31 ส.ค. 2020 เวลา 00:00 • กีฬา
[ #เลือกใช้คนให้ถูกงาน ]
เมื่อครั้งเป็นผู้จัดการทีมแมนฯยูไนเต็ด หลุยส์ ฟานกัล เคยแสดงท่าทีหงุดหงิดมากๆกับการทำงานของบอร์ดบริหาร
เคสเจรจาซื้อผู้เล่นคือปัญหาใหญ่ที่ได้สัมผัสมาเองแบบตัวเป็นๆ ล้มเหลวหลายดีลและบางดีลมันไม่ควรจะพลาด
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ฟานกัล เพิ่งเปิดเผยกับนิตยสาร Four Four Two มีนักเตะถึง 10 คนที่อยากคว้าตัวมาร่วม ได้จัดการแจ้ง เอ็ด วู้ดเวิร์ด ซีอีโอซึ่งทำหน้าที่นี้โดยตรง แต่ปรากฏว่าจั่วลมทั้งหมด
เขาไม่อยากเชื่อว่าระดับแมนฯยูไนเต็ด สโมสรที่ได้รับการยกย่องว่ายิ่งใหญ่และมีสถานะการเงินดีสุดทีมหนึ่งของโลก จะไม่สามารถปิดดีลได้สำเร็จ
นั่นจึงเป็นที่มาของของประโยคอันคลาสสิก "เอาคนไม่รู้จักฟุตบอล มาทำสโมสรฟุตบอล"
หลายคนได้ยินแล้วแทบจะพยักหน้าเห็นด้วยทันที เท่าที่ผ่านมา วู้ดเวิร์ด แสดงไว้ชัดพอสมควร กว่าแมนฯยูไนเต็ดจะได้นักเตะเข้ามาแต่ละคน ต้องลุ้นกันเหนื่อยหอบ บางครั้งเดดไลน์ใกล้เข้ามา จ่อเป็นไฟลนก้นนั่นแหล่ะ ถึงปิดดีลลงได้สำเร็จ
สาวกปีศาจแดงต่างคุ้นเคยกับ "48 ชั่วโมง" จนถูกหยิบนำมาล้อเลียน รอไปเรื่อยๆวนอยู่อย่างนี้แหล่ะ สุดท้ายก็ต้องผิดหวังตามระเบียบ
ตำแหน่งของ วู้ดเวิร์ด คือรองประธานฝ่ายบริหารและผู้อำนวยการของสโมสร ค่อมขาควบสองเก้าอี้เลยทีเดียว
ในบทบาทท่านรองเขามีอาจอยู่ใต้อาณัติแค่พวกตระกูลเกลเซอร์ ถ้าตามตำแหน่งก็มีเพียง อัฟราม กับ โจเอล สองศรีพี่น้องที่ปกครองด้วยอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเท่านั้น
ส่วนผู้อำนวยการนั้นมันหมายถึง วู้ดเวิร์ด จะทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างนักเตะกับบอร์ดบริหาร รวมทั้งการปรึกษากับผู้จัดการทีมเพื่อเฟ้นหาแข้งใหม่หรือจะปล่อยใครออกไป
จากนั้นการเจรจาต้าอ้วยก็ยังคงเป็นเขาเองที่รุกไปคุย ทั้งที่เก้าอี้ผู้อำนวยการนี้ควรจะให้ใครสักคนที่เชี่ยวชาญมาทำหน้าที่จะดีกว่า
บางคนตั้งข้อสังเกตหรือเราเคยได้ยินข่าวจากที่อ้างแหล่งวงในว่า วู้ดเวิร์ด กลัวจะเสียอำนาจในการบริหารส่วนนี้ไป โดยที่เราไม่อาจล่วงรู้ด้วยซ้ำว่า เพราะอะไรหรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือเปล่า
ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมามีข่าวต่อเนื่องเกี่ยวกับผู้อำนวยการฝ่ายกีฬาของแมนฯยูไนเต็ด จะมีการแต่งตั้งตำแหน่งนี้ครั้งแรก แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เกิดขึ้น เป็นเพียงแค่ลือกันเฉยๆซะมากกว่า
