31 ส.ค. 2020 เวลา 09:05 • บันเทิง
ปริศนาพระเจ้าตากสิน 1-2
ตีพิมพ์ วารสาร พล.ร.๖ และ กกล.สุรนารี เมื่อปีที่ ๒๐ ฉบับที่ ๑ เดือนตุลาคม – ธันวาคม ๒๕๕๑
วันที่เขียนต้นฉบับนี้เป็นวันที่ ๒๖ ส.ค.๕๑ พันธมิตรฯ บุกยึดทำเนียบรัฐบาลครับ และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ประเทศไทยเราเกิดการแบ่งแยกแตกต่างทางความคิดและแตกความสามัคคีอย่างรุนแรง เมื่อกลับไปดูบันทึกในอดีต บ้านเมืองเราเองก็เคยมีการแบ่งแยกลักษณะเช่นเดียวกันนี้ ๒ - ๓ ครั้งครับ และทำให้เราเสียกรุง เสียเมืองทั้ง ๒ - ๓ ครั้ง ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะลงเอยอย่างไรบ้าง เสียกรุงคือเหตุการณ์ไหนบ้างจะสรุปให้ครับ
เสียกรุงครั้งที่ ๑ พ.ศ.๒๑๐๖ สงครามช้างเผือก สมัยรัชกาลพระมหาจักรพรรดิ์ ยุคนั้นเป็นยุครุ่งเรืองสุดของพม่ายุคของพระเจ้าบุเรงนอง ไม่มีอะไรมากแค่พม่าอยากทำสงครามกับกรุงศรีฯ จึงมาขอช้างเผือกจากไทย เมื่อไม่ได้จึงยกทัพมาตีไทย สงครามยาวนานเรื่อยมาจนถึงสงครามใหญ่ ๙ เดือน และแน่นอนเราพ่ายแพ้เด็ดขาดเสียกรุงศรีฯเมื่อ พ.ศ.๒๑๑๒ บุเรงนองก็แต่งตั้งพระมหินทร์ (พระมหินทราธิราช)เป็นกษัตริย์แทน และพม่าจับเอาพระนเรศวรไปเป็นประกันด้วย ภายหลังพระมหินทร์คิดแข็งเมืองเป็นกบฏบุเรงนองก็ยกทัพมาปราบอีกครั้ง บางบันทึกว่าเป็นการเสียกรุงครั้งที่ ๒ บางบันทึกไม่นับครับ ไทยจึงเป็นเมืองขึ้นของพม่าอีกเรื่อยมา จนมาถึงเมื่อพระนเรศวรมหาราชประกาศอิสรภาพ
เสียกรุงครั้งที่ ๒ โดย พ.ศ.๒๓๐๘ สมัยพระเจ้าเอกทัศน์ครั้งนี้พม่าต้องการทรัพย์สิน และผู้คนจากไทยเพื่อเตรียมการทำศึกกับจีน พม่าได้ล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่ ๒ ปี จึงตีแตกใน พ.ศ.๒๓๑๐ เมื่อชนะไทยจึงได้ปล้นเมืองจุดไฟเผาทุกอย่างราบคาบ จนไม่สามารถบูรณะเมืองกรุงศรีฯขึ้นได้อีก เป็นการเสียกรุงที่ไทยย่อยยับที่สุด ฝรั่งต่างชาติที่เข้ามาเที่ยววนอุทยานประวัติศาสตร์กรุงเก่าจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อเห็นสภาพแล้วต่างก็บอกว่าน่าสงสารมากและไม่น่าเชื่อว่าเมืองไทยจะเจริญรุ่งเรืองมาได้อย่างทุกวันนี้ครับ
และจากเหตุการณ์เสียกรุงครั้งนี้เอง ทำให้เกิดวีระบุรุษผู้เป็นหนึ่งในมหาราชของไทย นั่นคือ “สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช” เป็นบุคคลที่กอบกู้เอกราชสร้างความเป็นปึกแผ่น สร้างบ้านแปลงเมืองจนทำให้ไทยเจริญรุ่งเรืองมาจนถึงปัจจุบัน แต่ก็เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ทำให้ไทยเราแตกแยกทางความคิดบ้าง เหมือนกัน อีกทั้งเกิดข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับพระองค์อีกมากมาย และยังเป็นบุคคลปริศนามาจนถึงทุกวันนี้
ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงพระเจ้าตากสิน ผู้เขียนจึงได้ไปค้นบันทึกต่าง ๆ เกี่ยวกับพระองค์เพื่อมารับใช้ผู้อ่านจึงเกิดเป็นเรื่อง “ปริศนาพระเจ้าตากสิน” นี้ขึ้น ตั้งใจจะเขียนให้ทุกคนได้นำไปคิด นำไปค้นคว้า ถกเถียงกันต่อไป แต่ขออย่าแตกแยกทางความคิด และขอให้อ่านให้จบก่อนตัดสินใจอะไร ๆ น่ะครับ
โดยช่วงแรกจะเป็นพระราชประวัติตามพงศาวดาร ช่วงสุดท้ายเป็นเก็บบันทึกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์นอกพงศาวดาร และเหตุการณ์ปีสุดท้ายในรัชกาลพระเจ้าตากสิน ทั้งเหตุการณ์กบฏ บ้าจริงหรือ ตายอย่างไร ตายจริงหรือไม่ และไปอยู่ที่ไหน แล้วแต่พื้นที่หน้ากระดาษ และ ท่าน บก.จะอำนวย เพราะที่จริงมีข้อมูลและบันทึกเหตุการณ์น่าสนใจที่เกี่ยวข้องมากมาย สามารถเขียนได้เป็นหลายตอน แต่ก็กลัวผู้อ่านจะเบื่อครับ เริ่มกันเลย....
พระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตามบันทึกพงศาวดารไทย เพื่อเป็นข้อมูลเปรียบเทียบสำหรับการอ่านต่อไปน่ะครับ
เดิมชื่อสิน เป็นบุตรขุนพัฒน์ นายอากรบ่อนเบี้ย (นายไหฮอง แซ่แต้) และนางนกเอี้ยง เกิดเมื่อวันอาทิตย์ เดือน ๕ ขึ้น ๕ ค่ำ จุลศักราช ๑๐๖๙ ปีขาล ฉอศก ตรงกับวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๒๗๗ เวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น. ณ กรุงศรีอยุธยา ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระมหากษัตริย์องค์ที่ ๑๗ แห่งกรุงศรีอยุธยา
ต่อมาพระยาจักรี ตำแหน่งสมุหนายก รับเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ให้ชื่อว่า “สิน” อายุ ๒๑ ปี รับราชการเป็นมหาดเล็ก ตำแหน่งหลวงนายศักดิ์ ได้รับความชอบเป็นหลวงยกกระบัตรเมืองตาก แล้วเป็นเจ้าเมืองตาก ต่อมาได้ชื่อว่า พระยาตากสิน ตำแหน่งเลื่อนขึ้นเป็นเจ้าเมืองกำแพงเพชร และดำรงตำแหน่งเป็น พระยาวชิรปราการ ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ยังไม่ทันได้ดูแลเมืองกำแพงเพชร พม่าก็ยกมาตีกรุงศรีอยุธยา จึงจำเป็นต้องช่วยป้องกันกรุงศรีอยุธยา แต่ด้วยความอ่อนแอในการปกครอง ภายในกรุงศรีอยุธยา จึงเป็นเหตุให้พระยาวชิรปราการหนีออกจากกรุงศรี ฯ เพื่อหาโอกาสกลับไปต่อสู้กู้ชาติคืนมาอีกครั้ง ดีกว่าจะอยู่และตายอย่างอดสู
ครั้นถึงเวลาค่ำมืดวันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น ๔ ค่ำปีจอ พ.ศ. ๒๓๐๙ พระยาวชิรปราการรวบรวมไพร่พล ประมาณ ๕๐๐ คน พร้อมด้วยหลวงพิชัยอาสา (พระยาพิชัยดาบหัก) เป็นทหารกล้าตายตีฝ่าวงล้อมพม่ามุ่งทิศตะวันออก ฆ่าพม่าที่ติดตามตายเป็นจำนวนมาก นำไพร่พลต่อสู้พม่าระหว่างทาง เคลื่อนทัพผ่านเมืองต่าง ๆ ได้เกลี้ยกล่อมหัวหน้านายกอง บางพวกยอมอ่อนน้อมแต่โดยดี มุ่งตรงปราจีนบุรี, นครนายก, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, บางละมุง, ระยอง, แกลง, จันทบุรี แล้วมาตั้งชุมพลรวบรวมไพร่พล ศาสตราวุธ เสบียงอาหาร และเรือรบอยู่ที่จันทบุรี เมื่อตีเมืองระยองได้ จึงจำเป็นต้องตั้งตัวเป็นใหญ่ตามเลยแห่งเหตุการณ์ พวกบริวารจึงเรียกว่า “พระเจ้าตาก” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงนำทัพผ่านเมืองแกลง ขุนรามหมื่นซ่องก็นำพรรคพวกปล้น แย่งช้าง ม้า ของพระองค์ พระองค์จึงทรงพิจารณาว่าไม่มีทางอื่นเสียแล้ว มีแต่จะต้องใช้กำลังปราบปรามพวกที่เป็นศัตรูจึงจะตั้งตัวอยู่ได้ จึงยกทัพไปรบกับพวกขุนรามหมื่นซ่อง ที่เมืองแกลงก่อน ขุนรามหมื่นซ่องสู้ไม่ได้ก็พาสมัครพรรคพวกไปอยู่กับพระยาจันทบุรี พระองค์ทรงพิจารณาว่า ไม่มีจังหวัดใดที่เหมาะสำหรับรวบรวมไพร่พลกลับไปกู้ชาติที่กรุงศรีอยุธยาคืนมาได้ เท่ากับจังหวัดจันทบุรี จึงทรงสั่งเคลื่อนทัพเข้าสู่จันทบุรี ครั้งแรกได้มีการใช้ฑูตติดต่อกับเจ้าเมืองจันทบุรี คาดว่าจะตกลงกันได้โดยไม่ต้องใช้กำลัง แต่ภายหลังเจ้าเมืองจันทบุรี เปลี่ยนใจไม่ตกลงด้วย อันเป็นเวลาเดียวกับ เนเมียวสีหบดี ที่ค่ายโพธิ์สามต้น ส่งนายบุญเรือง มหาดเล็กผู้ครองเมืองบางละมุง ถือหนังสือมาให้เจ้าเมืองจันทบุรี เข้าไปอ่อนน้อมแก่พม่าเสียโดยดี พอดีได้ข่าวว่า นายทองอยู่ นกเล็ก ตั้งแข็งเมืองขึ้นที่ชลบุรีอีก พระองค์จึงทรงนำทัพกลับไปที่ชลบุรี ปราบปรามจนชลบุรีสงบแล้วตั้งนายทองอยู่ นกเล็ก เป็นพระยาอนุราฐบุรีตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี แล้วทรงนำทัพมุ่งตรงไปจันทบุรีต่อไป
