗ ถึง ๒๕๓๙ โดยจัดหางบประมาณจากการบริจาคของผู้มีจิตศรัทธา และขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากผู้บังคับบัญชา”
วัตถุประสงค์หลัก ๆ พอสรุปได้ก็เพื่อเทิดเกียรติคุณองค์ปฐมบรมราชจักรีวงศ์, เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี ใน พ.ศ.๒๕๓๙ โดยเสนอโครงการผ่าน มทภ.๒ (พล.ท.สุรยุทธ จุลานนท์) ไปที่ กองทัพบก
พอถึง กองทัพบก เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเป็นพระปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม ตลอดจนทรงนำความเจริญรุ่งเรือง และความร่มเย็นเป็นสุขมาสู่ประชาชนชาวไทย ซึ่งทำให้ประเทศชาติดำรงความเป็นเอกราชอธิปไตยสืบมาจนทุกวันนี้ ประกอบกับค่ายสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้รับพระราชทานนามค่ายมาตั้งแต่ ๑๑ เม.ย.๒๕๒๗ ยังไม่มีพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระองค์ประดิษฐานไว้เป็นที่เคารพสักการะ ดังนั้นจึงเห็นสมควรให้ กองพลทหารราบที่ ๖ ดำเนินการก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเป็นสถานที่สำคัญสำหรับเคารพสักการะ อีกทั้งเป็นศูนย์รวมจิตใจของบรรดาข้าราชการทหาร และครอบครัว ตลอดจนประชาชนโดยทั่วไป
ทีนี้ประมาณปลาย ธันวาคม ๒๕๓๖ กองทัพบก โดย พล.อ.วิมล วงศ์วานิช ผบ.ทบ. ก็ทำเรื่องขออนุญาตก่อสร้างฯต่อไปที่ กรมศิลปากร ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วย การก่อสร้างอนุสาวรีย์แห่งชาติและการจำลองพระพุทธรูปสำคัญ พ.ศ.๒๕๒๐ และก็ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการต่าง ๆ ตามโครงการ ซึ่งพอที่จะสรุปเป็นเหตุการณ์สำคัญดังนี้น่ะครับ..
๒๗ มี.ค.๒๕๓๘ สมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯทรงวางศิลาฤกษ์พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ ๑ ณ สถานที่ก่อสร้างหน้า กองบัญชาการกองพลทหารราบที่ ๖ โดยมี พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร ผช.ผบ.ทบ. , พล.ท.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มทภ.๒, พล.ต.สนั่น มะเริงสิทธิ์ ผบ.พล.ร.๖ พร้อมด้วยข้าราชการและพสกนิกร ในพื้นที่ ทภ.๒ เฝ้าทูลละอองพระบาท ซึ่งก่อนนั้นช่วงเช้าเวลา ๐๙๓๙ พล.อ.เชษฐาฯ เป็นประธานในพิธีบวงสรวงบูชาฤกษ์การก่อสร้างฯแล้ว
๘ มิ.ย.๒๕๓๘ สมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯทรงเป็นประธานเททองหล่อพระบรมรูป รัชกาลที่ ๑ ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร โดยมีสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก เป็นประธานเจริญชัยมงคลคาถา
ช.พัน.๖ โดย พ.ท.ไชยพร รัตแพทย์ ผบ.ช.พัน.๖ ได้ดำเนินการปรับพื้นที่ก่อสร้างสวนสมเด็จฯหน้า บก.พล.ร.๖ ทั้งหมด ก่อสร้างแท่นฐาน และพื้นที่อนุสาวรีย์ทั้งหมดยกเว้นงานปูหินอ่อน แต่ก็จัด กำลังพลปูช่วยเพราะอยากให้เสร็จไว (ทนยืนดูเขาไม่ได้...สงสาร) และก่อสร้างบันไดรอบ ๆ ที่นอกเหนือจากแบบ โดยเริ่มดำเนินการปรับพื้นที่และก่อสร้างฐานฯ เริ่มงานตั้งแต่ ต้นปี ๒๕๓๙
