31 ส.ค. 2020 เวลา 10:21 • กีฬา
วิกฤติบาร์เซโลนา ตอนที่ 2 “ลา มาเซีย” ตักศิลาฟุตบอลที่กำลังล่มสลาย?
โดย Ploy Honisz
ก่อนที่โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จะก้าวขึ้นมาเป็นจุดหมายปลายทางของเด็กหนุ่มที่ตามหาความฝันในการเป็นนักฟุตบอล “ลา มาเซีย” อะคาเดมีของสโมสรบาร์เซโลนาเคยอยู่ตรงนั้นมาก่อน การวางรากฐานของ โยฮัน ครัฟฟ์ ทำให้โปรแกรมเยาวชนของบาร์ซาได้รับการยอมรับทั่วโลก แล้วทำไมวันนี้ ลา มาเซีย ถึงไม่สามารถผลิตผู้เล่นขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของสโมสรได้อย่างต่อเนื่อง
ชื่อ La Masia นั้นย่อมาจาก La Masia de Can Planes เดิมเป็นบ้านไร่ในแคว้นคาตาลัน สร้างขึ้นในปี 1702 ต่อมาในปี 1979 บาร์เซโลนาเปลี่ยนบ้านหลังดังกล่าวให้เป็นที่อยู่ของนักฟุตบอลเยาวชนในสังกัดที่ย้ายมาจากถิ่นอื่นทั่วโลก นับตั้งแต่ 1979 ถึง 2009 มีเด็กชายบ้าฟุตบอลมาตามหาฝันที่ ลา มาเซีย กว่า 440 คน และมี 40 คนที่ก้าวขึ้นติดทีมชุดใหญ่ของสโมสร ทุกคนถูกฝึกให้เล่นตามปรัชญาของ โยฮัน ครัฟฟ์ ทั้งการผ่านบอลและเคลื่อนที่ ทำให้เมื่อขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ พวกเขาจะไม่มีปัญหาในการปรับตัว นี่คือสายป่านเส้นยาวที่ส่งต่อกันมารุ่นต่อรุ่นในบอร์ดบริหารของยานแม่ ลา มาเซีย จึงเป็นเหมือนหัวใจของบาร์เซโลนา
หลังจากที่ผลผลิตของ ลา มาเซีย ก้าวมาติดทีมชุดใหญ่มากขึ้น แนวทางการเล่นฟุตบอลที่ถูกปลูกฝังก็แสดงให้เห็นเด่นชัด การต่อบอลที่สวยงามเริ่มผลิดอกออกผลเป็นถ้วยรางวัล ความสำเร็จที่จับต้องได้ของระบบเยาวชนบาร์เซโลนาก็คือ ในปี 2010 ผู้เข้าชิงบัลลงดอร์ 3 คนสุดท้ายอย่าง แอนเดรียส อิเนียสตา, ชาบี้ เอร์นานเดซ และ ลิโอเนล เมสซี ล้วนผ่าน ลา มาเซีย มาทั้งนั้น
ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2012 ในเกมที่บาร์เซโลนายกพลไปเยือนเลวันเต ผู้เล่นตัวจริงทั้ง 11 คนในสนามวันนั้นผ่านหลักสูตร ลา มาเซีย กันทุกคน ทั้งวัลเดส, มอนโตญ่า, ปิเก, ปูโยล, อัลบา, บุสเกตส์, ฟาเบรกาส, ชาบี, เปโดร, อิเนียสตา และเมสซี ไม่เท่านั้น ติโต วิลาโนวา ผู้จัดการทีมชุดนั้นก็เป็นอดีตเยาวชนของ ลา มาเซีย ด้วย นั่นคือจุดสูงสุดของระบบเยาวชนบาร์เซโลนาที่หลายทีมอิจฉา เป็นต้นแบบและโมเดลธุรกิจชั้นดีให้สโมสรอื่นๆ ในยุโรปทำตาม เพราะทีมไม่ต้องเสียเงินซื้อผู้เล่น แต่ปั้นเด็กขึ้นมาใช้งานเอง
