1 ต.ค. 2020 เวลา 12:30 • ประวัติศาสตร์
ภารกิจหาแร่ทอง ในฉี่ของเพื่อนบ้าน และการค้นพบ
ฟอสฟอรัส เป็นธาตุลำดับที่ 15 ในตารางธาตุ
โลภภายใน ฟอสฟอรัสเป็นส่วนประกอบของกระดูก และฟัน
โลกภายนอก ฟอสฟอรัสเป็นส่วนสำคัญในการประดิษฐ์ สิ่งที่เรียกว่า ไม้ขีดไฟ ...
ที่ไม่ได้น่าสนใจ ที่การดิษฐ์ แต่น่าสนใจ ที่การค้นพบ
คำถามคือ การค้นพบนี้ น่าสนใจอย่างไร?
นั่นคือเรื่องราวของเราในวันนี้ครับ...
เป็นเรื่องราวการทดลอง ของทหารผ่านศึกนายหนึ่ง
เป็นเรื่องราวการหาแร่ทอง ในฉี่ของเพื่อนบ้าน
ไม่มีใครรู้ว่าเขาทำไปเพื่ออะไร และทำไมเขาจึงเชื่ออย่างนั้น
อาจเป็นเพราะเพิ่งกลับจากสนามรบ ในสงคราม
อาจเป็นเพราะความเชื่อเรื่องศิลานักปราชญ์
อาจเป็นเพราะความสิ้นหวังที่มีในจิตใจ
ไม่ว่าจะเป็นข้อไหน ที่ทำให้เขาทดลองอย่างนั้น แต่ผลของมัน คือจุดจบของความเชื่อเรื่องศิลาฯ
สู่รุ่งอรุณของวิชาวิทยาศาสตร์
รุ่งอรุณของวิชาเคมี
และการคิดค้นไม้ขีดไฟ
คำถามคือ แล้วเรื่องทั้งหมดนี้มาเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร?
เราจะมาหาคำตอบ พร้อมกันครับ...
ก่อนอื่นผมอยากจะชวนทุกคนย้อนเวลา ย้อนกลับไปยุโรป ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ...
ยุคที่ความเชื่อเรื่องลี้ลับ เวทย์มนต์ และความเป็นอมตะ ยังคงแพร่หลาย ...
และยังเป็นยุคเดียวกันกับชาย ที่มีชื่อว่า เซอร์ ไอแซก นิวตัน
ในยุคที่เส้นแบ่งระหว่างความจริง กับ จินตนาการ ค่อนข้างเลือนลาง คนพร้อมจะเลือกเชื่ออะไรก็ตาม ที่ตรงกับสิ่งที่เขาหวังจะให้มันเกิดขึ้นจริง แม้สิ่งนั้นจะฟังดูเพี้ยนในสายตาคนทั่วไป
หนึ่งในนั้น คือเรื่องศิลานักปราชญ์...
หนึ่งในหลายสิ่งที่คนกลัว ก็คือ ความตาย หนึ่งในหลายสิ่งที่คนอยากได้ ก็คือ แก้วแหวนเงินทอง
ความเชื่อเรื่องศิลาฯนี้ เหมือนเป็นการเหมารวมสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน คือ เป็นหินที่ทำให้ไม่แก่ เจ็บ ตาย แถมยังมีอิทธิฤทธิ์ เสกเหล็กธรรมดาให้กลายเป็นทองได้ อย่างไม่ต้องการความเข้าใจใดๆ
อาจจะฟังดูเพี้ยน ... แต่คนดังอย่าง ไอแซก นิวตัน ก็ยังเชื่อเรื่องที่ว่านี้ (ขนาดคนดังยังเชื่อเรื่องแบบนี้ คนธรรมดาจะไปเหลืออะไร) แต่นิวตัน ไม่ใช่พระเอกของเราในวันนี้หรอกนะครับ เพราะพระเอกของเราในวันนี้ คือคนธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่เชื่อแบบเดียวกับนิวตัน...