ด้วยความที่คนตระกูลเกลเซอร์ให้ความไว้วางใจมากๆ จากผลประกอบการที่น่าพอใจมาตลอด นับตั้งแต่ขยับขึ้นมาแทน เดวิด กิลล์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2013 ทำให้ วู้ดเวิร์ด ทำงานด้วยความปลอดโปร่ง ไม่ต้องวิตกกังวลอะไรนัก
ว่ากันว่าเขากลัวแรงกดดันจาก อัฟราม และ โจเอล มากกว่ากระแสต่อต้านของแฟนบอลด้วยซ้ำ
เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีแฟนบอลอันธพาลของแมนฯยูไนเต็ดนับสิบคน บุกไปบ้านพักของ วู้ดเวิร์ด ไม่ใช่แค่ไปประท้วงเรื่องความล้มเหลวในตลาดซื้อขายผู้เล่น ด้วยการตะโกนด่ากดดันอย่างเดียว
แต่มือดีบางรายยังปาพลุเข้าไปในบริเวณบ้าน เป็นการคุกคามก่อกวนอีกด้วย นับเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
ปฏิกิริยาของแฟนบอลที่ตอบสนองกลับมา ชัดเจนเลยว่าไม่พอใจผลงานของ วู้ดเวิร์ด มากๆ แต่ยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น
ยังดีที่หลังจากนั้นไม่นานนัก แมนฯยูไนเต็ดปิดดีล บรูโน่ แฟร์นันด์ส ได้สำเร็จ ก่อนนักเตะโชว์ฟอร์มร้อนแรง กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญผลักดันให้จบท็อปโฟร์
สถานการณ์ตึงเครียดระหว่าง วู้ดเวิร์ด กับแฟนบอลเลยผ่อนคลายขึ้นบ้าง แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ พอซัมเมอร์มาถึงที่ต้องได้เวลาเสริมทัพอีกระลอก ความเงียบกริบก็เข้าครอบงำอีกตามเคย
เคสของ เจดอน ซานโช่ ที่ประเมินจากข่าวหรือสื่อต่างๆแล้วจะปิดจ็อบได้รวดเร็วก่อนใคร เอาเข้าจริงก็เต็มไปด้วยอุปสรรคนานา เงื่อนปมอาจจะอยู่ที่เรื่องค่าตัวก็จริง ดอร์ทมุนด์ต้องได้ตามที่ร้องขอ
แต่มันย่อมเกิดคำถามว่าตกลงแล้ว วู้ดเวิร์ด เหมาะแค่ไหนกับการทำหน้าที่เจรจาซื้อขายผู้เล่น
ย้อนกลับไปยังดีลของ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ เมื่อฤดูร้อนที่แล้ว กว่าจะจบได้บทสรุปก็ต้องยืดเยื้อเล่นชักเย่อกันอยู่นานสองนาน
วงในจากทางฝั่งจิ้งจอกสยาม ที่มีผู้บริหารบางส่วนเป็นคนไทยเล่าว่า วู้ดเวิร์ด ยื่นครั้งแรกแค่ 40 ล้านปอนด์ สร้างความไม่พอใจให้ยิ่งนัก เหมือนไม่ให้เกียรติกัน
แทนที่จะคุยกันแบบราบรื่น เลสเตอร์เลยหมั่นไส้ เลยปักป้ายขายราคาโหด ไม่ยอมอ่อนข้อประนีประนอมง่ายๆอีก ในเมื่อไม่ได้อยากจะขายสักเท่าไรอยู่แล้ว
แมนฯยูไนเต็ดเลยต้องควักมากกว่า 80 ล้านปอนด์ ส่งผลให้ แม็กไกวร์ เป็นกองหลังแพงสุดในโลกจนปัจจุบันนี้