เมื่อการก่อสร้างด้านรากฐานต่าง ๆ แล้วเสร็จ ทีนี้ก็มาถึงงานปูหินอ่อน ซึ่งเป็นงานใหญ่ พล.ร.๖ โดยผู้เซ็นต์สัญญาคือ พ.อ.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล เสธ.พล.ร.๖ (ขณะนั้น) ได้ทำสัญญาจ้างชุดช่างของนายวิเชียร แสงอร่าม คนอำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยใช้หินอ่อนของ บริษัท หินอ่อน จำกัด จ.สระบุรี ที่เลือกบริษัทนี้เพราะเค้าลดราคาให้ตั้ง ๓๐ % และขนย้ายมาโดย ช.พัน.๖ (มิน่าถึงลดราคาเพราะไม่มาส่งนี่เอง)
สำหรับงานปูหินอ่อนตามสัญญานั้นเริ่ม ๑ ต.ค.๒๕๓๙ ให้แล้วเสร็จใน ๓๑ ธ.ค.๒๕๓๙ และรับประกันซ่อม ๒ ปี แต่จริงแล้วไปเสร็จเอา ก.พ. ๒๕๔๐ เนื่องจากต้องรวมการแกะสลักตัวอักษรพระราชประวัติอีก ค่าจ้างต่างหากน่ะครับ
ในส่วนของพระราชประวัตินั้นรวบรวมโดย ฝยก.พล.ร.๖ และตรวจแก้โดย พล.ต.สนั่นฯ ซึ่งในขณะนั้นท่านเป็น รอง มทภ.๒ แล้วครับ เนื้อที่ประมาณ ๒๕ ตร.ม. มีอักษรทั้งสิ้นประมาณ ๒,๐๐๐ ตัว แบ่งเป็น ๔๖ แถว ๆ ละประมาณ ๕๘ ตัวอักษร ขนาดอักษร หนา ๕ ซม. สูง ๘ ซม. ใช้ช่าง ๕ คน ทำงาน ๑ เดือน ผู้เขียน(ผม) เคยถามคนแกะว่ามีทั้งสิ้นกี่ตัวอักษร ช่างบอกว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะนับยังไงให้รวมสระด้วยหรือเปล่า เอาเป็นว่าใครไปยืนนับมาแล้วก็ส่งข่าวมาบอกด้วยน่ะครับ
ห้วงปี ๒๕๔๐ ช.พัน.๖ โดย พ.ท.ปฏิกรณ์ เอี่ยมลออ ผบ.ช.พัน.๖ ได้ดำเนินการก่อสร้างปรับปรุงสวนหย่อมบริเวณรอบๆ พื้นที่อนุสาวรีย์ทั้งหมด รวมทั้งงานก่อสร้างสนามกอล์ฟ เพื่อให้เหมาะสม เรียบร้อยสมบูรณ์สวยงามตามแบบ
พอถึงเดือนมิถุนายน ๒๕๔๑ ก็ได้ซ่อมครั้งแรก เนื่องจากกระเบื้องหินอ่อนสีดำฉากหลังเลื่อนหล่นแตกเสียหาย ซึ่งก็ซ่อมโดย ช.พัน.๖ พอ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๓ พล.ต.ชวลิต ชุนประสาน ผบ.พล.ร.๖ เป็นประธานพิธีบวงสรวงในวันสถาปนากองพลทหารราบที่ ๖ ท่านก็สังเกตเห็นว่า ตรีจักร ที่ประดับบนแท่นหินอ่อนนั้น หมุนเวียนซ้าย ซึ่งน่าจะผิด จึงสั่งให้ ช.พัน.๖ ดำเนินการแก้ไข หล่อมาเปลี่ยนใหม่ให้เป็น เวียนขวา โดย บ.โชคชัย ออลเมทอล เซอร์วิส จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่ง ช.พัน.๖ ดำเนินการเรียบร้อยใน สิงหาคม ๒๕๕๓
กรมศิลปากร โดยกองหัตถศิลป์ ออกแบบและหล่อองค์พระฯ พร้อมด้วยส่วนประกอบอื่น ๆ ด้วยโลหะสำริดรมดำ ซึ่งกรมศิลปากร ดำเนินการตั้งแต่ ม.ค. ๒๕๓๗ มาแล้วเสร็จสมบูรณ์เมื่อ มี.ค. ๒๕๔๐ มีลักษณะคล้ายองค์ที่ประดิษฐานอยู่ที่เชิงสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์ (สะพานพุทธ) ฝั่งกรุงเทพมหานคร ซึ่งสร้างเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๕ ในรัชสมัยของสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗)
ทีนี้มาถึงการอัญเชิญองค์พระฯ มาค่ายเรา ก็ได้ใช้รถลาก ป.ของ ป.พัน.๑๐๖ ขนย้ายจากโรงหล่อ กรมศิลปากร กรุงเทพฯ ถึงค่าย พล.ร.๖ เรา ในวันที่ ๓ เม.ย.๔๐
๔ – ๑๖ เม.ย.๒๕๔๐ ได้อัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ ๑ ไปประดิษฐานชั่วคราว ณ หน้าศาลากลางจังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อให้ข้าราชการและประชาชนทั่วไป ได้น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านรวมทั้งได้ถวายสักการะ
๑๗ เม.ย.๒๕๔๐ ได้อัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์มาประดิษฐาน ณ หน้า บก.พล.ร.๖ โดย พล.ท.สุรยุทธ จุลานนท์ มทภ.๒ เป็นประธานในพิธีฯ
