2 ก.ย. 2020 เวลา 19:11 • ประวัติศาสตร์
ตั้งได้ก็ปลดได้ ปลดได้ก็ตั้งได้ : เรื่องของพระสนมตุนเฟย (惇妃)
โบราณมีคำกล่าวว่าคนล้มอย่าข้าม คำๆนี้คงเป็นคำที่คนทั้งวังกระซิบกระซาบถึงชะตาชีวิตของพระสนมตุนเฟย (惇妃) ผู้ที่ใครๆก็ยำเยงเกรงวาสนาทั่วทั้งวัง แล้วมีอันตกกระป๋องลงไป ก่อนจะได้รับการคืนยศให้ใหม่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ว่าคนเราเมื่อลุกขึ้นมาใหม่ได้ ก็อาจจะล้มได้อีกครั้งถ้าประมาท
ตุนเฟย เกินในปีค.ศ. 1746 เดือน 3 วันที่ 27 เป็นธิดาของขุนนางฝ่ายเสนาธิการยศตูถ่ง (都统) นามว่าซื่อเก๋อร์ (四格) ตระกูลของเธอคือตระกูลวาง (汪氏) อันเป็นตระกูลไพร่สมในสังกัดกองธงขาว (正白旗包衣人) แต่ด้วยความมุมานะของบิดาเลยทำให้รุ่นของเธอนั้นเป็นธิดาข้าราชการระดับกลางที่ไม่ต้องอับอายใครบิดาของเธอรับราชการมาด้วยดี
ในปี 1763 ซื่อเก๋อร์ได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นโดยรับตำแหน่งเป็นเสนาบดีกรมวัง (内务府总管大臣)ช่วงที่บิดามีบุญถึงเพียงนั้น ธิดาก็พลอยมีบุญตามไปด้วยเพราะว่าได้รับคัดเลือกเข้ามาถวายตัวดำรงค์ตำแหน่งเป็นฉางจ้าย การที่พระเจ้าเฉียนหลงทรงรับเธอเข้ามาเป็นบาทบริจาริกาสร้างความตื้นตันใจให้กับซื่อเก๋อร์มาก จนปีเดียวกันเดือน 10 วันที่ 13 เขาได้ทำหนังสือกราบบังคมทูลขอบพระทัยพระเมตตาของพระเจ้าเฉียนหลง เขากล่าวว่าตัวเขานั้นเป็นเพียงตระกูลไพร่สม ได้รับพระเมตตาให้บุตรสาวเข้าไปเป็นนางในนั้นเป็นพระเมตตาหาที่สุดมิได้
จะด้วยพระเมตตาที่พระเจ้าเฉียนหลงตั้งใจจะประทานให้อยู่แล้ว หรือด้วยเหตุหนังสือกราบบังคมทูลทำให้มีพระเมตตามายิ่งขึ้น ในเดือน 10 วันที่ 18 หากจากวันที่ทูลเกล้าถวายหนังสือเพียง 5 วัน พระเจ้าเฉียนหลงพระราชทานพระราชทินนามแด่นางในคนใหม่ว่า “หยงฉางจ้าย” (永常在) นอกจากจะได้ยศหรูหราแถมพ่วงด้วยราชทินนามผิดจากนางในที่พึ่งเข้าถวายตัวทั่วไป สาวน้อยพระราชทานเครื่องยศให้เป็นกรณีพิเศษทั้งๆที่นางในยศเพียงฉางจ้ายนี้ไม่มีเครื่องยศ โดยเครื่องยศที่เธอได้รับนั้นเป็นสร้อยประคำพุทธคุณทำจากประการังแดงสำหรับแต่งชุดเต็มยศ 1 ชิ้น กรองศอรูปห่วงกลมทำจากประการังแดงประดับด้วยเงินชุบทองอีก 1 ชุด และที่พิเศษสุดคือหงษ์ถักจากเส้นทองสำหรับประดับศรีษะ 5 ตัว ซื่อเก๋อร์คงมองเห็นอนาคตว่าธิดาของตนอายุได้ 17 ปีกำลังเป็นสาวสคราญอาจจะเป็นที่โปรดปรานและได้ตำแหน่งสูงขึ้นไปก็ได้ แม้นอายุของธิดาจะอ่อนกว่าพระเจ้าเฉียนหลงอยู่หลายปีจนแทบจะเป็นพ่อลูกกันได้ ด้วยพระเจ้าเฉียนหลงทรงประสูติเมื่อปี ค.ศ. 1711ระยะเวลาอายุอานามที่ห่างกันก็สิริรวมได้ 35 ปีพอดี แต่อายุที่ห่างกันหาใช่ปัญหาไม่ถ้าเกิดเป็นที่โปรดปราน อะไรก็ฉุดไม่อยู่