จากปรัชญาตั้งต้นของ โยฮัน ครัฟฟ์ ส่งผ่านมายัง หลุยส์ ฟาน กัล, เปป กวาร์ดิโอลา รวมทั้งประธานสโมสรคนแล้วคนเล่า พวกเขาล้วนให้ความสำคัญกับระบบเยาวชนของสโมสร เลือกเฟ้นเด็กๆ ฝีเท้าดีทั่วทั้งคาตาลัน, สเปน และที่อื่นๆ ทั่วโลก ทว่าหลังการจากไปของกวาร์ดิโอลา ดูเหมือนว่าบาร์เซโลนาจะสูญเสียความหมายที่แท้จริงของ ลา มาเซีย โดยการเปลี่ยนประธานสโมสร หรือการลงทุนก้อนใหญ่เพื่อปรับปรุงคัมป์นู ล้วนมีส่วนทำให้บาร์เซโลนาสูญเสียต้นแบบที่วางไว้ คนที่เข้ามามีอำนาจมองไม่เห็นวิสัยทัศน์ระยะยาวของผู้ที่มาก่อน
ระบบเยาวชนของบาร์เซโลนาถูกมองข้าม ผิดกับสโมสรอื่นๆ ในยุโรปที่หันมาให้ความสำคัญเรื่องนี้ หลายอย่างในโลกฟุตบอลเปลี่ยนไป แต่วิธีการจัดการของ ลา มาเซีย ไม่ได้พัฒนาตาม เช่น การไม่จ่ายค่าเหนื่อยให้บรรดาเยาวชนของทีม ขณะที่ทีมอื่นในยุโรปพร้อมจ่าย
ปัญหาอีกอย่างก็คือ พวกเขาไม่ยอมจ่ายเงินในตลาดซื้อขายนักเตะรุ่นเยาว์ เราเห็นข่าวทีมอื่นๆ ในยุโรปต่างรุมแย่งตัวนักเตะอายุ 15-16 ปี โดยจ่ายค่าตัวในระดับ 10 ล้านปอนด์ แต่นั่นไม่ใช่วิถีทางของบาร์ซา ผู้เล่นเยาวชนทีมชาติสเปนหลายคน รวมถึงเด็กๆ แคว้นคาตาลันเองจึงเลือกออกไปค้าแข้งที่ต่างแดน เพราะพวกเขาได้ค่าเหนื่อยเยอะกว่า
ไม่เท่านั้นในช่วงปี 2009-2013 บาร์เซโลนาทำผิดกฎของฟีฟ่าในการเซ็นสัญญากับผู้เล่นต่างชาติที่อายุต่ำกว่า 18 ปี พวกเขาถูกแบนจากการซื้อขายผู้เล่น 14 เดือนในปี 2014 เมื่อไม่มีผู้เล่นหน้าใหม่มาเสริมทัพ และผู้เล่นที่มีโอกาสแจ้งเกิดก็ย้ายออกไป การก้าวขึ้นมาไม่ทันของเด็กจาก ลา มาเซีย ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงปัญหา
เมื่อไม่มีนักเตะเยาวชนขึ้นสู่ทีมใหญ่ ก็ต้องหาทางออกโดยการซื้อผู้เล่นฝีเท้าดีราคาสูงจากทีมอื่น ในปี 2018 รายรับกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของสโมสรถูกนำไปจ่ายเป็นค่าเหนื่อยให้กับผู้เล่นชุดใหญ่ บาร์เซโลนาเป็นทีมที่จ่ายค่าแรงนักฟุตบอลสูงที่สุดในโลก เมื่อเป็นแบบนี้จะเอาเงินที่ไหนมาพัฒนาส่วนอื่นของสโมสร
การเซ็นสัญญากับ อองตวน กริสมันส์, ฟิลิปเป คูตินโญ และ อุสมาน เดมเบเล ทำให้พวกเขากลายเป็นผู้เล่นที่มีค่าตัวสูงสุดติดอันดับ 4, 5 และ 6 ของโลก แต่กลับไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่งเหมือนในช่วงก่อนย้ายมาคัมป์นูได้ ราวกับเป็นนักบอลคนละคน กลายเป็นค่าใช้จ่ายราคาแพง เมื่อบวกกับค่าเหนื่อยมหาศาลของ ลิโอเนล เมสซี ในระดับเกือบ 1,000,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ส่งผลให้สโมสรต้องหาเงินเพื่อนำมาจ่ายนักฟุตบอลชุดใหญ่เป็นหลัก