๗ พ.ค.๒๕๔๐ ช่วงเย็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พลเอกสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และวันเดียวกันนั้นช่วงเช้า พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร ผบ.ทบ.เป็นประธานในพิธีบวงสรวงบูชาฤกษ์ฯ ซึ่งตามประวัติการก่อสร้างที่บันทึกไว้อีก (ลอกลงมาให้อีก) มีดังนี้
“เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘ พลโทหญิง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ทรงวางศิลาฤกษ์การก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ พระยาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
เมื่อวันพุธที่ ๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลเอก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯพระราชดำเนินแทนพระองค์เป็นองค์ประธานในพิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นองค์ที่จำลองจาก พระบรมราชานุสาวรีย์ที่ประดิษฐาน ณ แท่นประทับเชิงปฐมบรมราชานุสรณ์ (สะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ) ฝั่งพระนคร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๗ ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ “พระบิดาแห่งศิลปะ” ทรงออกแบบเป็นพระบรมรูปทรงเครื่องขัตติยาภรณ์ เสด็จประทับนั่งเหนือพระราชบัลลังก์ ทรงพระแสงดาบวางบนพระเพลาอย่างน่าเกรงขามและสง่างาม
องค์ที่ประดิษฐาน ณ กองบัญชาการกองพลทหารราบที่ ๖ ค่ายสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีลักษณะคล้ายองค์ที่ประดิษฐานอยู่ที่ ณ เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หล่อด้วย โลหะสำริด มีขนาดความสูง ๒๕๕ ซม. ความกว้าง ๑๓๐ ซม. ตั้งอยู่บนฐานความสูง ๑๗๙ ซม.
เบื้องหลังและฐานของพระบรมราชานุสาวรีย์ ก่อด้วยหินอ่อน มีซุ้มครอบอยู่เบื้องหลังขององค์พระบรมราชานุสาวรีย์ และด้านหลังมีข้อความพระราชประวัติโดยย่อของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ทำการปั้นหุ่นและหล่อ โดย นายกองเกต ชนะพันธ์ ส่วนประติมากรรม สถาบันศิลปกรรม กรมศิลปากร”
เขียนร่ายพล่ามมาตั้งยาว ยังไม่เข้าเรื่องที่ผู้เขียนอยากบอกเลยว่า “อะไรอยู่ใต้ฐาน พระบรมอนุสาวรีย์ รัชกาลที่ ๑ หน้า บก.พล.ร.๖” มาเข้าเรื่องกันดีกว่าน่ะครับ เมื่อการก่อสร้างแท่นพระบรมราชานุสาวรีย์ ของชุดก่อสร้างมาจึงจุดสุดท้ายคือฐานแท่น เป็นขั้นตอนการปิดด้านหน้าแท่น ก็มีคนบอกว่าตามประเพณีการก่อสร้างสิ่งศักดิ์สิทธ์(จำไม่ได้ว่าใครเป็นคนบอก หรือพาบอก) และถือเป็นการแก้เคล็ด ต้องมีการหาวัตถุสิ่งของหรือสิ่งมงคลใส่ลงไปในใต้ฐานแท่น แล้วทีนี้จะเอาอะไรบ้างล่ะ พอหารือตกลงกันได้ด้วยมันสมองอันพอประมาณของพวกเราขณะนั้นก็จัดการบรรจุสิ่งของ และวัตถุที่เป็นมงคลตามรายการที่(ป๋า)จ่าภาสกร วรรณบุษปวิช นายงานก่อสร้าง จดบันทึกไว้เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๓๙ เวลา ๑๑๓๐ น. ดังนี้ครับ...
๑. พระสมเด็จพิมพ์นั่งหลังเต่า (หลวงปู่พรหมมา เขมจาโร วัดผานางคอย อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลฯ) จำนวน ๙ องค์ (นำมาโดยจ่าวิจัย คำศิลา ช.พัน.๖ โทรถาม....)
๒. ขี้เหล็กไหล จำนวน ๑ ก้อน (เป็นความเชื่อส่วนบุคคลผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนี่ก็นำมาโดยจ่าวิจัย คำศิลา ช.พัน.๖ และนี่ก็โทรถามเอาเองอีกน่ะครับ....)