การที่หยงฉางจ้ายได้รับยศสูงถึงเพียงนี้นับว่าน่าอัศจรรย์ เนื่องจากสตรีที่เกิดในสกุลไพร่สม เมื่ออายุถึงเกณฑ์ จะถูกคัดเลือกเข้ามารับราชการเป็นนางกำนัล นางข้าหลวงในวังไม่ใช่เข้ามาเป็นเจ้าจอมหม่อมห้าม การที่เธอได้รับเลือกมาเป็นเจ้าจอมนั้นถือเป็นกรณีพิเศษอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามจากเอกสารแต่งตั้งให้เธอรับตำแหน่งเป็นหยงฉางจ้ายได้กล่าวว่า “มีคุณธรรมโดดเด่นตั้งแต่วัยเยาว์ จนได้รับเลือกมาเรียนรู้ขนบธรรมเนียมในวัง” (早膺德选,娴兰宫之礼教) “มีหน้าตางดงามความประพฤติเรียบร้อยเป็นที่ชื่นชม” (慈颜有喜) “ประพฤติตนมีคุณธรรมดังที่ได้อบรม” (能承慈眷) อาจจะเป็นได้เหมือนกันที่เธอได้รับเลือกมาเป็นนางข้าหลวงในวังก่อน แล้วต้องพระทัยจนได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าจอม
เมื่อเธอได้รับราชการเป็นนางใน เธอคงอยู่ในกระบวนคนโปรด เพราะอย่างน้อยในบันทึกการเสด็จประพาสล่าสัตว์บริเวณทุ่งมู่หลานในปี ค.ศ. 1766สถานที่นี้ถือได้ว่าห่างไกลจากปักกิ่งนัก นางในที่จะได้ตามเสด็จไปล้วนเป็นแต่คนโปรดหยงฉางจ้ายคนงามก็ได้ตามเสด็จไปด้วย ชีวิตในวังของเธอดูราบรื่นไม่น้อย แม้ยศจะไม่ได้สูงแบบพุ่งพรว ดจนน่าตกใจ แต่ว่าก็ได้รับเลื่อนยศอย่างสม่ำเสมอ ในปี 1768 เธอได้รับยศเป็นหยงกุ้ยเหริน(永贵人) ในปี 1771 บุญเธอก็สูงขึ้นด้วยได้รับยศเป็นพระสนมชั้นผิน พร้อมทั้งได้รับพระราชทานราชทินนามใหม่ เป็น ตุนผิน (惇嫔) เรียกได้ว่าในระยะเวลาเพียง 8 ปี มีอายุเพียง 25 ปี เธอนั้นก้าวหน้ายิ่งนักจนเป็นที่น่าอิจฉา
วาสนาของเธอนั้นยังพุ่งทะยานไปไม่หยุด ด้วยในปี ค.ศ. 1774 เดือน 5 วันที่ 16 ขณะที่พระเจ้าเฉียนหลงทรงเสด็จพระพาสเมืองเร่อเหอ (热河) เหล่านางในคนโปรดล้วนตามเสด็จ ในเวลานั้นเองที่เธอพบว่าเธอตั้งครรภ์ ในยามนั้นพระเจ้าเฉียนหลงมีพระชนมายุมากถึง 63 พรรษา ไม่มีใครคาดคิดว่าพระองค์จะมีพระโอรสธิดาเพิ่มอีก แต่ว่าพระสนมตุนผินกำลังจะมีพระทายาทถวายพระองค์ในยามชรา เรื่องนี้นับเป็นที่ชื่นชมแกมน่าอิจฉาสำหรับใครหลายคนในวัง เธอถูกส่งกลับไปเก็บตัวในวังหลวงทันทีเพื่อรักษาครรโภทรที่มีค่ายิ่ง และก่อนที่จะให้กำเนิดพระโอรสหรือพระธิดา พระเจ้าเฉียนหลงก็ทรงอวยยศให้ตุนผินเป็นสนมชั้นเฟย ได้รับพระราชทานนามว่า “ตุนเฟย” (惇妃)
