พ.ศ. ๒๒๗๗ ทรงพระราชสมภพในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เจ้าพระยา-
จักรีขอไปเลี้ยงเมื่อมีพระชนมายุได้ ๔ วัน
พ.ศ. ๒๒๙๐ ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่อมีพระชนมายุได้ ๑๓ พรรษา
พ.ศ. ๒๒๙๘ ผนวชเมื่อมีพระชนมายุได้ ๒๐ ณ สำนักอาจารย์ ทองดี วัดโกษาวาส เมื่อทรงลาสิกขาแล้ว ได้รับราชการในตำแหน่งมหาดเล็กรายงานในกรมมหาดไทย
พ.ศ. ๒๓๐๑ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จสวรรคต สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรเสด็จเสวยราชสมบัติได้ ๓ เดือนเศษ ก็ถวายสิริราชสมบัติแก่สมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ (พระเจ้าเอกทัศน์) ซึ่งนายสินได้ปฏิบัติราชการมีความดีความชอบมาก จึงได้ให้เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองตาก ช่วยราชการอยู่กับพระยาตาก ครั้นเมื่อพระยาตากถึงแก่กรรมลงก็ให้เลื่อนหลวงยกกระบัตร (สิน) เป็นพระยาตาก ปกครองเมืองตากแทน
พ.ศ. ๒๓๐๘ ให้พระยาตาก เข้ามาช่วยราชการสงครามเพื่อป้องกันพม่าในกรุงศรีอยุธยา พระยาตาก (สิน) รบป้องกันพระนครอย่างเข้มแข็ง จึงให้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น พระยาวชิรปราการ (สิน) สำเร็จราชการเมืองกำแพงเพชรแทนเจ้าเมืองเดิมที่ถึงแก่กรรม
พ.ศ. ๒๓๐๙ เมื่อเข้ามาช่วยป้องกันพระนคร เห็นความอ่อนแอของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ จึงได้ฝ่าวงล้อมของพม่าออกจากกรุงศรีอยุธยา ไปซ่องสุมผู้คน และตระเตรียมกำลังทัพที่ เมืองจันทบุรี โดยตั้งตนเป็นเจ้าเพื่อให้มหาชนเลื่อมใส คนทั่วไปเรียกว่า เจ้าตาก
พ.ศ. ๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกอบกู้เอกราชคืนมาได้ในปีเดียวกันนี้เอง ทรงพิจารณาเห็นว่า กรุงศรีอยุธยาเสียหายมาก ยากแก่การบูรณะ จึงทรงสถาปนาเมืองธนบุรีให้เป็น กรุงธนบุรี ราชธานีใหม่
พ.ศ. ๒๓๑๑ ปราบชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก แต่ไม่สำเร็จ ปราบชุมนุมเจ้าพิมายสำเร็จเป็นชุมนุมแรก
พ.ศ. ๒๓๑๒ ปราบชุมนุมนครศรีธรรมราช ยกทัพไปตีกัมพูชาเป็นครั้งแรก แต่ไม่สำเร็จ
พ.ศ. ๒๓๑๓ รวบรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง โดยปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง รบชนะพม่าที่เมืองสวรรคโลก ตีเมืองเชียงใหม่ และ ล้านนา เป็นครั้งที่ ๑ จัดการปกครอง และ ศาสนาในหัวเมืองฝ่ายเหนือ