รายการต่อไปเป็นการตกลงของชุดก่อสร้าง ดังนี้ครับ...
๓. เหรียญฉลอง ๕ ธันวามหาราช พ.ศ.๒๕๒๗ จำนวน ๑๓ เหรียญ
๔. ธนบัตร (แบงค์) ๒๐ บาท จำนวน ๓ ฉบับ (เลขท้าย ๑๘๘, ๑๗๒, ๓๖๑)
๕. เหรียญ ๑๐ บาท จำนวน ๒ เหรียญ
๖. เหรียญ ๕ บาท จำนวน ๔ เหรียญ
๗. เหรียญ ๒ บาท จำนวน ๑ เหรียญ
๘. เหรียญ ๑ บาท จำนวน ๓๗ เหรียญ
๙. เหรียญ ๕๐ สตางค์ จำนวน ๑๐ เหรียญ
๑๐. เหรียญ ๒๕ สตางค์ (เหรียญสลึง) จำนวน ๑๗ เหรียญ
ดูตามรายการแล้ว ผู้อ่านหลายท่านคงจะสงสัย(เหมือนผม) ผม(ผู้เขียน)จึงถามให้ทันทีว่ามีเหตุผลหรือถือเคล็ดอะไรถึงไม่เห็นใส่แบงค์ฉบับละ ๑,๐๐๐ หรือ ๕๐๐ หรือ ๑๐๐ บาทเลยครับ คำตอบที่ได้ก็คือไม่มีเคล็ดอะไรหรอกครับ แต่ตอนนั้นช่างก่อสร้างเขาพากันไม่มีเงิน(ไม่มีแบงค์ใหญ่มาทำงานด้วย หรือใจไม่ใหญ่ ขนาดแบงค์ ๕๐ บาท ยังไม่มีเลย....ฮา)
รายการข้างต้น วางรวมอยู่ใกล้ๆ แท่นวางศิลาฤกษ์ และอยู่ภายใต้ฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ ครับ..
เรื่องศักดิ์สิทธิ์และปาฏิหาริย์นี้ มีหลายท่านได้เคยประสบพบเจอด้วยตัวเองเอาไว้ฉบับต่อ ๆ ไปจะเก็บมาเขียนมาให้อ่าน ยกตัวอย่างก็ได้ครับ เช่น ในวันสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯทรงเป็นประธานเททองหล่อพระบรมรูป รัชกาลที่ ๑ ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร โดยมีสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก เป็นประธานเจริญชัยมงคลคาถานั้น ขณะทรงประกอบพิธีเททองเกิดฝนตกลงมาอย่างกะทันหันในเขตปริมณฑลที่ประกอบพิธี และก็หยุดลงเมื่อพิธีเสร็จสิ้น ทั้งที่ไม่มีทีท่าว่าฝนจะตกไม่เห็นมีก้อนเมฆเลยเพราะท้องฟ้าโปร่งใสมาก ไม่ได้บันทึกว่ามีอาทิตย์ทรงกลดหรือไม่ (น่าจะมี)
ในการนี้ พล.ร.๖ ได้เชิญสร้างกุศลถวายความจงรักภักดีพระบรมราชจักรีวงศ์ด้วยการสั่งจองบูชา พระบรมรูปรัชกาลที่ ๑ ขนาดสูง ๑๔ นิ้ว ๗,๕๐๐ บาท และขนาดสูง ๑๐ นิ้ว ๕,๕๐๐ บาท เหรียญพระแก้วมรกต ด้านหลังรูปพระพักตร์รัชกาลที่ ๑ เนื้อทองคำ ๑๙.๑ กรัม ๑๓,๙๙๙ บาท เนื้อเงิน ๔๙๙ บาท เนื้อทองแดง ๔๙ บาทและพระกริ่งพระแก้วมรกต เนื้อทองคำ ๑๑.๗ กรัม ๙,๙๙๙ บาท เนื้อเงิน ๕๙๙ บาท เนื้อนวโลหะ ๓๙๙ บาท และเนื้อทองคำขนาดเล็ก ๑.๓ กรัม ๑,๒๙๙ บาท พิธีมหามังคลาภิเษกและมหาพุทธาภิเษก ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อ ๒๗ ธ.ค.๓๘ มีสมเด็จพระราชาคณะในกรุงเทพฯ ๙ รูป และพระเกจิอาจารย์ทั่วประเทศ ๖๙ รูป จารอักขระแผ่น ทอง เงิน นาค ดูรายนามพระเกจิแต่ละท่านแล้วสุดยอดของจริงและของแท้ทั้งนั้น ไม่ต้องไปหาที่อื่นอีกแล้วครับ แต่ราคาปัจจุบันค่าเช่าเป็นเท่าไหร่ ถ้าสนใจให้โทรถาม(ผู้เขียน) และยังมีเหรียญหลวงพ่อคูณอีก ๒ รุ่น