ในปี 1775 อันเป็นปีที่ 40 แห่งรัชกาลพระเจ้าเฉียนหลง พระสนมตุนผินได้กำเนิดพระธิดาพระองค์น้อยในเดือน 1 วันที่ 3 ตามวันตามจันทรคติ เป็นพระราชธิดาพระองค์ที่สิบ เรียกกันทั่วไปว่าเจ้าหญิง 10 ช่วงเวลาที่เจ้าหญิงประสูตินี้เป็นช่วงเวลาตรุษจีนซึ่งถือเป็นช่วงเวลาอันมงคล พระเจ้าเฉียนหลงทรงยินดียิ่งนักที่ได้พระราชธิดา ไม่มีใครตอบได้ว่าตุนผินจะดีใจหรือเสียใจที่ตนนั้นได้ให้กำเนิดราชธิดามาหนึ่งพระองค์แทนที่จะเป็นพระโอรส แต่ที่ทุกคนรับรู้แน่นอนคือพระเจ้าเฉียนหลงทรงปรีดาปราโมชย์ยิ่งนักที่ได้มีพระธิดาองค์น้อย กระทั่งของพระราชทานสำหรับให้พระธิดาหยิบในพิธีทำนายชะตายามอายุ 1 พรรษาล้วนแต่เป็นของดีมีราคา ได้แก่ ถ้วยหยกปากผ่าย ตุ๊กตาหยกสิงห์ ช้อนหยก พัดหยก กระเรียนหินโมราพร้อมกล่องลงรักทรงกลม สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความโปรดปรานพระธิดาเป็นที่ยิ่ง
ในปี 1776 เดือน 4 หลังจากมีประสูติกาลพระธิดาองค์น้อยไม่นาน พระสนมตุนเฟยมีอาการคล้ายจะตั้งครรภ์อีกครั้ง แต่ว่าหลังจากหมอหลวงมาทำการตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นเพียงเลือดลมเดินไม่คล่อง ซึ่งถ้าจะว่าไปหากพระสนมตั้งครรภ์จริงๆแล้วไซร้คงเป็นที่อิจฉาอย่างรุนแรงทั่วทั้งวัง เพราะในขณะนั้นทุกคนรู้กันทั่ววังว่าพระธิดาองค์น้อยเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าเฉียนหลงยิ่งนัก จะกริ้วใดๆแล้วขอให้เห็นพระพัตรเจ้าหญิงน้อยก็เป็นหายกริ้ว จนใครๆในวังถือว่าเจ้าหญิงน้อยเป็นดังของวิเศษดับพิโรธพระเจ้าเฉียนหลง ภายหลังเมื่อเจ้าหญิงน้อยเติบใหญ่พระเจ้าเฉียนหลงทรงพระราชทานยศเป็นเจ้าฟ้าให้ทั้งๆที่มิใช่พระธิดาที่เกิดแต่ฮ่องเฮา เห็นดังนี้คงพอจะเดาได้ว่าโปรดปรานแค่ไหน
วันคืนของพระสนมนั้นชื่นมื่นยิ่งนัก ด้วยยศของเธอนั้นสูงถึงชั้นเฟยจึงสามารถเลี้ยงพระราชธิดาได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องถวายให้พระสนมที่ยศสูงกว่าเลี้ยงดู พระเจ้าเฉียนหลงโปรดปรานรักใคร่ทั้งเธอและพระธิดา สิ่งเหล่านี้อาจจะทำให้เธอเหลิงเป็นนางพญาหงส์จนกระทำผิดราชประเพณีร้ายแรงขึ้นมา นั้นคือพระสนมได้สั่งเฆี่ยนนางกำนัลคนหนึ่งถึงแก่สิ้นชีพ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี 1778 เจ้าหญิงพระองค์น้อยกำลังอยู่ในวัน 2 พรรษา ตัวพระสนมเองก็พึ่งอายุได้ 32 พรรษาเท่านั้น อนาคตของพระสนมดูท่าจะก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป แต่ว่าพระสนมได้กริ้วและสั่งเฆี่ยนนางกำนัลคนหนึ่งในตำหนักจนสิ้นชีพ ซึ่งเรื่องนี้ร้ายแรงมาก เพราะเหล่านางข้าหลวง