30 ส.ค. 2020 เวลา 10:55 • ครอบครัว & เด็ก
“เมื่อผม...ไม่ได้เป็นหัวหน้าห้อง” (ตอนที่ 1)
(เรื่องใหญ่...ที่ดูเล็ก)
แม่ของเด็กชายวัย 7 ขวบ
ได้โทรหาผู้เป็นพ่อในเวลาพลบค่ำ
ขณะที่พ่อกำลังทำงาน
และคุยไม่ค่อยสะดวก
ซึ่งพ่อพอเข้าใจความว่า
ลูกชายอันเป็นที่รักของเรา
เสียใจ ร้องให้ ที่ถูกปลด
จากการเป็นหัวหน้าห้อง
ด้วยสาเหตุที่ตนเล่นมากจนเกินไป
จนลืมสั่งทำความเคารพคุณครูในคาบเรียน
แม่ทิ้งท้ายว่า "แต่ไม่มีอะไรหรอก
ลูกคงร้องไห้ตามประสาเด็กแหละพ่อ"
พ่อกลับถึงบ้านดึกดื่น
ขณะที่อดีตหัวหน้าห้อง
หลับไปแล้วพร้อมแม่
พ่อก็หลับตามด้วยอาการเหนื่อยล้า
พ่อตื่นมาอีกทีตอนเช้าตรู่ ที่มีแสงสลัว
ตรงหน้าพ่อ เห็นดวงตาเป็นประกาย
กระพริบเป็นระยะ สายตาคู่นั้นจ้องมอง
หน้าพ่ออย่างตั้งใจพร้อมบอกว่า
"พ่อตื่นแล้วเหรอ"
พ่อลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวไปทำงานตามกิจวัตร
ขณะกำลังเดินเข้าห้องน้ำ
เด็กชายเดินตามเข้าไปด้วย
เขาจับมือพ่อ พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“พ่อ ลูกไม่ได้เป็นหัวหน้าห้องแล้ว”
น้ำตาเด็กน้อยเริ่มไหลริน พร้อมสีหน้าเหยเก
เบะปาก ตามคุณลักษณะพิเศษประจำตัว
พ่อนึกย้อนเรื่องราวที่คุณแม่เล่าให้ฟังเมื่อคืน
แต่ตนยุ่งสาละวนกับงาน
จึงไม่ได้ตั้งใจฟัง และคิดว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ
เพราะแม่บอกว่าคงงอแงตามประสา
แต่ตอนนี้พ่อคิดว่า
มันคงไม่ใช่เรื่องปกติเสียแล้ว
พ่อลูกใช้เวลาอันสั้นบอกเล่าเรื่องราว
ที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนสรุปได้ว่า
คุณครูบอกว่าลูกดื้อ พูดไม่ฟัง
ไม่ทำตามที่ครูบอก คุณครูจึงทำโทษ
ด้วยการปลดจากตำแหน่งการเป็นหัวหน้า
เด็กชายเสียใจมาก
เพราะเขาทำหน้าที่นี้มาตั้งแต่ อนุบาล 1
ขณะนี้เขาอยู่ ป.1 เขารั้งตำแหน่งนี้สามปีกว่า
ซึ่งได้เป็นตัวแทนในการทำกิจกรรมเช่น
ถือพานไหว้ครู นำร้องเพลงชาติ
หน้าแถวตอนเช้า
บอกทำความเคารพคุณครูหน้าชั้นเรียน ฯลฯ
การถูกปลดจากหัวหน้าห้อง
จึงเป็นหนามที่ทิ่มแทงจิตใจ
เด็กน้อยวัย 7 ขวบ ที่ยังอ่อนต่อโลก
เขารู้สึกเป็นความผิดใหญ่หลวง
ที่ไม่สามารถแก้ไขได้
เขาถูกเพื่อนล้อว่าไม่ใช่หัวหน้าอีกแล้ว
เขาอับอายตามวัยของเด็ก
แต่ปัญหาที่สำคัญคือ ... เขาไม่มีความสุข
และเขา ไม่อยากไป โรงเรียน
ผู้เป็นพ่อใช้เวลาอันน้อยนิดเช็ดน้ำตาให้ลูก
เอามือจุ่มน้ำแล้วลูบหน้าเอาคราบน้ำตา
บนหน้าลูกออก ขณะที่ครุ่นคิดว่าจะหาคำพูดใด
ปลอบประโลมเด็กน้อยให้เข้าใจ
ถึงโลกความเป็นจริง และเป้าหมายสูงสุด
พ่ออยากให้เขา...ไปโรงเรียนอย่างมีความสุข
เช่นเดิม
คุณพ่อหยิบยกเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นจริง
เติมแต่ง โกหก สร้างเรื่องให้ตื่นเต้น
ผสมผสานหลอกล่ออย่างเป็นขั้นตอน
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในเวลาอันน้อยนิด
1.พ่อก็เคยเจอเหตุการณณ์นี้
พ่อเคยเป็นหัวหน้ามาตลอด (จริง)
แต่บางทีก็ถูกปลดจากหัวหน้าเพราะพ่อดื้อ
เกเรแบบลูกนี่แหละ (เติมแต่ง)
พ่อก็เครียดน่ะ ไม่อยากไปโรงเรียน
เหมือนลูกเลย (สร้างเรื่อง)
...เด็กชาย รู้สึกว่าตนไม่ได้โดดเดี่ยว
ผมมีพวกแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ใช่คนเดียวในโลก
ที่โดนปลด ... เด็กชายฟังต่ออย่างตั้งใจ
2.พ่อย้ำต่อ การถูกปลด เป็นเรื่องปกติ
แม่ก็เคยถูกปลด ยายก็เคย หลายคนก็เคย
(จริงผสมหลอก) นี่ยังดีน่ะลูกเสียใจแค่นิดเดียว
ถือว่าเก่งแล้ว บางคนร้องจนฟันหักเลย (หลอก)
...ลูกเริ่มภูมิใจนิดๆ ว่าอย่างน้อยตัวเอง
ก็ไม่ได้ด้อยค่า เขายังเก่งกว่าคนอื่น
เริ่มมีพลังบวกมาบ้าง
3.ทุกคนที่โรงเรียน ต้องสลับกันเป็นหัวหน้า
(สร้างเรื่อง) เพราะในความเป็นจริง
การเป็นหัวหน้า หรือลูกน้อง
คือบทบาทที่ทุกคนต้องได้รับในแต่ละสถานที่
ในแต่สถานการณ์ (จริง) ที่ทำงานพ่อบางงาน
พ่อก็ดป็นหัวหน้า บางงานพ่อก็ต้องเป็นลูกน้อง
(จริง) มันต้องสลับกัน และเราก็ต้องให้ดีในทุกๆหน้าที่
ที่ได้รับมอบหมาย
...ดูเหมือนเด็กชายจะคิดภาพตาม
และเริ่มคิดว่า การไม่ได้เป็นหัวหน้า
มันก็เป็นเรื่องปกติ แต่เด็กชายพูดออกมา
“แต่ลูกยังอยากเป็นหัวหน้า” อยากเป็นตัวแทน
4.ถ้าลูกอยากเป็นหัวหน้า ลูกต้องพิสูจน์ตัวเอง
ต้องแก้ไขในสิ่งผิดปรับปรุงในสิ่งที่เป็นสาเหตุ
ให้ลูกไม่ได้เป็นหัวหน้า ตามที่ครูบอก ลูกต้องไม่ดื้อ
ต้องช่วยครู ต้องไม่เล่นเยอะเกินไป ...
“แล้วถ้าลูกทำแบบพ่อว่า
ครูจะให้กลับมาเป็นหัวหน้าอีกมั้ย”
พ่อเริ่มกังวลในสิ้งที่อยู่เหนือการควบคุม
คือคุณครูที่โรงเรียนว่าคิดแบบไหน
และจะทำอย่างไรต่อไป ไม่ให้เป็นตลอดไป
หรือจะเป็นได้อีกพ่อไม่สามารถหยั่งรู้
จึงเปลี่ยนประเด็นว่า
5.อันนี้คุณครูเป็นผู้กำหนด
ซึ่งลูกต้องพิสูจน์ให้ครูเห็นก่อน
จะได้ไม่ได้ เรามาว่ากันอีกที
...สีหน้าเด็กเริ่มแย่ลง จากข้อก่อนๆ ที่ดูดีขึ้น
พ่อจึงบอกต่อว่า เอาอย่างนี้
ตอนนี้ที่บ้านพ่อเป็นหัวหน้า
...เด็กทำหน้างง ว่าบ้านมีหัวหน้าด้วยเหรอ
พ่ออธิบายว่า ไม่ว่าที่ไหนก็มี
โรงเรียนมีหัวหน้าห้อง ครูใหญ่ก็
เป็นหัวหน้าคุณครูประจำชั้นอีกที
ที่บ้านก็เช่นกัน พ่อเป็นหัวหน้าอยู่
โดยมีแม่ ยาย ลูก เป็นลูกน้อง
...เด็กยิ้มแก้มปริ หัวเราะชอบใจ
พร้อมบอกมีด้วยเหรอพ่อ
6.พ่อบอกว่าพ่อจะลาออกจากหัวหน้าบ้าน
ให้ลูกเป็นหัวหน้าแทนแต่ลูกจะเป็นตลอดไปไม่ได้น่ะ
ลูกต้องสลับกลับมาให้พ่อเป็นบ้าง
เราต้องสลับการเป็นหัวหน้า เหมือนกับที่โรงเรียน
สีหน้าเด็กดูผ่อนคลายที่สุดในข้อนี้ พร้อมตอบว่า
ได้คับพ่อลูกจะเป็น 100 วัน แล้วจะให้พ่อมาเป็นสลับกับลูก
...ข้อนี้ทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดทีสุด
พ่อไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์นี้
จะผ่านไปได้อย่างสมบูรณ์เพียงใด
แต่พ่อรู้ว่าเมื่อลูกมีปัญหา
พ่อจะทำทุกทางให้คลี่คลายปัญหา
จากภายในของตัวลูก
ทัศนคติ เป็นเรื่องสำคัญ
แต่เป็นเรื่องยากสำหรับเด็ก 7 ขวบอย่างลูก
พ่อก็ได้แต่หวังให้ลูกฝ่าฟันปัญหาใหญ่นี้
ไปด้วยดี เรื่องราวที่พ่อพูด ทั้งจริง หลอก
สมมุติ ก็เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ
ให้ลูก ไปเรียนอย่างมีความสุข
และฝ่าฟันปัญหาทางความคิดนี้ไปให้ได้
สู้ๆน่ะคนเก่งของพ่อ
อ่านต่อ ตอนที่ 2 น่ะครับ
โฆษณา