พระองค์ทรงนำทัพถึงบางกะจะหัวแหวนห่างจากเมืองจันทบุรี ประมาณ ๒๐๐ เส้น (๘ กิโลเมตร) พระยาจันทบุรี ให้หลวงปลัดออกไปรับ และบอกว่าได้จัดที่พักไว้ให้แล้วที่ทำเนียบ ที่พักริมน้ำข้างฟากทิศใต้ตรงข้ามเมืองจันทบุรี พระองค์ทรงสั่งให้นายทัพตามหลวงปลัดไปแต่มีผู้บอกว่า พระองค์กำลังถูกกลลวงที่กำลังจะตามหลวงปลัดข้ามฟากไป พระองค์จึงทรงสั่งให้เลี้ยวขบวนทัพไปทางเหนือไม่ข้ามปากน้ำ ผ่านบ้านชะมูลตรงไปประตูท่าช้าง ห่างจากประตูท่าช้าง ๕ เส้น (๒๐๐ เมตร) พระยาจันทบุรี เห็นพระองค์ไม่ข้ามฟากตามประสงค์ที่ลวงไว้ กลับไปตั้งชุมพลที่ริมเมือง ก็ตกใจ รีบให้ไพร่พลขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทิน พระองค์ได้ทรงต่อว่าพระยาจันทบุรีว่าไม่บริสุทธิ์ใจที่จะช่วยกันคิดอ่านกู้กรุงศรีอยุธยาและยังไม่ออกไปต้อนรับ ทั้งที่ขณะนั้นก็มีศักดินาน้อยกว่า (เมื่อเทียบกับพระองค์ซึ่งเป็นพระยากำแพงเพชร) และไม่ซื่อคบกับขุนรามหมื่นซ่อง ทำร้ายพระองค์ถึง ๒ ครั้งกับเรียกระดมคนเข้าประจำรักษาหน้าที่เชิงเทิน แสดงถึงไม่เป็นมิตร ไม่เป็นพี่น้อง จึงทรงรับสั่งคนให้ไปบอกพระยาจันทบุรี เมื่อไม่เห็นแก่ไมตรีแล้วจงรักษาเมืองไว้ให้ดีเถิด เราจะเข้าตีให้จงได้
ขณะนั้นสมเด็จพระเจ้าตากสิน ตกอยู่ในที่คับขันเพราะเข้ามาตั้งอยู่ในชานเมือง ข้าศึกอยู่ในเมืองมีกำลังมาก เป็นแต่ข้าศึกครั่นคร้ามเกรงฝีมือ ไม่กล้าออกมาโจมตีซึ่งหน้า แต่หากพระองค์ทรงล่าถอยทัพเมื่อใด ก็อาจจะออกล้อมตีตัดได้หลายทาง เพราะข้าศึกชำนาญภูมิประเทศกว่า จะตั้งชุมพลทัพอย่างนั้นก็ไม่มีเสบียงอาหาร เหมือนหนึ่งคอยให้ข้าศึกเลือกเวลาทำเอาตามใจชอบ สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงเป็นนักรบมาแต่เยาว์วัยทรงรู้เชิงข้าศึกดี จึงต้องชิงทำข้าศึกก่อนจึงจะไม่เสียที จึงเรียกแม่ทัพนายกอง มาสั่งว่า เราจะตีเมืองจันทบุรีในค่ำวันนี้ เมื่อหุงข้าวเย็นกินเสร็จแล้ว ทั้งนายและไพร่ให้เทอาหารที่เหลือทิ้งและต่อยหม้อข้าวเสียให้หมด หมายไปเข้ากินข้าวด้วยกันในเมืองพรุ่งนี้ ถ้าตีเอาเมืองจันท์ไม่ได้ ในค่ำวันนี้ก็จะได้ตายเสียด้วยกันทั้งหมด นายทัพนายกองเคยเห็นอาญาสิทธิ์มาก่อน ไม่มีใครกล้าขัดขืน
ครั้นเพลาค่ำพระองค์ทรงให้ทหารลอบไปซุ่มไม่ให้ชาวเมืองรู้ตัว และให้คอยฟังสัญญาณเสียงปืนให้เข้าตีพร้อมกัน อย่าให้ส่งเสียงอื้ออึงเมื่อได้ฤกษ์เวลาตี ๓ สมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงสั่งให้ยิงปืนเป็นสัญญาณบอกพวกทหารเข้าตีพร้อมกัน ทรงช้างพังคีรีบัญชรเข้าพังประตูเมือง แม้ว่าพระยาจันทบุรีจะยิงปืนใหญ่ และปืนเล็กต่อสู้อย่างเต็มกำลังก็ตาม พวกทหารของสมเด็จพระเจ้าตากสินก็กรูกันเข้าเมือง ชาวเมืองจันทบุรีรู้ข่าวว่าข้าศึกเข้าเมืองได้แล้วต่างก็ทิ้งหน้าที่พากันแตกหนี สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงนำทัพตีเมืองจันทบุรีได้แล้ว ทรงเมตตาอารีไม่ถือโทษผู้ที่เป็นศัตรูมาก่อน ทรงตีเมืองจันทบุรีได้เมื่อวันอาทิตย์เดือน ๗ แรม ๓ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๒๙ ปีกุลนพศก ตรงกับวันที่ ๑๔ เดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๓๑๐ หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาแล้ว ๒ เดือน
ครั้นราชการเมืองจันทบุรีเรียบร้อยอย่างเดิมแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงทรงนำทัพไปยังเมืองตราด กรมการเมืองและราษฎรพากันเกรงกลัว อ่อนน้อมโดยดีทั่วเมือง พวกนายเรือและลูกเรือสำเภาจีนที่เมืองตราด ไม่ยอมอ่อนน้อมด้วยกลับเอาปืนใหญ่น้อยระดมยิงเรือพระที่นั่งสมเด็จพระเจ้าตากสิน รบกันครึ่งวันก็ตีเรือสำเภาจีนได้ ได้ทรัพย์สินเป็นกำลังต่อการทัพเป็นจำนวนมาก พระองค์ทรงจัดการเมืองตราดเรียบร้อยแล้ว ทรงนำทัพกลับเมืองจันทบุรี พระองค์ทรงรวบรวมไพร่พลได้ประมาณ ๕,๐๐๐ คน ต่อเรือรบได้ประมาณ ๑๐๐ ลำ รวบรวมศาสตราวุธได้จำนวนมาก ทรงวางแผนกลยุทธที่จันทบุรี เพื่อที่กอบกู้เอกราชของชาติไทยกลับคืนมา