มันมีข้อเปรียบเทียบที่พอจะทำให้ฉายภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ลองดูเคส เบน ชิลเวลล์ ย้ายไปเชลซีเมื่อไม่นานมานี้ดูได้
แรกทีเดียวมีการโหมอย่างหนักว่าทางเลสเตอร์พร้อมขายแบ็กซ้ายคนสำคัญที่ 80 ล้านปอนด์เป็นอย่างต่ำ นักเตะอายุยังน้อย มีดีกรีตัวจริงทีมชาติอังกฤษ แถมสัญญาก็เหลือระยะยาว
อย่างไรก็ตามเมื่อ มาริน่า กรานอฟสกาย่า ซีอีโอของเชลซีโดดลงมากางโต๊ะเจรจาคุยเป็นเรื่องเป็นราว แค่ไม่กี่วันก็ปิดดีลสำเร็จจ่ายไปเพียงแค่ 50 ล้านปอนด์ แถมแบ่งจ่ายสองก้อนด้วย
45+5 ล้านปอนด์ นี่คือตัวเลขที่เลสเตอร์รับได้ ทั้งที่ตอนแรกแขวนราคาเอาไว้ถึง 80 ล้านอย่างที่รู้กัน
ทีนี้เราพอจะเข้าใจคำพูดของ หลุยส์ ฟานกัล ได้บ้างแล้วใช่มั๊ย?
"การนำคนไม่มีความรู้ฟุตบอล มาทำสโมสรฟุตบอล" มันหมายความว่าอย่างไรกัน
เอ็ด วู้ดเวิร์ด เป็นคนหัวดีเรียนเก่งมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว
ในระดับไฮสคูลเขาได้ทุนจากโรงเรียนเบรนท์วู้ด สถาบันศึกษาเอกชนชั้นนำของประเทศ ซึ่งเป็นที่ชุมนุมของพวกหัวกะทิทั้งหลาย
แฟร้งค์ แลมพาร์ด ผู้มีมันสมองปราดเปรื่องและไอคิวระดับสูงก็ศิษย์เก่าที่นี่เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ด้านกีฬา วู้ดเวิร์ด ก็มีทักษะที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เขาเป็นนักว่ายน้ำและหลงใหลการแข่งขันมากๆ อยากจะเป็นผู้ชนะตลอดเวลา
รักบี้กับฟุตบอลซึ่งเป็นที่นิยมก็เล่นได้ดีพอสมควร แต่เกมลูกหนังไม่ตรงกับรสนิยมสักเท่าไร
หลังจบปริญญาตรีด้านฟิสิกส์ จึงเข้ามารับงานด้านปรึกษาเกี่ยวกับภาษี ให้ไพรซ์วอเตอร์เฮาส์ คูเปอร์ส ซึ่งเป็นบริษัทการเงินชั้นนำของโลก
เมื่อเชี่ยวชาญช่ำชอง จึงได้รับใบอนุญาตให้เป็นผู้สอบบัญชีในปี 1996 กระทั่งบริษัทการเงินยักษ์ใหญ่อย่าง เจ.พี. มอร์แกน อ้าแขนต้อนรับและเป็นจุดเริ่มชักนำให้เข้าวงการฟุตบอล
แล้ว วู้ดเวิร์ด นี่แหล่ะที่แนะนำให้ตระกูลเกลเซอร์เข้ามาเทคโอเวอร์แมนฯยูไนเต็ด โดยชี้ชวนให้เห็นตัวเลขต่างๆที่น่าสนใจลงทุน
ทุกอย่างเดินหน้าไปหาเป้าหมายที่วางเอาไว้ เมื่อเกลเซอร์ฮุบเรียบร้อย วู้ดเวิร์ด จึงได้เข้ามาดูแลบริหารด้านการเงินและสโมสรมีกำไรงอกงามเรื่อยมา
กระทั่ง เดวิด กิลล์ ลาออกในปี 2013 อย่างที่บอกไว้เขาจึงได้นั่งเก้าอี้แทนเต็มตัวและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทุกคนเริ่มรู้ว่า วู้ดเวิร์ด เก่งเรื่องตัวเลขกับเงินเท่านั้น
