27 ส.ค. 2020 เวลา 02:57 • ความคิดเห็น
มีรุ่นพี่คนหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า
ถ้าคุณเขียนรูปได้คุณก็เขียนหนังสือได้
ผมเขียนรูปมาก่อนจะเขียนหนังสือหลายสิบปี
จำได้ว่าอายุแค่7-8ขวบก็เริ่มวาดรูปแล้ว
ไม่มีครู ไม่มีติวเตอร์
หลบมุมที่วุ่นวายในครอบครัวและชีวิตประจำวันนั่งวาดรูปเงียบๆคนเดียว
อุปกรณ์อาจจะมีแค่สมุดมีเส้นบรรทัดเล่มนึง
ดินสอสักด้าม มีดเหลาดินสอ ยางลบ และปากกาลูกลื่นสีดำ
เริ่มจากการลอกการ์ตูนญี่ปุ่นที่ฮิตสมัยนั้น
ไอ้มดแดง กาโม่ เกรทมาชินก้า หน้ากากเสือ
เริ่มโตมาอีกหน่อยก็มีสีโปสเตอร์ พู่กัน กระดาษที่เหมาะกับการระบายสี
วาดรูปวิว กระท่อมปลายนา ภูเขา ต้นมะพร้าว กองฟาง
บางครั้งเห็นรูปวิวจากพัดบ้าง ข้างรถบรรทุกบ้าง
ฝึกวาดไปเรื่อยๆโดยไม่เคยถามใครว่าต้องวาดอย่างไร
ชีวิตวัยมัธยมยังแบ่งเวลาไปหัดเล่นกีตาร์ หัดตีกลองชุดด้วย
พอเริ่มวัยมัธยมปลายที่จะต้องเลือกเรียนอะไรจริงๆจังๆ
ผมเลือกเรียนศิลปะโดยไม่เคยคิดสักนาทีเดียวว่าจบไปแล้วจะไปทำอะไร
ตัดสินใจเรียนด้วยหัวใจและความชอบล้วนๆ
อนาคตจะไปทำอะไรค่อยว่ากันอีกที
เรียนศิลปะจนจบปริญญาตรีและโทแบบไม่คาดหวังอาชีพการงานเลย
ส่วนการเขียนหนังสือนั้นก็ไม่เคยอยู่ในความคิดด้วยเช่นกัน
เมื่อต้องทำวิทยานิพนธ์สมัยเรียนศิลปากร
ผมต้องเขียนcontentอธิบายงานที่วาดประกอบด้วย
ทั้งที่มา แรงบันดาลใจ ขั้นตอนการผลิตงานและอื่นๆอีก
อาจารย์ที่ปรึกษาชมว่าผมเขียนหนังสือได้ดี ต่อไปน่าจะเขียนหนังสือได้
ผมไม่ได้คิดอะไร คิดแต่ว่าเป็นคำชมธรรมดาๆ
แต่ผมเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กควบคู่ไปกับการเขียนรูป
กิจกรรมที่เกี่ยวกับการอ่านคือหนังสือเล่มละบาทในสมัยนั้น
กับการ์ตูนญี่ปุ่นที่กำลังเป็นที่นิยม
พอโตขึ้นมาหน่อยเริ่มอ่านหนังสือจริงจังมากขึ้น
เริมเรียนมัธยมก็อ่านนิยายและเรื่องสั้นแล้ว
พอเรียนช่างศิลปก็ขยับไปอ่านเรื่องแปลต่างประเทศ
หนังสือกีฬา หนังสือพิมพ์ก็อ่านควบคู่ไปด้วย
อ่านทุกวันทุกเวลาแม้แต่ตอนกินข้าว เข้าห้องน้ำ และก่อนนอน
ยิ่งมีโอกาสไปเรียนต่างประเทศยิ่งอ่านหนักขึ้น
อ่านในรถใต้ดิน บนรถเมล์ ที่บ้าน ที่มหาวิทยาลัย
อ่านทุกเรื่องที่อยู่ตรงหน้า มีสาระบ้าง ตลกขบขันบ้าง
แต่ทั้งหมดทั้งปวงไม่เคยคิดว่าจะนำมาซึ่งการเขียนอะไรเลย
จนล่วงเข้าอายุ40กลางๆ
วันนึงไปงานเลี้ยงรุ่นกลับมา
อยู่ๆก็อยากเขียนเรื่องในอดีตที่เคยใช้ชีวิตวัยเรียนกับเพื่อนๆที่ไปเจอมา
นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเขียนของผม
ไม่มีครู ไม่เคยเรียนการเขียนหนังสือ
เขียนด้วยหัวใจและความทรงจำล้วนๆ
ก็เหมือนการเขียนรูปนั่นแหละ
ทุกวันนี้ผมนึกถึงคำพูดของพี่สุวรรณี สุคนธา
รุ่นพี่ที่ศิลปากร และเป็นนักเขียนชื่อดัง ที่เอ่ยประโยคในบรรทัดแรก
ถ้าคุณเขียนรูปได้คุณก็เขียนหนังสือได้
แต่ผมกลับพบว่า
การเขียนหนังสือนั้นง่ายกว่าการเขียนรูปซะอีก
ง่ายในแง่ที่ว่าคิดอะไรก็เรียบเรียงคำพูดในสมองให้ดีแล้วลงมือเขียน
แต่การเขียนรูปมันยากกว่านั้นอีก
นอกจากมันต้องผ่านขบวนการคิดมากมายแล้ว
สิ่งที่จะวาดออกมายังต้องตอบโจทย์แนวความคิดอีกด้วย
บางครั้งมันไม่ได้ตรงไปตรงมาแบบตัวอักษร
แต่ไม่ว่าจะเขียนหนังสือหรือเขียนรูป
สิ่งที่ผมค้นพบคือ
ทั้งสองสิ่งต้องใช้หัวใจและความซื่อสัตย์อย่างยิ่งยวด
ทั้งสองอย่างต้องอุดมด้วยความดีงามอย่างยิ่ง
ไม่เช่นนั้น
หนังสือที่เขียนก็แค่กระดาษเปื้อนหมึก
รูปที่วาดก็เป็นเพียงกระดาษเปื้อนสีเท่านั้น
โฆษณา