ครั้นเดือน ๑๑ ปีกุน พุทธศักราช ๒๓๑๐ พระองค์ทรงนำทัพเรือ ออกจากจันทบุรี มุ่งหน้าสู่อ่าวไทย เพื่อกอบกู้เอกราชของชาติไทยทรงนำทัพเรือผ่านชลบุรีพักที่ชลบุรี และรวบรวมไพร่พลเป็นการเพิ่มเติมกำลัง แล้วทรงนำทัพเข้าปากน้ำสมุทรปราการเข้าถึงกรุงศรีอยุธยา เข้าตีค่ายโพธิ์สามต้น อันมีนายสุกี้ (ชาวมอญ) อาสาพม่า ต่อสู้จนนายสุกี้ตายในที่รบ ทหารพม่าล้มตายในที่รบเป็นจำนวนมาก
สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงนำทัพตีพม่า นำชัยชนะกลับคืนมาได้ กู้กรุงศรีอยุธยาเป็นเอกราชได้เมื่อ วันศุกร์ เดือน ๑๒ ขึ้น ๑๕ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๒๙ ปีกุน นพศก ตรงกับวันที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๑๐ ครั้นทรงกู้กรุงศรีอยุธยาเป็นเอกราชได้แล้วก็ทรงเสวยราชย์ปราบดาภิเศก ตรงกับวันพุธ เดือนอ้าย แรม ๔ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๓๐ สัมฤทธิ์ศก ตรงกับวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๓๑๐ เป็นสมเด็จพระบรมราชาที่ ๔ หรือพระเจ้ากรุงธนบุรี วันนั้นมีบันทึกว่าเกิดอัศจรรย์แผ่นดินไหวเป็นเวลานาน
ตลอดรัชกาลของ พระเจ้ากรุงธนบุรี ต้องทำศึกสงครามอีกหลายครั้ง จนปราบปรามชุมนุมที่ตั้งตนเป็นใหญ่ทั่วไปที่เหลืออีก ๕ ชุมนุม คือ ๑. ชุมนุมสุกี้ พระนายกอง เป็นชาวมอญอาสาสมัครพม่าคอยสอดส่องควบคุมและริบทรัพย์สินคนไทยที่แพ้พม่า และคนไทยที่จะกระด้างกระเดื่องแข็งข้อ ตั้งค่ายอยู่ที่โพธิ์สามต้น กรุงศรีอยุธยา ๒. ชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) มีอาณาเขตตั้งแต่พิษณุโลกจรดนครสวรรค์ ตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ที่เมืองพิษณุโลก ๓. ชุมนุมพระเจ้าพระฝาง(เป็นพระสงฆ์) ตั้งตัวเป็นใหญ่ที่เมืองอุตรดิตถ์ มีอาณาเขตติดต่อไปจนถึงเมืองแพร่ และหลวงพระบาง ๔. ชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) ตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช มีอาณาเขตตั้งแต่เมืองชุมพรถึงมลายู ๕. ชุมนุมกรมหมื่นเทพพิพิธ ตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ที่เมืองพิมายนครราชสีมา
พระองค์ทรงปราบปรามอริราชศัตรู และเสี้ยนหนามชาติไทยจนราบคาบ ทรงบากบั่นอุตสาหะมิได้เห็นแก่ความเหนื่อยยากแต่ประการใดทรงต่อสู้ความยากแค้นซึ่งคุกคามประชาราษฎร์ ต้องปราบปรามผู้ตั้งตัวเป็นใหญ่ที่ไม่คิดเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ต้องปราบปรามอริราชศัตรูอยู่เนือง ๆ พระชีวิตของพระองค์ เพื่อชาติและประเทศไทยโดยแท้จริง พระองค์ทรงปกครองไพร่ฟ้า ไพร่บ่าว พลเรือนและทหารด้วยทศพิธราชธรรมดียิ่ง สนิทชิดเชื้อเหมือนกับ “พ่อ” มากกว่าทรงเป็น พระมหากษัตริย์
สมเด็จพระเจ้าตากสิน เสด็จสวรรคตวันเสาร์ เดือน ๕ แรม ๙ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๔๔ จัตวาศก ตรงกับวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ เมื่อพระชนม์อายุ ๔๘ พรรษา และคณะรัฐมนตรีมีมติในวันที่ ๒๗ ต.ค.๒๕๒๔ ถวายพระราชสมัญญานามว่า “ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ” และกำหนดให้ ๒๘ ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ชาวไทยได้ดำรงความเป็นไทอิสรเสรี เป็นชาติไทยอยู่ได้ทุกวันนี้ ก็ด้วยพระบารมีของพระองค์
พระเจ้าตากสินครองราชย์ทั้งสิ้น ๑๕ ปี ๓ เดือน ๙ วัน สรุปเหตุการณ์สำคัญ ตลอดชีวิตจนถึงช่วงรัชกาลของพระองค์เป็นข้อมูลเพื่อการศึกษา น่ะครับ
พ.ศ. ๒๒๗๗ ทรงพระราชสมภพในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เจ้าพระยา-
จักรีขอไปเลี้ยงเมื่อมีพระชนมายุได้ ๔ วัน
พ.ศ. ๒๒๙๐ ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่อมีพระชนมายุได้ ๑๓ พรรษา
พ.ศ. ๒๒๙๘ ผนวชเมื่อมีพระชนมายุได้ ๒๐ ณ สำนักอาจารย์ ทองดี วัดโกษาวาส เมื่อทรงลาสิกขาแล้ว ได้รับราชการในตำแหน่งมหาดเล็กรายงานในกรมมหาดไทย
