31 ส.ค. 2020 เวลา 11:00 • ท่องเที่ยว
ปินตะยา..เมืองเล็กในมุมลับ
chapter 8
จากสนามบินมัณฑะเลย์ไปสนามบินเฮโฮ ด้วยเครื่องบินใช้เวลาแค่ 40 นาที ตอนแรกเรากะว่าจะไปด้วยรถไฟ แล้วก็มาต่อรถบัสที่ตาสี่ แต่รวมเวลาแล้วจะทำให้เสียเวลาเดินทางมากไปสักหน่อย แต่ด้วยวิธีใดก็ต้องมาที่นี่ให้ได้ เพราะว่าอยากเห็น....
คนพายเรือด้วยขา บ้านในทะเลสาบ สวนผักลอยน้ำ ทะเลสาบใสสะอาด กินปลาสดๆ จากอินเล ด้วยมีเวลาเพียงสองวัน
ทันทีที่เดินออกจากสนามบินเล็กๆ น่ารักชื่อว่า เฮโฮ คนเฮฮาอย่างพวกเราก็ถูกบรรดานายหน้านำเที่ยวบริเวณสนามบิน นำเสนอสถานที่เที่ยวอื่นๆ ก่อนนั่งรถไปเมืองยองชเว ชุมชนเก่าแก่ ซึ่งเป็นเสมือนท่าบนบก ก่อนเข้าสู่ทะเลสาบอินเล
ผ่านประตูเมือง อยู่บนเนินสูงมองเห็นเจดีย์ขาวตลอดแนว
“ถ้าพวกคุณไปถ้ำปินตะยาแล้วค่อยกลับไปยองชเว ใช้เวลาไปกลับ 3 ชั่วโมง ผมคิด 100 เหรียญ” คนพูดท่าทางเป็นเจ้าของคิวรถแท๊กซี่ เสนอราคาแบบโหดๆ มาให้เราพิจารณา
"บ้าไปแล้ว ตั้ง 100 เหรียญ!" เพื่อนร่วมทางร้องพร้อมกัน ' เออนั่นดิ' ฉันนึกในใจ บางทีก็นะ ขี้คร้านที่จะต้องต่อรองราคา
บวกกับการเสียเวลาไปมากแล้วกับความล่าช้าของเครื่องบิน ใจหนึ่งก็ไม่อยากออกนอกเส้นทางสักเท่าไหร่ แต่กลับบอกตัวเองในใจ ' เอาวะ! ไปก็ไป '
“สวยแน่นะ”
“รับรองได้เลย” แท๊กซี่ยืดอก รับประกัน
“สี่สิบเหรียญ ไปกันเลย” ฉันโมเม สรุปเอาเอง
แท๊กซี่ “…..... ”
พวกเรายกของขึ้นรถ
“ถ้าไม่สวยจริงละก้อ ไม่จ่ายเงินนะ!” เพื่อนรักขู่แกมหยอกแท๊กซี่วัยกลางคน ที่ต้องสมยอมราคาโดยไม่ได้พูดอะไร
แท๊กซี่สีขาวพาเราแล่นออกไปทางขวาของทางเข้าสนามบิน และไปทางขวาอีกครั้งเมื่อถึงทางแยกตัววายบริเวณชุมชนเชว่หย่าว
คนขับแนะนำตัวว่าชื่อโจอี้ เราสังเกตว่าคนบริการท่องเที่ยวในพม่าแต่ละเมืองที่พบมา ต่างมีฉายาให้ตัวเองเป็นชื่ออังกฤษกันเสียส่วนมาก
'โจอี้' บอกว่าทางซ้ายไปเมืองตองยี แล้วเขาก็เบี่ยงพวงมาลัยไปทางแยกขวา ฉันมองไปทางนั้นอย่างเสียดายที่งวดนี้คงอดไปแหงๆ เวลาไม่พอ
ถ้ำปินตะยา อยู่เบื้องหน้าไม่ไกล
ต้องยอมรับว่า เส้นทางมุ่งสู่ถ้ำปินตะยานั้นสวยสบายตาสบายใจ ชาวบ้านยังใช้เกวียนขนข้าวเปลือกกลับบ้านกันอยู่เลย ไม่ได้ใช้อีต๊อกอีแต๋นอย่างบ้านเรา ทุ่งสีเขียวแต้มด้วยดอกสีเหลือง เต็มสุดลูกหูลูกตา เพียงแต่ว่าช่วงเวลาที่เราเดินทางผ่าน ท้องฟ้าค่อนข้างครึ้ม ไม่มีใครอยากลงไปเก็บภาพสักคน ด้วยไม่รู้ว่าต้องไปไกลแค่ไหน เราไม่รู้อะไรสักนิดเกี่ยวกับเมืองนี้
เรามาถึงปากทางหมู่บ้าน ป้ายชื่อบอกว่า Pwe Hla อ่านออกเสียงไม่ถูกจริงๆ เราเสียเงินเข้าเมืองคนละ 3 เหรียญ แต่โจอี้ลงไปต่อรองเหลือครึ่งเดียว