และนางกำนัลในวังสมัยราชวงศ์ชิงล้วนถือเป็นลูกหลานแมนจูด้วยกัน จะเข้าสู่วังนั้นล้วนผ่านการคัดเลือกทั้งชาติตระกูล และความสามารถ เข้ามาทำงานในวังก็ได้รับเบี้ยหวัดเงินปีอย่างผู้รับราชการ เมื่ออายุถึงกำหนดก็กลับไปอยู่ที่บ้านตน หรือไม่ก็ตบแต่งอย่างใหญ่โต เรียกว่าไม่ใช่คนที่จะโขกสับได้ดังทาส พระเจ้าเฉียนหลงทราบเรื่องแล้วทรงกริ้วอย่างยิ่ง พระองค์ออกพระโอษฐ์ว่าพระองค์ครองราชย์มายังไม่เคยลงโทษข้าราชบริพารถึงขั้นเสียชีวิต กริ้วสุดอย่างมากก็เฆี่ยน 20 ทีถึง 40 ที แต่ไม่เคยถึงขั้นเอาชีวิต แต่สนมของพระองค์ทำการหยาบช้าเช่นนี้พระองค์มิอาจให้อภัยได้ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงต้องลงโทษ อย่างไรก็ตามด้วยทรงพระเมตตาพระราชธิดาพระองค์จึงแค่ลดยศจากพระสนมชั้นเฟยให้เป็นชั้นผิน พร้อมทั้งให้ชดใช้เงินเป็นจำนวน 100 ตำลึงให้แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต
คนที่ถูกลงโทษมิได้มีเพียงแค่พระสนมเท่านั้น เหล่าขันทีในตำหนักที่อยู่ร่วมเหตุการณ์ล้วนถูกลงโทษกันถ้วนหน้า หัวหน้าขันทีในตำหนักถูกลงโทษอย่างหนักรวมถึงถูกทอดยศราชการ ตัดเงินเดือน และข้าวสารเป็นเวลา 2 ปี รองหัวหน้าขันทีในตำหนักรวมถึงขันทีในตำหนักเนื่องจากไม่ห้ามเจ้านายถูกสั่งตัดเงินเดือนและข้าวครึ่งปี นอกจากนี้การตัดเงินและตัดข้าวของเหล่าขันทีรับใช้ในตำหนัก พระเจ้าเฉียนหลงทรงให้คิดรวมกันทั้งหมดแล้วให้นำจำนวนที่ถูกหักนั้นอีกครึ่งหนึ่งไปหักเงินปีและข้าวของพระสนมอีกทอดหนึ่งอีกที
นอกจากจะลงโทษด้านลดยศแล้ว ยังถูกให้เปลี่ยนที่พักอีกเช่นกัน ในปี 1779 เดือน 2 วันที่ 1 พระเจ้าเฉียนหลงโปรดให้สับเปลี่ยนที่พักของพระสนมตุนผิน โดยให้พระสนมย้ายไปอยู่ในห้องพักในหมู่ตำหนักหยางซินเตี้ยน (养心殿) แล้วให้พระสนมซุ่นเฟย (顺妃) ที่เคยพำนักในพระที่นั่งหยางซินเตี้ยนไปอยู่ที่ตำหนักใหญ่อี้คุนกง (翊坤宫)ของพระสนมแทน พร้อมกับให้เจ้าจอมหมิงฉางจ้าย(明常在)ไปพำนักในตำหนักบริวาร การต้องย้ายไปอยู่ในห้องบริวารของพระที่นั่งหยางซินเตี้ยนที่พระเจ้าเฉียนหลงประทับเป็นประจำอาจจะดูไม่แย่นัก แต่เมื่อหันไปดูพระตำหนักอี้คุนกงอันหรูหราก็ถือได้ว่าตกกระป๋องพอสมควร นอกจากต้องย้ายที่อยู่ในพระราชวังหลวงแล้ว ในพระราชวังฤดูร้อนหยวนหมิงหยวนก็ต้องย้ายอีกเช่นกัน โดยมีคำสั่งให้แลกที่อยู่กับพระสนมหรงเฟย (容妃) ซึ่งก็เป็นคนโปรดอีกเช่นกัน
การลงโทษข้างต้นนี้จริงๆอาจจะไม่หนักหนาสาหัสเท่าใดนัก แต่ว่าที่หนักหนาจริงๆคือการที่พระเจ้าเฉียนหลงทรงมีพระราชโองการสั่งสอนพระโอรสธิดาทั้งปวงอย่าได้ประพฤติตนโหดร้ายแบบตุนผิน ยิ่งพระโอรสแล้วยังกำชับว่ามีพระชายาแล้วห้ามมิให้ประพฤติเช่นนี้เด็ดขาด พร้อมสั่งให้กรมวังนำพระราชโองการการลงโทษครั้งนี้บันทึกในพระราชพงศาวดาร แล้วนำไปเก็บไว้ในหอสมุดหลวง เรียกได้ว่าให้เป็นที่จดจำถีงความผิดไปชั่วกาลเลยทีเดียว
ชีวิตของตุนเฟยที่ตอนนั้นกลายเป็นตุนผินไปเรียบร้อยแล้วคงเป็นที่เย้ยหยั้นไม่น้อย พระธิดาองค์น้อยก็ถูกนำให้พระสนมผู้อื่นเลี้ยงดู ความอาภัพอับโชคจากความประพฤติที่โหดร้ายนี้คงจะเรียกคะแนนสงสารจากชาววังได้ไม่มากนัก
แต่ฟ้าก็ยังให้โอกาสตุนผินอีกครั้ง ซึ่งโอกาสนั้นคือพระธิดานั้นเอง
พระธิดาน้อยนั้นติดพระมารดามาก หลังจากแยกจากพระมารดาก็พระกรรแสงเรื่อยมา และไม่ยอมเสวย ด้วยพระเจ้าเฉียนหลงรักพระธิดาดังดวงใจ จีงยอมให้ตุนผินเข้ามาเลี้ยงดูพระธิดา และในที่สุดในปี 1780 พระเจ้าเฉียนหลงคงพระทัยอ่อนคืนยศเฟยให้กับพระสนม พระสนมจึงกลับมาเป็นตุนเฟยอย่างสง่าผ่าเผยอีกครั้ง
นอกจากจะแต่งตั้งให้มียศเท่าเดิม พระเจ้าเฉียนหลงยังได้ไว้วางพระทัยถึงขั้นให้นำพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าหญิงพระองค์ใหญ่(大格格)ที่เกิดจากเจ้าฟ้าหญิงเหอซั่วเหอเค่อกงจู่ (和硕和恪公主) เจ้าฟ้าหญิงพระองค์นี้เป็นพระราชธิดาที่เกิดจากฮ่องเฮาเซี่ยวอี้ตุน(孝仪纯皇后) หรืออดีตพระสนมหลิงเฟย(令妃)การที่ได้รับเลี้ยงพระเจ้าหลานเธอพระธิดาที่เกิดจากเจ้าฟ้าหญิงแสดงถึงความไว้วางใจและโปรดปรานเป็นที่สุด เรียกได้ว่าตอนนั้นที่ใครมองพระสนมตุนเฟยด้วยสายตาเหยียดยามช่วงที่พระสนมตกต่ำคงเย็นละเยือกไปถึงหัวใจทีเดียว
ตุนเฟยนั้นเมื่อได้รับการคืนยศดังเดิมก็หาได้ทิ้งนิสัยร้ายกาจไม่ และความร้ายกาจนี้ดูจะไม่ใช่แค่ตัวพระสนมคนเดียว แต่ยังรวมไปถึงประดาญาติพี่น้อง ในปี 1784 เดือน 5 มีข้าราชการทูลฟ้องว่าลุงของพระสนมได้ฆ่าคนรับใช้นามว่าเจิ่นหรง (郑荣) แล้วบังคับเอาภรรยาของคนรับใช้ผู้นั้นมาเป็นอนุภรรยา นอกจากนี้ในเดือนเดียวกันมีนางข้าหลวงในตำหนักของพระสนมพยายามฆ่าตัวตาย แต่โชคดีมีคนช่วยชีวิตไว้ทัน รองหัวหน้าขันทีประจำตำหนักอ้างว่าที่ไม่ได้กราบทูลพระเจ้าเฉียนหลง เพราะว่าเป็นช่วงเทศกาลกินเจ จึงไม่อยากจะไปรบกวนเบื้องพระยุคลบาท นอกจากนี้ในปีเดียวกันเดือน 10 ข้าหลวงคนหนึ่งในตำหนักได้รับบาดเจ็บ ปัญหาเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าชีวิตของคนในปกครองพระสนมนี้ไม่ได้เป็นสุข และพระสนมก็ไม่ได้ลดความร้ายกาจลงเลย