เรื่องที่ ๒ ขณะที่ ช.พัน.๖ ดำเนินการปรับพื้นที่ก่อสร้างบริเวณแท่นพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ จำเป็นจะต้องยกแท่นวางศิลาฤกษ์เข้าบรรจุใต้ฐานแท่น จึงได้ใช้รถปั้นจั่นขนาด ๒๕ ตัน (ยกได้ ๒๕ ตันก็ ๒๕,๐๐๐ กิโลกรัมครับ) ทำการยกแท่นวางศิลาฤกษ์น้ำหนักไม่ถึง ๑ ตันเลย ขณะยกขึ้นนั้นรถปั้นจั่นเกิดล้มลงอย่างไม่เป็นท่า (ภาษาอีสาน – ดวน) ทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุไม่เชื่อตาตนเองเลยครับ และหลายคนบอกว่าต้องขออนุญาตก่อน พลขับรถจึงได้ยกมือขออนุญาต และขออะไรอีกผู้เขียน(ผม) ก็ไม่ได้ถาม จึงยกขึ้นจนสามารถปฏิบัติงานต่อจนแล้วเสร็จ พลขับรถตอนยกเป็นจ่า ตอนนี้เป็นร้อยเอกแล้วครับ อยู่ ช.พัน.๖ และที่สำคัญเนื่องจากเป็นคนชอบยกก็เลยได้ยกบ่อย ๆ ทั้งที่วัดป่ากุง และวัดผาน้ำทิพย์ (มหาเจดีย์ชัยมงคล) ท่านจึงได้รับของดี(วัตถุมงคล)จากมือหลวงปู่ศรี มหาวีโร โดยตรง คือ เหรียญหลวงพระพุทธหลังดาวรุ่นแรกปี ๒๕๒๖ (หลวงพ่อสี - ส.เสือ) และเหรียญพระพุทธปรกโพธิ์ผาน้ำทิพย์ กระทรวงเกษตรฯ ปี ๒๕๒๙ แต่ละเหรียญสวยกริ๊บๆ ปัจจุบันเริ่มหายากมาก ราคาค่าเช่าก็สูงขึ้นเรื่อยๆ (นี่ก็โทรถาม)
พล.ต.สนั่น มะเริงสิทธิ์ ตอนเริ่มโครงการเป็น ผบ.พล.ร.๖ จากนั้น เป็น มทภ.๒ เป็น ผช.ผบ.ทบ.
พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร ตอนวางศิลาฤกษ์เป็น ผช.ผบ.ทบ. ตอนมาบวงสรวง เป็น ผบ.ทบ. และก็ได้เป็น รมต. ICT รวมทั้งเป็น รมต.กลาโหม
พล.ท.สุรยุทธ จุลานนท์ มทภ.๒, จากนั้นไม่นานก็ได้เป็น ผู้บัญชาการทหารบก แล้วก็มาเป็น ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ต่อมาก็เป็น องคมนตรี และขณะที่เขียนต้นฉบับอยู่นี่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๔ ของประเทศไทยครับ ศักดิ์สิทธิ์มากจริง ๆ เห็นมั้ยละครับ
สมัยเป็นนักเรียนท่านผู้อ่านคงจะเคยได้อ่านพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ที่ทรงพระราชนิพนธ์ไว้เมื่อคราวรบกับพม่าที่ท่าดินแดงเมื่อ พ.ศ.๒๓๒๙ เรื่อง “นิราศท่าดินแดง” และช่วงท้าย ๆ มีอยู่ตอนหนึ่ง และเป็นพระราชปณิธานของพระองค์ที่ทรงตั้งพระทัยไว้อย่างแน่วแน่ ตลอดเวลาที่ทรงครองราชย์ ว่า ...
“ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา ป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนและมนตรี”
ครับพวกเราชาว พล.ร.๖ ได้อ่านบทนี้เมื่อไรทำให้เกิดความภูมิใจ ปลื้มใจ และหึกเหิม ในการที่จะปฏิบัติหน้าที่ราชการ และวิธีที่จะถวายสักการะพระองค์ท่านฯดีที่สุด และง่ายที่สุด ก็คือการเสียสละเพื่อทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายของเราให้ดีที่สุดก็พอแล้วครับ....ฉบับหน้าพบกันใหม่ครับ
โฆษณา