รถพาเราตัดเข้าถนนเส้นเก่าที่มุ่งหน้าไปเนินเขามองเห็นเจดีย์มากมายอยู่ลิบๆ รถขึ้นสูงจนมองเห็นทะเลสาบน้อยๆ อยู่กลางเมือง
ทะเลสาบ Pone Taloke ตำนานบอกว่ามีนางฟ้าเจ็ดองค์ลงมาเล่นน้ำกันที่แห่งนี้ ก่อนที่จะเลยเวลากลับสวรรค์
มองจากวัดถ้ำชเวอูมินเห็นบันไดขึ้นได้หลายทาง
พวกเราลงจากรถแล้วเดินขึ้นอีกสักร้อยเมตร ด้านหน้าทางขึ้นถ้ำมีรูปปั้นคนง้างธนู พุ่งไปยังแมงมุมตัวยักษ์
ตอนแรกฉันคิดไปว่า เหมือนวัดบ้านเราที่ชอบสร้างเรื่องราวชาดก หรือเรื่องนรกสวรรค์ผ่านรูปปั้นที่ฉันแอบคิดอยู่เรื่อยว่าไม่เห็นสวยตรงไหนเลย พอเห็นอะไรทำนองนั้นที่นี่ ก็เดินผ่านเลยไป เสียเงินค่าเข้าคนละ 3 เหรียญ
อีกมุมที่เรามองลงมาเต็มไปด้วยเจดีย์มากมาย
ฉันก้มลงกราบพระพุทธรูปที่อยู่ในซุ้มประธาน เพ่งมองหาองค์ที่เก่าแก่ ท่ามกลางองค์พระมากมายจนเกินคะเนด้วยสายตา นี่เพียงด้านนอกเท่านั้น มีทางเดินเข้าไปข้างในด้วย ฉันเดินวนเวียนในช่องแคบๆ ที่คดเคี้ยวอ้อมไปมาราวกับอยู่ในเขาวงกต
สองข้างกายเต็มไปด้วยพระพุทธรูปขนาดใหญ่สีทองในปางต่างๆ ตรงฐานพระมีป้ายบอกว่าใครนำพระพุทธรูปมาถวายบ้าง
พระพุทธรูปหลายองค์มีอายุเก่าแก่หลายร้อยปี มีคนนับทั้งเก่าทั้งใหม่ร่วมๆ 9,000 องค์
มีทั้งผู้มากราบไหว้และเดินชมบริเวณซอกเล็กซอกน้อยภายในถ้ำ
อ่านป้ายจากแสงสลัวๆ บ้างก็มาจากอเมริกา ไต้หวัน ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง นิวซีแลนด์ เบลเยี่ยม สวีเดน ไอร์แลนด์ก็มี นอร์เวย์ก็มา ออสเตรเลียก็ด้วย เป็นคนพม่าก็เยอะ
นี่มันอะไรกันเนี่ย คนจากที่ไหนถึงได้รู้และศรัทธาในพุทธศาสนามากมายขนาดนี้ น่าภูมิใจกับผู้ที่เป็นกำลังในการเผยแพร่พุทธศาสนาได้ไกลไปทั่วโลกถึงเพียงนี้
ความศรัทธาข้ามพรมแดน
ฉันเดินไปมุมสุดทางเดินของชั้นนี้ พบพระพุทธรูปจากผู้มีศรัทธาในเมืองไทย เป็นคนใหญ่ๆ โตๆ ระดับนายพลก็มี มาจากมูลนิธิอะไรสักอย่างก็มี ถ้าจำไม่ผิด และชื่อที่แสนคุ๊น คุ้น
เดินดูไปพลางก็คิดไปว่า คนที่นำพระพุทธรูปมาไว้ที่นี่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะศรัทธา อีกส่วนหนึ่งเขานำมาแก้บนแก้เคล็ดอะไรหรือเปล่าน้า น่าคิดจริงๆ
พระพุทธรูปของคนไทยก็มี
พระพุทธรูปหลายองค์มีอายุเก่าแก่หลายร้อยปีก็มี มีคนนับทั้งเก่าทั้งใหม่ร่วมๆ 9,000 องค์ แต่ละองค์ไม่ใช่ขนาดจิ๋วๆ ขนาดเท่าคนนั่งส่วนใหญ่เสียด้วย
เพื่อนที่เดินกลับขึ้นมาจากบันไดเวียนชั้นล่างของถ้ำ บอกว่ายังมีอีกเยอะมาก ดูไม่หวาดไม่ไหว
หมู่ต้นไทรขนาดใหญ่
พวกเราชักหิวน้ำ หิวชากาแฟกันเต็มแก่ โจอี้พาเราเข้าตัวหมู่บ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลเลย ระหว่างทางผ่านต้นไทรขนาดใหญ่นับสิบๆ ต้นทอดกิ่งก้าน แผ่บานไปทั่วพรมหญ้าสีเขียว แลดูร่มรื่นคล้ายสวนสาธารณะโดยไม่ได้ตั้งใจ พวกเราพากันลงไปเดิน สัมผัสต้นหญ้า สูดอากาศบริสุทธิ์ใต้ร่มไทร แค่พักเดียว แต่รู้สึกคุ้มค่าจริงๆ นี่เป็นไฮไลท์เล็กๆ ที่แสนจะน่ารักก่อนเข้าชุมชน