เขาคือทหารผ่านศึกคนนั้น ที่ผมพูดถึง
เขาคือคนที่เดินขอฉี่จากเพื่อนบ้าน มาสกัดทองคำ
เขาคือคนที่เกิดในยุคที่บ้านเมืองมีสงคราม
เขาคนนั้น คือ เฮนนิช บรันท์
สงครามสามสิบปี
ประเทศเยอรมัน ปี 1630
เฮนนิช บรันท์ (Hennig Brand) ลืมตาดูโลก พร้อมกับโชคที่พระเจ้าประทานมาให้
เป็นโชค(เลือด)จริงๆ เมื่อปีที่บรันท์เกิด คือปีที่บ้านเมือง กำลังเกิดสงครามศาสนา และรบกันนานหลายสิบปี สงครามนี้มีชื่อว่า สงครามสามสิบปี
และเป็นโชค(เลือด)จากพระเจ้าอย่างแท้จริง เมื่อโตขึ้น เขาต้องถูกเกณฑ์ไปรบในสงคราม
สงครามสามสิบปี เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1618 ถึง 1648 เป็นสงครามที่รบกัน ระหว่างคนในศาสนาคริสต์ ฝั่งคาทอลิก และโปรแตสแตนต์
เรื่องมันเกิดขึ้น เมื่อร้อยกว่าปีก่อนหน้านั้น...
เดิมทีศาสนาคริสต์เคยมีนิกายเดียว คือนิกายคาทอลิก แต่โป๊ป หรือประมุขของคาทอลิกดันโลภ อยากได้เงินไปสร้างวิหาร เลยเรียกเก็บค่าบำรุงศาสนา และขายใบไถ่บาป
พอคนกลุ่มหนึ่งเห็นว่าใบไถ่บาป ผิดไปจากคำสอนของคัมภีร์ไบเบิล ก็เริ่มลุกฮือต่อต้าน ซึ่งแกนนำต่อต้านก็คือนักบวชชาวเยอรมัน ชื่อมาร์ติน ลูเธอร์
มาร์ติน ลูเธอร์
พอลูเธอร์ลุกขึ้น คนเยอรมันกลุ่มหนึ่งก็ลุกตาม เกิดเป็นความขัดแย้งในสังคมเยอรมัน จนคนกลุ่มนั้นแยกไปเป็นนิกายใหม่ ไม่เชื่อในโป๊ป ไถ่บาปด้วยตัวเอง และมีชื่อเรียกนิกายว่า “โปรแตสแตนต์” ที่แปลว่า “ผู้ต่อต้าน”
แล้วก็ต่อต้านกันมาร้อยกว่าปี จนปี 1618 อาณาจักรที่เป็นคาทอลิก ต้องการจะบี้อาณาจักรที่เป็นโปรแตสแตนต์ ซึ่งส่วนมากอยู่ในดินแดนเยอรมัน
เมื่อสงครามใกล้จบเยอรมันขาดทหาร บรันท์ที่อายุ 17 จึงถูกเกณฑ์ตัวรบไปอย่างไม่ต้องสงสัย
ผลของสงครามคือ ชาวโปรแตสแตนต์ได้รับอิสระ ...
แต่กลับทิ้งแผ่นดินเยอรมันให้พังพินาศ...
ที่ดินทำกินเพาะปลูกไม่ได้ ทำให้ระบบเศรษฐกิจในประเทศล่มสลาย...
ผู้คนมากกว่าหนึ่งในห้า ล้มตาย และไม่มีที่อยู่ ซ้ำร้ายยังโดนซ้ำเติมด้วยโรคระบาดอีก ทำให้เยอรมนีจะไม่ฟื้นจากนี้ไปอีก 200 ปี...
ทหารประเทศอื่น อาจจะดีใจที่ได้กลับบ้าน แต่ไม่ใช่กับทหารเยอรมันอย่าง บรันท์ ที่ไม่รู้จะกลับบ้านมาเพื่ออะไร ซึ่งคนอื่นๆในประเทศก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน
เมื่อบ้านเมืองมืดหม่น ไม่เห็นทางออกจากวิกฤต เป็นเรื่องง่ายต่อการที่ผู้คน จะหลงเชื่ออะไรต่อมิอะไรที่ไม่มีเหตุผล เพียงเพื่อจะสร้างความหวังในการมีชีวิตให้กับตัวเอง หนึ่งในความเชื่อที่แพร่หลาย ณ ตอนนั้น ก็คือการ เปลี่ยนเหล็กให้เป็นทอง ด้วยอิทธิฤทธิ์ของ ศิลานักปราชญ์
และเป็นไปได้ว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้ อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผลักดันให้ บรันท์ ต้องออกตามหา สิ่งที่จะทำให้โชคชะตา และ ความหวัง ในการมีชีวิตอยู่ของเขามีความหมายมากขึ้น
และการออกตามหาความหมายของ บรันท์ จะนำมาซึ่งการค้นพบ และจุดของความเชื่อเรื่องลี้ลับ อย่างที่เขาเองก็คาดไม่ถึง...
บรันท์
ภารกิจออกตามหาศิลานักปราชญ์ของบรันท์ เกิดขึ้นเมื่อเขาปลดประจำการ และ เดินทางกลับบ้านที่เยอรมัน พร้อมกับความมุ่งมั่น ที่จะค้นหาศิลานักปราชญ์ที่ใครหลายคนก็อยากเจอ
ต้องเล่าอย่างนี้ครับ คือศิลานักปราชญ์เนี่ย มีคนเขียนสูตรการสร้างทิ้งไว้แล้ว เป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้ ที่หนักกว่านั้นคือ เขียนอะไรก็ไม่รู้ ต้องมาถอดความกันอีกต่อหนึ่ง อย่างเพลิงมังกร ก็ต้องมาแปลว่าเกี่ยวอะไรกับไฟ สรุปสั้นๆก็คือการเอาอันนั้นอันนี้มาผสมรวมกัน นั่นหมายความต้องใช้เงินซื้อวัตถุดิบ...
แต่คำถามคือ จะทำอย่างไรเมื่อไม่มีเงินทุน?
แม้เขาเป็นแค่ทหารที่ปลดประจำการ ไม่มีเงินเดือนบำเหน็ดบำนานเหมือนสมัยนี้ แต่ปัญหานี้สำหรับ บรันท์ แก้ไขง่ายมาก เขาก็แค่หาเมีย(ภรรยา) ที่รวยกว่าสักสิบเท่าเพื่อมาเป็นนายทุน
ต่อมาเขาก็ต้องเลือกว่าจะเรียนอะไรดี ที่จะมีความรู้ไปผสมทำศิลาฯ หวยจึงมาออกที่การทำเครื่องแก้ว เพราะการทำเครื่องแก้วให้เป็น คือสกิลพื้นฐานของทั้งหมด
หลังจากที่บรันท์มีสกิลพื้นฐาน เริ่มศึกษาลงลึก และเป็น alchemist หรือ นักเล่นแร่แปรธาตุแบบเต็มตัว แล้วก็ลองทำตามวิธีคนอื่นไปเรื่อยๆ แต่เมื่อทำตามแล้วไม่ได้ เขาจึงเริ่มสร้างอย่างอื่น ที่ต่างออกไป...
ทองคำ คือเป้าหมายที่ต่างออกไปของเขา และก็ต่างออกไปจริงๆ เพราะเขาหาวิธีได้ ระหว่างที่ยืนมองฉี่ตัวเอง
"เห้ยมันสีทอง!"
นั่นล่ะฮะ ... จากนั้นเขาก็เลยไปหาหนังสืออ่าน หาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับของเหลวที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย
เดชะบุญ ในนั้นบอกว่า ของเหลวในร่างกาย คือ ยาอายุวัฒนะ (ไม่งั้นเราจะมีชีวิตได้ไง เอ้อ ก็มีเหตุผล)
และน้ำปัสสาวะคือทางออกของสิ่งๆนั้น(ครีเอทสุดๆ)
ยิ่งมีเรื่องพระเจ้าเป็นผู้สร้างมนุษย์เป็นความเชื่อเดิมอยู่แล้ว ยิ่งเป็น back up ที่ทำให้เขาเชื่อสุดฤทธิ์เลยว่า ...
"ทองคำต้องอยู่ในนั้น!!"
มาเป็นแกลลอน
สิ่งแรกที่เขาทำก็คือการไปขอ "ฉี่" จากเพื่อนบ้านรอบๆ โดยไม่ได้บอกว่าจะเอามาทำอะไร แต่เพื่อนบ้านเองก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ เพราะฉี่ในยุคนั้นก็ทำประโยชน์ได้ตั้งหลายอย่าง...
จะใช้แทนปุ๋ย ก็ได้
จะใช้ทำสวน ก็ดี
ใช้แช่หนัง(ให้นุ่ม) ก็น่าสนใจ
หรือแม้แต่เป็นยาสีฟันขจัดหินปูนภายใน ก็ทำได้หมด
หลังขอมาได้ราวๆ 1,000 แกลลอน ก็เริ่มด้วยการต้มจนเดือด
ทิ้งไว้จนเหลือแต่ตะกอน
ปล่อยให้หนอนแห่มาขึ้น
ยกเอาไปเผาพร้อมกับทราย
สุดท้ายออกมาเป็นตะกอนแข็งๆขาวๆ บนตะแกรง...