พ.ศ. ๒๓๐๑ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จสวรรคต สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรเสด็จเสวยราชสมบัติได้ ๓ เดือนเศษ ก็ถวายสิริราชสมบัติแก่สมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ (พระเจ้าเอกทัศน์) ซึ่งนายสินได้ปฏิบัติราชการมีความดีความชอบมาก จึงได้ให้เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองตาก ช่วยราชการอยู่กับพระยาตาก ครั้นเมื่อพระยาตากถึงแก่กรรมลงก็ให้เลื่อนหลวงยกกระบัตร (สิน) เป็นพระยาตาก ปกครองเมืองตากแทน
พ.ศ. ๒๓๐๘ ให้พระยาตาก เข้ามาช่วยราชการสงครามเพื่อป้องกันพม่าในกรุงศรีอยุธยา พระยาตาก (สิน) รบป้องกันพระนครอย่างเข้มแข็ง จึงให้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น พระยาวชิรปราการ (สิน) สำเร็จราชการเมืองกำแพงเพชรแทนเจ้าเมืองเดิมที่ถึงแก่กรรม
พ.ศ. ๒๓๐๙ เมื่อเข้ามาช่วยป้องกันพระนคร เห็นความอ่อนแอของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ จึงได้ฝ่าวงล้อมของพม่าออกจากกรุงศรีอยุธยา ไปซ่องสุมผู้คน และตระเตรียมกำลังทัพที่ เมืองจันทบุรี โดยตั้งตนเป็นเจ้าเพื่อให้มหาชนเลื่อมใส คนทั่วไปเรียกว่า เจ้าตาก
พ.ศ. ๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกอบกู้เอกราชคืนมาได้ในปีเดียวกันนี้เอง ทรงพิจารณาเห็นว่า กรุงศรีอยุธยาเสียหายมาก ยากแก่การบูรณะ จึงทรงสถาปนาเมืองธนบุรีให้เป็น กรุงธนบุรี ราชธานีใหม่
พ.ศ. ๒๓๑๑ ปราบชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก แต่ไม่สำเร็จ ปราบชุมนุมเจ้าพิมายสำเร็จเป็นชุมนุมแรก
พ.ศ. ๒๓๑๒ ปราบชุมนุมนครศรีธรรมราช ยกทัพไปตีกัมพูชาเป็นครั้งแรก แต่ไม่สำเร็จ
พ.ศ. ๒๓๑๓ รวบรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง โดยปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง รบชนะพม่าที่เมืองสวรรคโลก ตีเมืองเชียงใหม่ และ ล้านนา เป็นครั้งที่ ๑ จัดการปกครอง และ ศาสนาในหัวเมืองฝ่ายเหนือ
พ.ศ. ๒๓๑๔ ยกไปตีกัมพูชาครั้งที่ ๒ และ สามารถปราบกัมพูชาไว้ในอำนาจ
พ.ศ. ๒๓๑๕ พม่ายกทัพมาตีเมืองพิชัยครั้งที่ ๑ แต่ไม่สำเร็จ
พ.ศ. ๒๓๑๖ พม่ายกทัพมาตีเมืองพิชัยครั้งที่ ๒ แต่ไม่สำเร็จอีก เกิดวีรกรรมพระยาพิชัยดาบหัก
พ.ศ. ๒๓๑๗ รบชนะพม่าที่บางแก้ว ราชบุรี ไทยตีเมืองเชียงใหม่เป็นครั้งที่ ๒ ได้สำเร็จ
พ.ศ. ๒๓๑๘ พม่ายกทัพมาตีหัวเมืองฝ่ายเหนือ แต่ไม่สำเร็จ พม่าถูกจับเป็นเชลยหลายหมื่นคน
พ.ศ. ๒๓๑๙ พม่ายกทัพมาตีเมืองเชียงใหม่ แต่ไม่สำเร็จ
พ.ศ. ๒๓๒๑ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกับเจ้าพระยาสุรสีห์ ไปตีเวียงจันทน์และหลวงพระบาง ได้หัวเมืองลาวทั้งหมดกลับมาเป็นของไทย
พ.ศ. ๒๓๒๒ กองทัพไทยกลับจากเวียงจันทน์ พร้อมกับอัญเชิญพระแก้วมรกตกับพระบาง มาไว้ที่กรุงธนบุรี
พ.ศ. ๒๓๒๓ เกิดจลาจลในกัมพูชาโดยมีญวนเกี่ยวข้องด้วย เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เจ้าพระยาสุรสีห์ และเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ (เจ้าฟ้าจุ้ย) ยกทัพไปจัดการกัมพูชา
พ.ศ. ๒๓๒๔ แต่งทูตไปจีน และเกิดกบฏที่กรุงธนบุรีโดยพระยาสรรค์
พ.ศ. ๒๓๒๕ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ข่าวจลาจลและกบฏในพระนคร จึงยกทัพกลับจากการตีกัมพูชา ไต่สวนเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วสำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ และขึ้นครองราชย์ในวันนั้น
เมื่อค้นบันทึกพงศาวดารไทย กับพงศาวดารชาติอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจดหมายเหตุต่าง ๆ ทั้งในและนอกประเทศที่มีอยู่ ซึ่งผู้เขียนได้ค้นคว้านำมาเปรียบเทียบกันเพื่อรับใช้ ท่านผู้อ่านไม่ต้องใช้วิจารณญาณในการอ่าน แต่โปรดใช้วิจารณญาณในการคิดและการเชื่อครับ เริ่มเลยน่ะครับ......