ทะเลสาบ Pone Taloke มุมนี้มองผ่านๆ ก็คล้ายวัดที่แม่ฮ่องสอนเหมือนกัน
ที่นี่มีเกสเฮ้าส์ด้วยแต่เห็นมีแค่ที่เดียว โจอี้บอกว่ามีโรงแรมแต่เป็นของรัฐบาล ไม่มีนักท่องเที่ยวมาพักหรอก คงจะจริง เพราะเงียบเหงาเชียวเมื่อเห็นตอนนั่งรถผ่าน
ทางเข้าหมู่บ้านในปินตะยาที่ยังดูดิบๆ เดิมๆ
หมู่บ้านเล็กๆ ตั้งอยู่บนเนินน้อยๆ กลางชุมชนมีถนนเล็กๆตัดผ่าน ร้านค้าห้องแถวไม้ขายของใช้ประจำวันเป็นส่วนใหญ่ ที่นี่อากาศเย็นลงจนรู้สึกได้
ห้องแถวไม้เดิมๆ น่าจะมีอายุใกล้เคียงร้อยปี
ผู้หญิงพม่าแม้อยู่ห่างไกลก็ยังคงวัฒนธรรมการแต่งกายแบบเดิมไว้
ฉันเดินเข้าไปในตลาดที่วายไปแล้ว เหลือเพียงร้านขายส้มอยู่เจ้าเดียว ชิมรสชาติพอไปได้ มีมันทอดคล้ายๆบ้านเรา ลองซื้อมากินแก้หิว
ร้านชาประจำหมู่บ้าน ดูแล้วร้านนี้น่าจะเป็นที่นิยมดูจากป้ายโฆษณาเพียบ
ฉันดิ่งไปร้านชาใต้ต้นไม้ใหญ่ เพื่อนๆรออยู่แล้ว มองไปรอบๆ ร้านชาที่ไม่ได้ปรุงแต่งเอาใจใคร นอกจากลูกค้าคนพม่าด้วยกันเอง
สองผู้เฒ่ากับมาดนักดื่มชา
ร้านชากลายเป็นสภาชาย่อยๆ สำหรับปลดปล่อยเรื่องสัพเพเหระ
กลิ่นฉุนๆ ควันหนาทึบของยาสูบ เห็นอยู่คู่กับร้านชาในพม่าเสมอ
พวกเรานั่งมองลีลาชงชา ที่ยกกาขึ้นสูง สายน้ำชาไหลพุ่งตรงสู่ถ้วยชาพอดิบพอดี ควันฟืนผสมควันน้ำร้อนและยาสูบปนปะคละคลุ้งอย่างอบอุ่น
การชงชาสไตล์พม่า ต้องยกปากกาที่ต้มชาให้สูง
มุมนี้เฉพาะคนชงชาเท่านั้น
แก้วชาถูกวางเรียงพร้อมเสริฟ
เราจิบชาแล้วพยักหน้าให้กัน รู้สึกว่าได้ลิ้มรสชาดีกว่าที่ผ่านมา น่าจะเป็นเพราะใบชามาจากแหล่งเพาะปลูกบริเวณนี้นี่เอง ต้องมองหาซื้อชากลับบ้านไปชงกินเองบ้างแล้ว
บรรยากาศคึกคักทำให้นึกถึงสภากาแฟในบ้านเราที่ไม่ค่อยเห็นแล้ว
พวกเราต่างชอบใจเสน่ห์เล็กๆ น่ารักของหมู่บ้านแห่งนี้ ซึ่งตอนขามานี่คือที่ไหนก็ไม่รู้ ตอนนี้รู้แต่ว่าดีใจที่ได้มารู้จักนะ ปินตะยา
ต่อจากนี้ไปคือเส้นทางมุ่งหน้าสู่อินเล หมู่บ้านที่เกินคำว่าธรรมดาจริงๆ
เรื่องราวที่เกิดขึ้นและภาพถ่ายทุกภาพถูกบันทึกเมื่อเดือนตุลาคม 2549 ด้วยกล้องnikon D200 เป็นการเดินทางเที่ยวพม่าในขณะที่ประเทศนี้ยังไม่เปิดรับการท่องเที่ยวเต็มรูปแบบเหมือนในปัจจุบัน
เล่าเรื่องโดย สีละมัน
ถ่ายภาพโดย อนุพันธ์ สุภานุสร
#ถ่ายรูปเล่าเรื่อง #fototeller #keepshooting #เที่ยวพม่า #เที่ยวมัณฑเลย์ #เที่ยวเมียนมาร์ #เที่ยวอังวะ #เที่ยวพุกาม #เที่ยวภูเขาโปปา #เที่ยวตลาดยองน์อู #เที่ยวสะกาย #เที่ยวมินกุน #เที่ยวอินเล #ปินตะยา #วัดถ้ำชเวอูมิน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา