(S) Self-Employed รายได้จากกิจการส่วนตัว หรือ Freelance
(B) Business Owner รายได้จากธุรกิจส่วนตัว รวมถึงค่าลิขสิทธิ์ต่างๆ
(I) Investor รายได้จากการลงทุน
โดยที่ B กับ S ต่างกันตรงที่ S เรายังต้องทำงานเองแม้จะเป็นนายตัวเอง ส่วน B คือเรามีระบบ มีคนมาบริหารธุรกิจแทนเรา
นอกจากนี้รายได้ทั้ง 4 ช่องทาง แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ นั่นคือ รายได้จากการทำงาน (Active Income) เป็น E และ S และอีกกลุ่มคือ รายได้จากทรัพย์สิน (Passive Income) เป็น B และ I
ความต่างของ 2 กลุ่มใหญ่นี้ คือ การใช้เวลาเพื่อสร้างรายได้ Active Income เราจะต้องใช้เวลาของตัวเองเพื่อสร้างรายได้ ถ้าขาดเราไปรายได้ก็หยุดเช่นกัน ต่างกับ Passive Income ที่แทบไม่ใช้เวลาของตัวเอง แต่ใช้ทรัพย์สินในการสร้างรายได้แทน
นิยามอาชีพเทรดเดอร์ในด้าน S คือ มีหน้าที่จับจังหวะซื้อขายทำกำไร แต่ในด้าน I คือ มีหน้าจัดสรรสินทรัพย์ที่มีไปไว้ในที่ที่เหมาะสม
ผมมักจะบอกอยู่เสมอๆว่า เวลาเทรด เวลาลงทุน ผมจะแนะนำให้มีพอร์ตสำหรับเทรดอย่างน้อยๆ 2 พอร์ต คือ พอร์ตเทรดระยะสั้น และ พอร์ตเทรดระยะยาว ซึ่งระยะสั้นก็เหมือนด้าน S ที่เทรดแล้วสร้างกระแสเงินสดเข้ามา และ ระยะยาวเหมือนด้าน I สร้าง Capital Gain ให้สินทรัพย์ของเรา
หลายๆคนที่เข้ามาเป็นเทรดเดอร์ โดยเฉพาะเทรดทองหรือ Forex มักจะชอบเทรดระยะสั้น เพราะได้เงินเร็ว กลัวว่าถ้าถือคำสั่งระยะยาวแล้วไม่รู้ว่าอนาคตเป็นอย่างไร ลองนึกๆดูครับว่า คนที่ทำกำไรในตลาดนี้จริงๆ คือ กลุ่มคนด้าน S หรือ I ที่ทำกำไรได้เยอะกว่ากัน
เทรดระยะสั้น ด้าน S ข้อดีคือสร้างกระแสเงินสด เห็นเงินเร็ว ทำการบ้านน้อย เห็นสัญญาณต่างๆก็สามารถตัดสินใจได้เลย เช่น Price Action, Price Pattern, Signal Indicator และอื่นๆ แต่เราต้องใช้เวลาอยู่กับกราฟ