ในพงศาวดารไทย บันทึกว่าบิดาของพระเจ้าตากสินชื่อไหยฮอง เป็นนายอากรบ่อนเบี้ย แต่บางบันทึกว่าไม่ใช่ชื่อนี้ และว่า ไหยฮอง เป็นตำบลหนึ่งในมณฑลแต้จิ๋ว ไม่ใช่ชื่อคน แต่เอกสารจีนบันทึกว่าบิดาท่านชื่อ เซิ่นหยง(ย้ง) เดินทางมาค้าขายในกรุงศรีอยุธยา ได้แต่งงานกับสาวไทยชื่อ ลั่วยั้ง หรือ นางนกเอี้ยง หรือบางบันทึกว่า นางนกยาง ครับ
แต่พงศาวดารไทยบางฉบับยังบันทึกไว้ว่า บิดาชื่อ ย้ง แซ่แต้ หรือขุนพัฒน์ แต่งงานกับสาวชาวกรุงศรีอยุธยา ชื่อ นกเอี้ยง ที่จีนแปลไปเป็น ลั่วยั้ง
บางบันทึกบอกว่า แม่พระเจ้าตากสิน เป็นสนมลับของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ชื่อ ไหฮง เป็นเชื้อชาวจีนเข้ามาค้าขายในสยาม และพอตั้งท้องเลยปกปิดไว้เพื่อเป็นกันป้องกันภัยอันตรายที่จะเกิดกับพระเจ้าตากสิน อันเนื่องมาจากการแย่งชิงอำนาจกัน จึงได้มาแต่งงานใหม่กับชาวจีน
เมื่อนางนกเอี้ยงคลอดบุตรชาย เกิดฟ้าผ่าลงมาที่เสาเรือนห้องคลอด พอทารกคลอดออกมาได้ ๓ วัน มีงูเหลือมใหญ่เข้ามาขดนอนรอบตัวอยู่ในกระด้งเป็นทักษิณาวรรต(เวียนขวา) ตามธรรมเนียมจีนอย่างนี้ไม่เป็นมงคล ต้องเอาเด็กไปฝังทั้งเป็น ขุนพัฒน์จึงให้ทาสเอาพระเจ้าตากสินไปฝังในตอนรุ่งสาง (เช้า)
พระยาจักรีเห็นทาสขุนพัฒน์หอบห่อผ้าผ่านมาจึงถามและเข้าไปดู เห็นเป็นเด็กทารกเพศชายผิวขาวสวย และวัดจากสะดือถึงเท้า วัดจากสะดือถึงหน้าผากตีนผม วัดจากกลางอกไปปลายนิ้วมือซ้าย และวัดจากกลางอกไปปลายนิ้วมือขวา ทั้ง ๔ ทิศเท่ากันพอดีเป๊ะ ตามธรรมเนียมไทยถือเป็นลักษณะจัตุรัสกาย คือกายเป็นรูป ๔ เหลี่ยมดุจพระพุทธเจ้า จึงขอนำทารกไปเลี้ยงเอง และตั้งชื่อว่า “สิน”
เมื่อเติบโตขึ้นก็ได้บวชเป็นสามเณร เพื่อนที่บวชด้วยกันและสนิทกันมากมี สามเณรสิน สามเณรด้วง(ร.๑) สามเณรบุญนาค(ต้นตระกูลบุญนาค-สมุหนายกรัชกาลพระเจ้าตาก – รัชกาล ร.๑ และเป็นคู่เขย ร.๑ ครับ) (เลยรวมเป็นสาม-เณร ฮา...) เมื่อลาสิกขาก็เข้ารับราชการในวังเหมือนกัน
พออายุครบก็มาบวชเป็นพระด้วยกันอีกทั้ง ๓ คน แต่คนละวัด วันหนึ่งพระภิกษุสิน กับพระภิกษุด้วงบิณฑบาตเจอกันจึงยืนคุยกันอยู่ มีซินแส(หมอดู)จีนแก่คนหนึ่งมายืนมองแล้วหัวเราะ เมื่อถามซินแสจีนแก่คนนั้นก็บอกว่าท่านทั้งสองมีราศีแปลกประหลาด จะได้เป็นกษัตริย์ทั้งสองคน พระภิกษุทั้งสองก็หัวเราะ เพราะอายุห่างกันแค่ ๒ ปี จะได้เป็นกษัตริย์ด้วยกันได้อย่างไร
พ.ศ.๒๓๐๙ บันทึกที่ไม่เป็นธรรมกับพระเจ้าเอกทัศน์ว่า ทรงหลงใหลกามารมณ์ นางสนม นางใน และหูเบาเชื่อฟังเหล่าอำมาตย์ พระยาวชิรปราการเห็นพม่ายกทัพเข้ามา จึงสั่งให้ยิงปืนใหญ่ขัดขวางพม่า เป็นเหตุให้พระสนมนางในตกใจ พระเจ้าเอกทัศน์ทรงหูเบาเชื่อเหล่าอำมาตย์ ให้ลงโทษพระเจ้าตากสิน แล้วมีรับสั่งว่าใครจะยิงปืนใหญ่ต้องมาขออนุญาตก่อน พระเจ้าตากสินเห็นท่าไม่ดีจึงรวบรวมสมัครพรรคพวกได้ประมาณ ๕๐๐ คน ตีฝ่าวงล้อมพม่าออกมา แล้วไปจัดเตรียมซ่องสุมกำลังที่ภาคตะวันออก ตามบทเพลงของคาราบาว (ฮา...)