พ.ศ. ๒๓๑๔ ยกไปตีกัมพูชาครั้งที่ ๒ และ สามารถปราบกัมพูชาไว้ในอำนาจ
พ.ศ. ๒๓๑๕ พม่ายกทัพมาตีเมืองพิชัยครั้งที่ ๑ แต่ไม่สำเร็จ
พ.ศ. ๒๓๑๖ พม่ายกทัพมาตีเมืองพิชัยครั้งที่ ๒ แต่ไม่สำเร็จอีก เกิดวีรกรรมพระยาพิชัยดาบหัก
พ.ศ. ๒๓๑๗ รบชนะพม่าที่บางแก้ว ราชบุรี ไทยตีเมืองเชียงใหม่เป็นครั้งที่ ๒ ได้สำเร็จ
พ.ศ. ๒๓๑๘ พม่ายกทัพมาตีหัวเมืองฝ่ายเหนือ แต่ไม่สำเร็จ พม่าถูกจับเป็นเชลยหลายหมื่นคน
พ.ศ. ๒๓๑๙ พม่ายกทัพมาตีเมืองเชียงใหม่ แต่ไม่สำเร็จ
พ.ศ. ๒๓๒๑ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกับเจ้าพระยาสุรสีห์ ไปตีเวียงจันทน์และหลวงพระบาง ได้หัวเมืองลาวทั้งหมดกลับมาเป็นของไทย
พ.ศ. ๒๓๒๒ กองทัพไทยกลับจากเวียงจันทน์ พร้อมกับอัญเชิญพระแก้วมรกตกับพระบาง มาไว้ที่กรุงธนบุรี
พ.ศ. ๒๓๒๓ เกิดจลาจลในกัมพูชาโดยมีญวนเกี่ยวข้องด้วย เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เจ้าพระยาสุรสีห์ และเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ (เจ้าฟ้าจุ้ย) ยกทัพไปจัดการกัมพูชา
พ.ศ. ๒๓๒๔ แต่งทูตไปจีน และเกิดกบฏที่กรุงธนบุรีโดยพระยาสรรค์
พ.ศ. ๒๓๒๕ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ข่าวจลาจลและกบฏในพระนคร จึงยกทัพกลับจากการตีกัมพูชา ไต่สวนเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วสำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ และขึ้นครองราชย์ในวันนั้น
เมื่อค้นบันทึกพงศาวดารไทย กับพงศาวดารชาติอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงจดหมายเหตุต่าง ๆ ทั้งในและนอกประเทศที่มีอยู่ ซึ่งผู้เขียนได้ค้นคว้านำมาเปรียบเทียบกันเพื่อรับใช้ ท่านผู้อ่านไม่ต้องใช้วิจารณญาณในการอ่าน แต่โปรดใช้วิจารณญาณในการคิดและการเชื่อครับ เริ่มเลยน่ะครับ......
ในพงศาวดารไทย บันทึกว่าบิดาของพระเจ้าตากสินชื่อไหยฮอง เป็นนายอากรบ่อนเบี้ย แต่บางบันทึกว่าไม่ใช่ชื่อนี้ และว่า ไหยฮอง เป็นตำบลหนึ่งในมณฑลแต้จิ๋ว ไม่ใช่ชื่อคน แต่เอกสารจีนบันทึกว่าบิดาท่านชื่อ เซิ่นหยง(ย้ง) เดินทางมาค้าขายในกรุงศรีอยุธยา ได้แต่งงานกับสาวไทยชื่อ ลั่วยั้ง หรือ นางนกเอี้ยง หรือบางบันทึกว่า นางนกยาง ครับ
แต่พงศาวดารไทยบางฉบับยังบันทึกไว้ว่า บิดาชื่อ ย้ง แซ่แต้ หรือขุนพัฒน์ แต่งงานกับสาวชาวกรุงศรีอยุธยา ชื่อ นกเอี้ยง ที่จีนแปลไปเป็น ลั่วยั้ง