ตะกอนที่เขาสกัดออกมา ดันเรืองแสงได้เหมือนหลอดไฟนีออน เขาเลยเรียกตะเรืองแสงนี้ว่า "light bearer" หรือในชื่อภาษากรีก ว่า ฟอสฟอรัส(phosphorus)
ใช่ครับ ธาตุฟอสฟอรัส(P)ในตารางธาตุนั่นแหละ...
เรารู้แล้วว่า ร่างกายใช้ฟอสฟอรัส ในการสร้างฟันและกระดูก แต่ฟอสฟอรัสนั้น ไวต่อปฏิกิริยามากๆ ไม่แปลกที่ร่างกายจะต้องขับทิ้งในบางครั้ง แต่กับคนในยุคนั้น ที่วิทยาศาสตร์ยังไม่ก้าวหน้า ยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้
... ซึ่งบรันท์ก็ไม่รู้!
เพราะตั้งเป้าว่าจะสกัดทองคำ แต่ได้หินเรืองแสงที่ไม่มีใครเคยเห็น เป็นใครจะไม่คิดว่าตัวเองเจอศิลาฯ...
บรันท์ เอาตะกอนเรืองแสงของเขา ออกไปโชว์ต่อสาธารณะชน ซึ่งคนที่เห็น ต่างก็นึกว่ามันคือศิลานักปราชญ์จริงๆ ก็เลยรีบกลับบ้านทดลองตามกันยกใหญ่ โดยที่บรันท์ไม่ได้ให้สูตรใครไป และยังคง งง ว่าทำไมมันไอ่หินนี้มันทำอะไรไม่ได้เลย
แต่ใครๆก็รู้ ว่าความลับไม่มีในโลก ...
ในที่สุดก็จะมีคนทำสำเร็จ ...
และความสำเร็จที่เกิดขึ้นนี้ จะทำให้คนได้รู้ความจริงว่า มันไม่ใช่ศิลาฯอะไรนั่นอย่างที่บรันท์พูดหรอก มันก็แค่สารประกอบชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในปัสสาวะเท่านั้นเอง
แต่ในที่สุดสารประกอบชนิดนี้จะนำมาซึ่งการค้นพบบางอย่าง
.
.
และเป็นบางอย่าง ที่สำคัญกับยุคอุตสาหกรรมสุดๆ!!
โรเบิร์ต บอยล์
ก่อนที่บรันท์จะลาโลกไป เขาขายสูตรลับให้กับเพื่อนคนหนึ่ง โชคไม่ดีที่สูตรลับที่เขาขายไปดันรั่วไหลสู่ฝูงชน และหนึ่งในฝูงชนนั้นคือนักเคมีผู้เก่งกาจ อย่างโรเบิร์ต บอยล์ ที่รู้แล้วว่ามันทำมาจาก "ฉี่"
"บอยล์" ก็เอาเรื่องที่หลุดมาจาก "บรันท์" ไปทดลองต่อ จนสกัดตะกอนออกมาได้ แบบที่ บรันท์ เรียกมันว่าฟอสฟอรัสแบบเป๊ะๆ และ บอยล์ รู้ว่ามันไม่ใช่ศิลาอย่างที่ บรันท์ พูด มันไม่มีฤทธิ์อย่างอื่นเลย นอกจากเรืองแสงเหมือนหลอดไฟ
จากนั้นมาเขาก็เริ่มทดลองกับสารอื่นๆ เริ่มทดลองเพิ่มอีก และเริ่มตั้งคำถามถึงการมีอยู่ของศิลานักปราชญ์มากขึ้นเรื่อยๆ
บอยล์ เริ่มวางรากฐานในสิ่งที่เขาทำ จดบันทึกในสิ่งที่เขาเจอ เกิดเป็นกฏหลายข้อที่สำคัญจนกลายเป็นสาขาวิชาใหม่ ที่แยกออกจากการเล่นแร่แปรธาตุ และ ตำนานที่พิสูจน์ไม่ได้อย่างสิ้นเชิง...
นั่นคือวิชาเคมี (Chemistry)
วิชาเคมีของ บอยล์ มีความสำคัญอย่างมากในเรื่องของการหลอมเหล็กและการทำเหมืองในอีกร้อยปีข้างหน้า เพราะเป็นช่วงเวลาที่ยุโรปกำลังเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม
เกิดโรงงาน เกิดเครื่องจักร เกิดเมืองใหญ่ แต่ฟอสฟอรัสของ บรันท์ ก็สำคัญไม่แพ้กัน...