ส่วนด้านฟุตบอลอยู่ในเลเวลอนุบาลเลยจริงๆ
เดวิด มอยส์ อดีตผู้จัดการทีมซึ่งเคยร่วมงานกันสั้นๆราว 10 เดือน ยังเคยตั้งคำถามว่า ตกลงนี่คือคนเก่งหรืออ่อนหัดกันแน่
ไม่มีใครปฏิเสธความรู้ความสามารถเรื่องการเงิน การตลาดหรือเศรษฐกิจของ วู้ดเวิร์ด หรอก
เขาควรได้ทำงานตามความเชี่ยวชาญอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด
Put the right man on the right job หรือ "ใช้คนให้ถูกกับงาน" น่าจะนิยาม เอ็ด วู้ดเวิร์ด ในตอนนี้ได้ชัดเจนสุดแล้ว
บทความย้อนหลังที่น่าสนใจ
[ #เตรียมตัวรับแรงกระแทก ] : เชลซีกลับมาครองแชมป์ใช้เงินซื้อผู้เล่นอีกครั้ง หลังจ่ายไปก้อนใหญ่ในฤดูร้อนนี้และอาจเหยียบ 300 ล้านปอนด์ มันอาจเป็นเรื่องที่ดีสำหรับสโมสรที่ต้องการประสบความสำเร็จ แต่อีกด้านคือโยนความกดดันให้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ผู้จัดการทีมเต็มๆ
สถานการณ์ต่างๆ มันจะไม่เหมือนซีซั่นก่อนแน่นอน บางที แลมพาร์ด อาจเข้าใจชีวิตที่ทรมานของการเป็นกุนซือมากยิ่งขึ้นไปอีก
[ #ทำเพื่อนเหมือนทำผม ] : หากว่าใช้เวลาเพียงแค่ 60 วินาทีเพื่อโทรบอก หลุยส์ ซัวเรซ ว่าจะไม่อยู่ในทีมฤดูกาลหน้าเป็นเรื่องจริง ถือว่าปฏิบัติต่อนักเตะได้แย่มากถ้าจะเปลี่ยนแปลงขุมกำลังพอจะเข้าใจได้ แต่เรื่องนี้ ลิโอเนล เมสซี่ เพื่อนซี้นอกจากไม่เข้าทำใจ ยังไม่พอใจอีกด้วยมันอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลทำให้เขาตัดสินใจขอย้ายจากทีมง่ายขึ้นอีก
[ #เป็นมากกว่านายกับลูกน้อง ] : หากถาม ลิโอเนล เมสซี่ ว่าใครคือกุนซือเจ๋งสุดที่เคยร่วมงานด้วย ต่อให้เขาไม่ต้องตอบจากปากเอง ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นใคร
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกทีมคนนี้มากยิ่งนัก ต่างฝ่ายต่างตอบแทนมิตรภาพอันงอกงามได้อย่างดีเยี่ยมเสมอมา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยหากจะได้ร่วมงานกันอีกครั้ง แม้จะในสีเสื้อใหม่ที่ไม่ใช่บาร์เซโลน่าก็ตาม
[ #ทุกอย่างมันจบลงแล้ว ] : หลังจาก ลิโอเนล เมสซี่ ตัดสินใจขอขึ้นบัญชีย้ายจากบาร์เซโลน่า ทุกอย่างพุ่งเป้ามาที่แข้งเบอร์หนึ่งของโลกทันทีมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงขั้น เมสซี่ ต้องการแยกทางกับสโมสรแห่งนี้ซึ่งอยู่มานานถึง 19 ปีเต็มและอีกคำถามคือถ้าย้ายแล้ว ป้ายต่อไปจะเป็นทีมไหน นี่คือสิ่งที่ต้องติดตามไม่ให้คลาดสายตาเลยทีเดียว
โฆษณา