4 ก.ย. 2020 เวลา 02:26 • หุ้น & เศรษฐกิจ
Dow Jones ร่วง 807.77 จุด หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเจอแรงขายหนัก
เมื่อคืนนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯโดนเทขายหนักทั้ง 3 ดัชนี Dow Jones ปิดที่ 28,292.73 จุด ร่วงลง 807.77 จุด หรือ -2.78%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,455.06 จุด ร่วงลง 125.78 จุด หรือ -3.51% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,458.10 จุด ร่วงลง 598.34 จุด หรือ -4.96%
ด้าน Dow Jones Futures และ NASDAQ Futures เช้านี้ยังร่วงต่อเนื่อง ส่อเค้าว่า เราจะเจอการปรับฐานต่อเนื่องในเดือนก.ย. นี้ มีอะไรบ้างที่นักลงทุนต้องรู้ ไปตามดูกัน
1. หุ้นที่ฉุดตลาดเมื่อคืนและมีแรงเทขายรุนแรงคือหุ้นเทคโนโลยีที่ลากตลาดขึ้นมาตั้งแต่เดือนมี.ค. ทั้งนี้ เมื่อคืน Apple ราคาร่วงไป -8% ถือเป็นการปิดลบภายในวันเดียวที่หนักที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. ขณะที่ Amazon และ Netflix ทั้งคู่ปรับฐานมากกว่า -4% ด้าน Facebook ปิดลบ -3.8% รวมถึง Microsoft ที่มีแรงเทขายตั้งแต่ต้นชม. ปิดลบ -6.2%. และ Alphabet ร่วงหนักไม่แพ้กัน วันเดียวย่อลงมา -5.1% ทำให้ดัชนี S&P 500 tech sector ปิดลบไปถึง -5.83% ภายในวันเดียว
2. การปรับตัวลงครั้งนี้ เป็นการหยุดสถิติที่ ดัชนี S&P500 ทำสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์เป็นครั้งที่ 22 แล้วในปีนี้, ดัชนี Nasdaq ปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 43 ครั้ง และดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นทะลุระดับ 29,000 ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งปธน.ทรัมป์ ออกมาทวีตยินดีกับ นลท. ก่อนที่ตลาดจะมีแรงเทขายในเวลาต่อมาเมื่อคืนด้วย
3. ขณะที่หุ้นอีกตัวหนึ่งที่น่าสนใจคือ Tesla เมื่อวานนี้ราคาหุ้นร่วงลงอีกเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน โดยร่วงลง 9.02% รวมทั้งสิ้น 3 วันปรับฐานลงมาร่วมๆ -25% ไปแล้ว เป็นอันว่า Tesla เข้าสู่ Bear Market รอบใหม่ก่อนหุ้นตัวอื่นๆ จุดนี้ต้องมาดูกันว่า เกิดกับหุ้นตัวเดียว หรือ จะทำให้ Sentiment การลงทุนเปลี่ยนไป หลังจากที่ Bull มา 6 เดือนเต็มๆ
4. ตัวเลขที่น่าสนใจที่ประกาศเมื่อวานคือ Initial Jobless Claims ซึ่งก.แรงงานสหรัฐฯรายงานออกมาที่ 881,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ถือว่าดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 950,000 ราย ขณะเดียวกัน จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องลดลงสู่ระดับ 13.254 ล้านราย หลังจากพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์แตะ 24.912 ล้านรายในช่วงต้นเดือนพ.ค. บ่งชี้ว่า การจ้างงานค่อยๆฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ
5. อีกตัวที่น่าสนใจคือ ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐพุ่งขึ้น 18.9% มากกว่าคาดในเดือนก.ค. สู่ระดับ $63.6 Billion ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2008 ทีเดียว ตลาดก็มีความกังวลหน่อยๆว่า ขาดดุลเยอะขนาดนี้ กับโค้งสุดท้ายเลือกตั้ง จะทำให้ปธน.ทรัมป์ ทำให้สงครามเทค (Tech War) กับจีนเพิ่มขึ้นหรือเปล่า
6. ถ้ามองไปที่ตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆของสหรัฐฯ เอาจริงๆ จะพบว่า ตัวเลขมันผ่านจุดที่แย่ที่สุดไปแล้ว ดังนั้น การปรับฐานเมื่อคืน ไม่น่าจะใช่เพราะกังวลว่าวิกฤตจะเกิดอีก หรือเห็นสัญญาณชะลอตัวขนาดนั้น แต่น่าจะเพราะ ตั้งแต่เดือนมี.ค. ที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ก็ปรับตัวขึ้นมาถึง 50% ขณะที่ Nasdaq ขึ้นเยอะกว่า บวกไปถึง 60% การที่จะมีนักลงทุนเลือกที่จะลดพอร์ต ขายทำกำไรออกบ้าง ก็เป็นเรื่องปกติ
7. ผมเพิ่งจะโพสไปก่อนหน้านี้ว่า หากมองจาก RSI ของ S&P 500 จะพบว่า อยู่ในจุดที่ Overbought มากๆครั้งหนึ่งในรอบมากกว่า 1 ปี การปรับฐานใดๆที่จะเกิดขึ้น ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ซึ่งน่าจะเป็น Healthy Correction สำหรับใครที่สนใจลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ หรือ จะสะสมยาวๆให้ได้ต้นทุนที่ถูกลง
8. มีข้อมูลสถิติในอดีตที่น่าสนใจคือ ในปีที่มีการเลือกตั้ง หากพรรคที่ดำรงตำแหน่งปธน. อยู่ ชนะการเลือกตั้ง (Incumbent Party) ในปีนั้น ผลตอบแทนของ S&P 500 จะเป็นบวกได้ใน 3 เดือนก่อนการเลือกตั้ง (ส.ค. ต.ค.) แต่หากเกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจ ผลตอบแทนเฉลี่ย 3 เดือนก่อนการเลือกตั้งจะมีโอกาสติดลบมากกว่า แต่หลังจากนั้น ไม่ว่าใครจะเป็น ปธน. 1 ปีหลังจากนั้น S&P 500 จะยังสามารถให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้
9. มุมมองทางเทคนิค S&P 500 ลงมาทดสอบ Lower Bound ของ Uptrend Channel ถ้ายังอยากอยู่ในกรอบขาขึ้น สัปดาห์นี้ไม่ควรปิดต่ำกว่า 3,440 จุด ซึ่งใกล้เคียงกับเส้นค่าเฉลี่ย 20 วันที่อยู่ที่ 3,425 จุด ถ้าหลุดจากตรงนี้ กำไรที่เก็บกันมา น่าเอาออกมาก่อน และดูว่า จะลงได้ลึกแค่ไหนจนกว่าจะเจอแท่งเทียนที่เป็นสัญญาณกลับตัว
เรามีเวลา 2 วันที่หยุดไป ให้มานั่งพิจารณาดูกันอีกที ก่อนที่จะไปคิดกันต่อว่า นี่แค่ลงชั่วคราว หรือ รอบปรับฐานยาวๆ จนถึงเลือกตั้งสหรัฐฯ (3 พ.ย.) กำลังรอเราอยู่
แหล่งที่มาข้อมูล :
Mr.Messenger รายงาน
โฆษณา