บางบันทึกบอกว่า แม่พระเจ้าตากสิน เป็นสนมลับของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ชื่อ ไหฮง เป็นเชื้อชาวจีนเข้ามาค้าขายในสยาม และพอตั้งท้องเลยปกปิดไว้เพื่อเป็นกันป้องกันภัยอันตรายที่จะเกิดกับพระเจ้าตากสิน อันเนื่องมาจากการแย่งชิงอำนาจกัน จึงได้มาแต่งงานใหม่กับชาวจีน
เมื่อนางนกเอี้ยงคลอดบุตรชาย เกิดฟ้าผ่าลงมาที่เสาเรือนห้องคลอด พอทารกคลอดออกมาได้ ๓ วัน มีงูเหลือมใหญ่เข้ามาขดนอนรอบตัวอยู่ในกระด้งเป็นทักษิณาวรรต(เวียนขวา) ตามธรรมเนียมจีนอย่างนี้ไม่เป็นมงคล ต้องเอาเด็กไปฝังทั้งเป็น ขุนพัฒน์จึงให้ทาสเอาพระเจ้าตากสินไปฝังในตอนรุ่งสาง (เช้า)
พระยาจักรีเห็นทาสขุนพัฒน์หอบห่อผ้าผ่านมาจึงถามและเข้าไปดู เห็นเป็นเด็กทารกเพศชายผิวขาวสวย และวัดจากสะดือถึงเท้า วัดจากสะดือถึงหน้าผากตีนผม วัดจากกลางอกไปปลายนิ้วมือซ้าย และวัดจากกลางอกไปปลายนิ้วมือขวา ทั้ง ๔ ทิศเท่ากันพอดีเป๊ะ ตามธรรมเนียมไทยถือเป็นลักษณะจัตุรัสกาย คือกายเป็นรูป ๔ เหลี่ยมดุจพระพุทธเจ้า จึงขอนำทารกไปเลี้ยงเอง และตั้งชื่อว่า “สิน”
เมื่อเติบโตขึ้นก็ได้บวชเป็นสามเณร เพื่อนที่บวชด้วยกันและสนิทกันมากมี สามเณรสิน สามเณรด้วง(ร.๑) สามเณรบุญนาค(ต้นตระกูลบุญนาค-สมุหนายกรัชกาลพระเจ้าตาก – รัชกาล ร.๑ และเป็นคู่เขย ร.๑ ครับ) (เลยรวมเป็นสาม-เณร ฮา...) เมื่อลาสิกขาก็เข้ารับราชการในวังเหมือนกัน
พออายุครบก็มาบวชเป็นพระด้วยกันอีกทั้ง ๓ คน แต่คนละวัด วันหนึ่งพระภิกษุสิน กับพระภิกษุด้วงบิณฑบาตเจอกันจึงยืนคุยกันอยู่ มีซินแส(หมอดู)จีนแก่คนหนึ่งมายืนมองแล้วหัวเราะ เมื่อถามซินแสจีนแก่คนนั้นก็บอกว่าท่านทั้งสองมีราศีแปลกประหลาด จะได้เป็นกษัตริย์ทั้งสองคน พระภิกษุทั้งสองก็หัวเราะ เพราะอายุห่างกันแค่ ๒ ปี จะได้เป็นกษัตริย์ด้วยกันได้อย่างไร
พ.ศ.๒๓๐๙ บันทึกที่ไม่เป็นธรรมกับพระเจ้าเอกทัศน์ว่า ทรงหลงใหลกามารมณ์ นางสนม นางใน และหูเบาเชื่อฟังเหล่าอำมาตย์ พระยาวชิรปราการเห็นพม่ายกทัพเข้ามา จึงสั่งให้ยิงปืนใหญ่ขัดขวางพม่า เป็นเหตุให้พระสนมนางในตกใจ พระเจ้าเอกทัศน์ทรงหูเบาเชื่อเหล่าอำมาตย์ ให้ลงโทษพระเจ้าตากสิน แล้วมีรับสั่งว่าใครจะยิงปืนใหญ่ต้องมาขออนุญาตก่อน พระเจ้าตากสินเห็นท่าไม่ดีจึงรวบรวมสมัครพรรคพวกได้ประมาณ ๕๐๐ คน ตีฝ่าวงล้อมพม่าออกมา แล้วไปจัดเตรียมซ่องสุมกำลังที่ภาคตะวันออก ตามบทเพลงของคาราบาว (ฮา...)