ความร้ายกาจนี้คงทราบถึงพระเนตรพระกรรณของพระเจ้าเฉียนหลง หลายคนเชื่อว่าที่ไม่ได้ปลดพระสนมตุนเฟยลงไปเพราะความรักที่มีต่อพระธิดา แต่ความโปรดปรานคงจะลดลงไม่น้อย ยิ่งมีข่าวไม่งามที่มีต่อข้าหลวงในตำหนักคงทำให้พระเจ้าเฉียนหลงไม่พอพระทัย ในปีที่ 50 ของรัชกาลพระเจ้าเฉียนหลง อันตรงกับพี่ 1985 พระสนมตุนเฟยมีอายุครบ 40 ปี และมีการจัดงานฉลองวันเกิดให้แด่พระสนม ตามปรกติแล้วตามธรรมเนียมราชสำนักชิง เมื่ออายุ 40 ปีนั้นถือว่าต้องเฉลิมฉลองอย่างใหญ่โตเพราะถือว่าอายุเต็มจำนวนเป็นครั้งแรก ของที่จะได้รับพระราชทานนั้นย่อมมีมหาศาล ทั้งเงินทองและของมีค่า แต่ว่าพระเจ้าเฉียนหลงกลับโปรดเกล้าให้ฉลองวันเกิดพระสนมดังวันเกิดธรรมดา และพระราชทานเงินให้ 300 ตำลึงเท่านั้น ไม่มีอะไรไปมากกว่านี้ ซึ่งคงจะสะท้อนให้เห็นว่าความโปรดปรานที่พระองค์มีต่อพระธิดาแม้จะไม่ลดลง แต่ความรู้สึกที่มีต่อมารดานั้นไซร้คงจืดจางไปไม่น้อย
เมื่อฟ้าให้โอกาสอีกครั้ง แต่ตัวเองไม่รักษาโอกาสนั้นไว้ บุญที่มีก็หมดได้อีกครั้งเช่นกัน จากที่พระสนมเป็นที่โปรดปรานก็กลายเป็นเฉยชา ความจืดจางคงจากสืบมาเรื่อยๆ ดังอีกสิบปีให้หลัง ในปี 1795 พระเจ้าเฉียนหลงครองราชย์ครบ 60 พรรษา พระสนมมีอายุได้ 50 ปีพอดี จริงๆในช่วงนั้นพระเจ้าเฉียนหลงควรจะจัดงานให้พระสนมอย่างใหญ่โต พระราชทานของให้อย่างมหาศาล แต่พระองค์ก็โปรดเกล้าให้จัดงานอย่างธรรมดา พระราชทานเงินให้เพียง 300 ตำลึงเหมือนกับที่ 10 ปีที่แล้ว จากตรงนี้จะเห็นได้ว่างานวันเกิดที่ควรจะยิ่งใหญ่ของพระสนมกับเงียบเฉียบจนเป็นที่น่าอัศจรรย์ จากตรงนี้เห็นได้ว่าพระเจ้าเฉียนหลงคงจะเฉยชากับพระสนมอย่างยิ่ง ลาภยศสรรเสริญที่เคยได้รับอย่างท่วมท้นกลายเป็นเพียงวันเก่าๆ
ในปี 1795 พระเจ้าเฉียนหลงทรงสละพระราชบัลลังค์ พระเจ้าเจี่ยชิงพระราชโอรสขึ้นครองราชย์แทน ในเดือน 11 ของปีนั้นเอง พระสนมตุนเฟยเข้าเฝ้าถวายพระพร พระเจ้าเฉียนหลงตรัสว่าพระสนมมาถวายพระพรช้าจึงโปรดให้งดเงินปีที่จะประทานให้ 200 ตำลึงเสีย ปีนี้ไม่ต้องให้
ท่ามกลางความไม่โปรดปรานแหละหมางเมินที่พระสวามีกระทำ พระสนมตุนเฟยใช้ชีวิตเงียบๆต่อไปในวังท่ามกลางโชคชะตาที่ผันผวน พระสนมคงมองครอบครัวของพระธิดาที่ต้องราชทัณฑ์อย่างอกสั่นขวัญแขวน และคงโล่งใจที่พระธิดารอดมาได้เพราะความเมตตาของพระเจ้าเจี่ยชิง ในปีที่ 1806 พระสนมมีอายุได้ 61 ปี พระสนมก็ป่วยและจบชีวิตลงในเดือน 3 วันที่ 6 เหลือไว้เพียงเรื่องราวความร้ายกาจที่ถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์สืบทอดมาจนปัจจุบัน
เมืองภูมิ หาญสิริเพชร
03 09 2020
ที่มา
โฆษณา