บางบันทึกบอกว่า การตีฝ่าวงล้อมพม่าออกมาครั้งนั้น เป็นการหนีทัพ นั่นคือพระเจ้าตากหนีทัพมาตั้งตัวเป็นใหญ่แข่งกับพระเจ้าเอกทัศน์แม้จะเป็นแค่ช่วงก่อนกรุงศรีอยุธยาแตก แต่ก็เป็นการผิดกฎราชการสงคราม ทั้งที่กรุงศรีอยุธยายังไม่ถูกตีแตกพ่าย ถือว่าเป็นกบฏแผ่นดิน และหลังจากนั้นประมาณ ๓ เดือน กรุงศรีฯก็แตก
พ.ศ.๒๓๑๐ พระเจ้าตากทรงกอบกู้เอกราชคืนมาได้จากพม่า โดยใช้เวลาเพียง ๗ เดือน และใช้เวลาไม่ถึง ๒ ปี จากการเสียกรุง ก็สามารถกวาดล้างอิทธิพลของพม่าหมดไปจากแผ่นดินไทย พม่ายกทัพออกไป สภาพบ้านเมืองของไทยวอดวาย ถูกทำลายย่อยยับจนยากแก่การบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ รวมทั้งกวาดสมบัติทุกอย่างไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้พระพุทธรูปที่เป็นทองคำก็ให้เผาเพื่อให้ทองละลายแล้วขนไป ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของผู้ชนะ การเผากรุงศรีครั้งนั้นก็เพื่อทำลายรากฐานให้หมดเพื่อมิให้เป็นภัยแก่พม่าอีกต่อไป
พระเจ้าตากสินทรงปรารภว่า “กลายสภาพจากเมืองทองเป็นเมืองถ่าน” เช้าวันหนึ่งท่านจึงเล่าความฝันว่าถูกพระวิญญาณกษัตริย์อยุธยาขับไล่ จึงทรงตรัสกับเหล่าอำมาตย์ว่า “เมื่อเจ้าของเดิมท่านยังหวงแหน เราก็ไปสร้างกรุงธนบุรีอยู่กันเถิด” คงเป็นสาเหตุว่าทำไมพระองค์จึงย้ายเมืองหลวงจากกรุงศรีฯมาอยู่ที่กรุงธนบุรี บางทีอาจเป็นกุศโลบายของพระองค์ เพื่อไม่ให้ผู้ใดคัดค้าน หรืออาจทรงเห็นว่าเมืองธนบุรี แม้จะไม่ใช่ที่เหมาะสม แต่ก็เป็นที่ ๆ เหมาะที่สุดสำหรับกองทหารขนาดเล็กของพระองค์
กรุงธนบุรี เป็นเมืองเก่าเดิมเรียกว่า “บางกอก” ซึ่งบางบันทึกบอกว่ามาจากภาษามลายูว่า Benkok แปลว่าคดโค้ง เพราะแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงนี้คดโค้งมาก บ้างก็บันทึกว่ามาจาก “มะกอก” เพราะแถวนี้เป็นป่าต้นมะกอก แต่ที่แน่ ๆ มีบันทึกว่า โปรตุเกส เป็นชาติแรกที่เรียกและใช้คำว่า Bangkok ซึ่งหมายถึงทั้ง ๒ ฝั่งแม่น้ำ
เมื่อบันทึกเรื่องพระเจ้าตากสิน มีทหารเอกคนหนึ่งที่เราจะไม่กล่าวถึงไม่ได้ นั่นคือทหารเอกคู่พระองค์ พระยาพิชัยกำแหง หรือหลวงพิชัยอาสา ท่านเป็นคนเมืองพิชัย บวชเรียนตั้งแต่เด็ก ชอบหัดมวย จนมีโอกาสได้เปรียบมวยในงานเมืองหลวง ไม่ขอชกกับนักมวยแต่ขอชกกับครูมวยของค่ายต่าง ๆ แทน จนสามารถเอาชนะครูมวยชื่อดังต่อหน้าพระเจ้าตาก แล้วก็ขอชกกับครูมวยประจำตัวของพระเจ้าตาก และสามารถชนะได้ จึงถวายตัวต่อพระเจ้าตากและเป็นทหารเอกตลอดมา จนเกิดวีรกรรมได้รับฉายา “พระยาพิชัยดาบหัก” และเป็นเจ้าเมืองพิชัยในชื่อ พระยาสีหราชเดโชชัย
พ.ศ.๒๓๒๓ – พ.ศ.๒๓๒๕ ทรงแต่งทัพไปปราบกบฏเขมร แม่ทัพคือ เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ โอรสพระเจ้าตากสิน (องค์รัชทายาท) แม่ทัพรองมี เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ร.๑), เจ้าพระยาสุรสีห์ (น้อง ร.๑) และเกิดกบฏในกรุงธนบุรี ทำให้เกิดบันทึกต่าง ๆ มากมายที่น่าสนใจน่ารู้ และเกิดคำถามที่ทำให้เกิดการแตกแยกทางความคิดมากมายตามมา เช่น
“เพราะความขัดแย้งในกองทัพระหว่างกลุ่มขุนนางเก่า กับ ทหารเสือพระเจ้าตากสินที่เป็นทหารเชื้อสายจีนนำมาสู่การโค่นล้มอำนาจ ในเวลาต่อมาจากกลุ่มขุนนางเก่าที่ตกทอดมาจากราชวงศ์บ้านพลูหลวง”
พงศาวดารญวนที่เขาเป็นกลาง เขาเผยเลยว่า ร.๑ สมคบกับแม่ทัพญวนล้อมทัพหลวงของลูกพระเจ้าตากสินไว้ จากนั้น ร.๑ กับน้องชายลอบเข้ากรุงธนบุรีมารัฐประหาร
หลังจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันท์ ๙ ครั้ง เนื่องจากเสียสติ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก(ร.๑) เล็งเห็นว่าพระยาพิชัย(ดาบหัก) มีฝีมือและซื่อสัตย์ จึงชวนพระยาพิชัยเข้ารับราชการในแผ่นดินใหม่ แต่พระยาพิชัยไม่ขอรับตำแหน่งด้วยท่านเป็นคนจงรักภักดี และซื่อสัตย์ต่อองค์พระเจ้าตากสินฯ ไม่ยอมรับอำนาจใหม่ และถือคติที่ว่า "ข้าสองเจ้าบ่าวสองนายมิดี" จึงยอมถอดอาคมสละชีวิตขอให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกสำเร็จโทษตน เมื่ออายุ ๔๑ ปี เป็นการถวายชีวิตตายตามสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ แล้วสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี
การปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ จำเป็นจะต้องประหารชีวิตซึ่งเป็นธรรมดา เมื่อตรวจสอบข้อมูลกับตำแหน่งที่ถูกเปลี่ยนใหม่ให้คนของสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเข้าแทนที่ การยึดอำนาจในครั้งนี้นั้นมีขุนนางผู้จงรักภักดีต่อพระเจ้าตาก ถูกสังหารราว ๓๐ – ๑๕๐ คน โดยถูกฝังที่วัดบางยี่เรือใต้ (วัดอินทาราม)
ประวัติศาสตร์บันทึกว่า ปราบดาภิเษก ซึ่งหมายความว่า ฆ่าองค์เก่าแล้วก็ขึ้นครองราชย์ แต่ถ้าใช้ราชาภิเษก นั้นหมายความว่า องค์เก่าตาย หรือสละราชสมบัติ แต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่สืบสันติวงศ์
บางบันทึกว่าคณะกบฏเกรงประชาชนจะต่อต้าน จึงให้พระองค์ทรงออกผนวช(บวช)เป็นเวลา ๓ เดือน เพื่อรอ ร.๑ กลับมาชำระความ แต่บวชได้ ๒๘ วันก็ถูกลอบปลงพระชนม์ในขณะที่บวช เพราะบันทึกโหรฉบับนี้ใช้คำว่า ดับขันธ์ ไม่ใช่สิ้นพระชนม์ หรือสวรรคต
หรือบางทีคณะราษฎร์ที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ เป็นปฏิปักษ์กับราชวงศ์ ถึงกับบีบคั้นให้ ร.๗ ต้องสละราชสมบัติ ย่อมทำข้อเขียนเรื่องพระเจ้าตากสินที่เป็นปฏิปักษ์กับราชวงศ์
มีหลักฐานพิสูจน์มากมายว่าพระองค์ไม่ตาย แต่ไปกู้เงินฮ่องเต้จีนมากู้ชาติ เมื่อเจ้าหนี้ทวง ถ้าใช้คืนเงินก็จะหมดคลังหลวง ไม่เหลือเงินพอที่จะพัฒนาประเทศต่อไป จึงวางแผนกับเพื่อนสนิท ร.๑ แกล้งทำเป็นบ้าเสียสติ แล้วให้โดนทุบด้วยท่อนจันทน์ แต่ให้ทหารคนสนิทที่หน้าตาคล้ายพระองค์ตายแทน แล้วจึงเสด็จลงเรือสำเภาหลบไปบวชที่วัดถ้ำเขาขุนพนม จังหวัดนครศรีธรรมราช เสด็จสวรรคตที่นั่นในปี พ.ศ. ๒๓๖๘ (ลูกหนี้ตาย หนี้ก็เป็นโมฆะ น่ะฮ่องเต้)
และผู้อ่านรู้มั้ยครับว่าทำไม พระบรมราชาอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชม้าทรงจึงหางชี้
เมื่อเกิดข้อสงสัยมากมายเช่นนั้น จะมีอะไรเป็นหลักฐาน เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้นจะเป็นจริงแค่ไหน มีบันทึกต่างๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศบันทึกไว้ว่าอย่างไร ฉบับหน้ามาว่ากันต่อครับ หรือไม่อยากรอก็ติดต่อผู้เขียนครับ อย่าพลาด...สนุกมาก....
“ประวัติศาสตร์ มักจะถูกเขียน โดยผู้ชนะ ครับ”
>>>ขอขอบพระคุณ ทุกบทความ ทุกถ้อยคำ ทุกภาพ สำหรับผู้บันทึกไว้ก่อนหน้านี้ทุกท่านทุกสำนักพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นเอกสารคำพูดบทสนทนา ที่ผู้เขียนได้มีโอกาสได้ฟังได้อ่านได้สัมผัสได้จดจำจนเกิดบันทึกนี้ครับ เยอะมากจนไม่สามารถพิมพ์ให้เครดิตไม่พอไม่ไหว ขอบพระคุณครับ<<<
โฆษณา