ปฏิวัติอุตสาหกรรม
การหลอมเหล็ก การเดินเครื่องจักร หรือการสร้างเรือกล ล้วนแต่ต้องเริ่มต้นด้วยการจุดไฟเพื่อเปลี่ยนเชื้อเพลิงเป็นความร้อน
แต่การจุดไฟในยุคนั้นยังทำแบบมนุษย์ยุคหิน ยังเอาเหล็กมาเสียดสีกันให้เกิดประกายไฟแบบคนป่า แม้ตอนนั้นจะเริ่มมีคนคิดค้นวิธีจุดไฟแบบง่ายๆมาบ้าง แต่มันก็ไม่ปลอดภัย และใช้ต้นทุนค่อนข้างสูง(เพราะผสมหลายอย่าง)
จนกระทั่งมีคนไปสกัดฟอสฟอรัส(ขาว)ออกมาได้จากเถ้ากระดูก อุตสาหกรรมนี้ก็เริ่มกลับมาบูมอีกครั้ง
นักวิทย์เก่งๆลองหยิบฟอสฟอรัส(ขาว)ไปทดลอง เพราะฟอสฟอรัสธาตุ(ขาว)ไวต่อปฏิกิริยา
และการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ เป็นเหตุผลที่ฟอสฟอรัส เรืองแสงได้ในอากาศ เมื่อนำไปเสียดสี จึงง่ายที่จะติดไฟ ในที่สุดก็ถูกต่อยอดเป็นสิ่งที่เรียกว่า self-ignition หรือภาษาบ้านเรา เรียกว่า ไม้ขีดไฟ(Match)
ไม้ขีดไฟในตอนนั้นติดไฟง่ายขึ้น แต่ก็ยังอันตราย เพราะผงของมันก่อโรคร้ายได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ฟอสฟอรัส(ขาว)ในวันนั้น ถูกต่อยอดมาเป็นฟอสฟอรัส(แดง) ที่ปลอดภัยมากขึ้น อันตรายน้อยลง ...
และกลายมาเป็นไม้ขีดไฟ ที่เราได้ใช้กันในวันนี้นั่นเอง!
จากจุดเริ่มต้นของทหารผ่านศึกคนนึงที่แค่ต้องการสกัดทองคำจากฉี่ของเพื่อนบ้าน ผลปรากฏคือตะกอนอะไรไม่รู้ที่เรืองแสงได้
เขาจบชีวิตลงโดยที่ไม่เจอศิลาฯ ไม่เจอทองคำ แต่จุดจบของเขาได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นให้กับนักเล่นแร่แปรธาตุหลายๆท่าน
โรเบิร์ต บอยล์เอา(ฉี่)ไปทดลองต่อ ซึ่งเขาก็เริ่มรู้ว่ามันไม่ใช่
1
เขาตั้งคำถามกับศิลานักปราชญ์ เหมือนที่บาทหลวงลูเธอร์ตั้งคำถามกับใบไถ่บาป
เขาเริ่มศึกษามากขึ้น เริ่มวางแบบแผน วางกฏเกณฑ์จนเกิดเป็นสาขาวิชาใหม่ที่ชื่อว่าเคมี ซึ่งแยกเรื่องวิทย์ กับเรื่องเวทย์ ออกจากกันอย่างสิ้นเชิง
จากนั้นเคมีก็กลายเป็นส่วนสำคัญในยุคอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เครื่องจักรและเชื้อเพลิงแต่ยังมีปัญหาเรื่องการจุดไฟ วิชาเคมีถูกต่อยอดให้เกิดเป็นไม้ขีดไฟในที่สุด
และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของการหาแร่ทองในฉี่ของเพื่อนบ้าน สู่การเกิดขึ้นของวิชาเคมี และการค้นพบไม้ขีดไฟ
วันนี้อาจจะยาวเกินไปสักหน่อย แต่ผมจะพยายามให้ไม่ยาวแบบน่าเบื่อ หวังว่าเรื่องราวในวันนี้ทุกคนจะชอบไม่มากก็น้อยนะครับ
ขอบคุณที่อ่านกันจนถึงตรงนี้ครับ😁
#WDYMean
ถ้าชอบหรือถูกใจก็ฝาก
#กดไลค์ 👍
#กดติดตาม✋
เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะครับบ😆
#อ้างอิงจาก
-ศิลานักปราชญ์
-ค้นพบฟอสฟอรัสจากการหาทองคำในปัสสาวะ
-ต้นฉบับของนิวตัน
-สงคราม 30 ปี
-โรเบิร์ต บอยล์
-ไม้ขีดไฟ
โฆษณา