นับตั้งแต่ โจเซฟ มาเรีย บาร์โตเมว ได้รับเลือกเป็นประธานสโมสร เขามองข้ามความสำคัญของ ลา มาเซีย อย่างเห็นได้ชัด โดยใช้เงินกว่า 1 พันล้านปอนด์ซื้อผู้เล่นเข้าทีม 32 คน แต่ส่วนใหญ่ไปไม่รอด ต่างจาก อันซู ฟาติ ผลผลิตจาก ลา มาเซีย ที่ดูจะฉายแววขึ้นมา ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ความสำคัญของระบบเยาวชน
นอกจากแทบไม่มีนักเตะ ลา มาเซีย ขึ้นสู่ทีมใหญ่แล้ว ผู้เล่นชื่อดังที่ถูกซื้อมาก็ไม่สามารถปรับตัวกับระบบการเล่นของทีมได้ สาเหตุหนึ่งคือเด็กๆ ที่ ลา มาเซีย จะคุ้นเคยกับ “รอนโด้” ซึ่งเป็นการฝึกเพื่อการผ่านบอลที่รวดเร็ว และเพิ่มโอกาสในการแย่งบอลจากผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม ซึ่งเป็นสไตล์เฉพาะของบาร์เซโลนาที่เราคุ้นชิน การเข้ามาของผู้เล่นที่ไม่ผ่าน ลา มาเซีย จึงมักมีปัญหากับการปรับตัวในการเล่นแบบนี้
แม้แต่ ลิโอเนล เมสซี ยังมองเห็นปัญหาที่ค่อยๆ พอกหางหมูที่บาร์เซโลนา “เราสูญเสียพันธะผูกพันที่มีต่ออะคาเดมี ผู้เล่นเยาวชนคนสำคัญต่างออกจากสโมสร และมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับสโมสรที่ดีที่สุดในโลก” เมื่อคุ้นเคยกับความสำเร็จ การถอยหลังและสร้างทีมใหม่เป็นสิ่งที่แฟนบอลไม่อยากรอคอย บวกกับเมื่อประธานสโมสรมาจากการเลือกตั้ง การได้อยู่ในอำนาจต่อไปก็ต้องทำให้ทีมประสบความสำเร็จ ยิ่งนำมาสู่การใช้เงินดึงผู้เล่นเข้าทีม
ในทีมชุดปัจจุบันมีผู้เล่นจาก ลา มาเซีย 4 คนที่ได้ลงสนามสม่ำเสมอ คือ เมสซี, ปิเก, บุสเกตส์ และอัลบา ซึ่งทั้งหมดอายุเกิน 30 ไปแล้ว จริงอยู่ในซุ้มม้านั่งสำรองอาจมีเด็กจากชุดเยาวชนติดทีมมา 3 คน โดยมี อันซู ฟาติ เป็นความหวังครั้งใหม่ แต่เราก็เห็นกราฟที่ดิ่งลงจากปี 2012 อย่างชัดเจน
เมื่อแทบไม่มีเด็กปั้นอยู่ในทีม ความรักในสโมสรก็น้อยลง การสู้สุดใจไม่ค่อยได้เห็นในทีมบาร์เซโลนาชุดปัจจุบัน ดูได้จากการตกรอบบอลยุโรปแบบน่าผิดหวังในหลายฤดูกาลที่ผ่านมา แฟนบอลคุ้นกับภาพที่ผู้เล่นเดินคอตก ได้แต่มองหน้ากันไปมา ปัญหาทั้งหมดที่บาร์เซโลนาเผชิญ ทำให้การขอย้ายทีมของ ลิโอเนล เมสซี กัปตันทีมผู้เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเรื่องที่เข้าใจได้และไม่เกินความคาดหมาย
บาร์เซโลนากำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่าน ทิศทางต่อไปของสโมสรจะเป็นตัวกำหนดอนาคตอันใกล้ของทีมที่ครั้งหนึ่งได้ชื่อว่าดีที่สุดในโลก
#Messi #เมสซี่ #บาร์เซโลน่า #PlayNowThailand #KhelNowThailand #ฟุตบอล #Soccer #Football
อัพเดตข่าวสารกีฬาก่อนใคร
พร้อมมีของรางวัลพิเศษให้ร่วมสนุกกันเป็นประจำ
ร่วมไลค์ ร่วมแชร์ Play Now Thailand 🇹🇭
โฆษณา