Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ฅนเล่าตำนาน
•
ติดตาม
6 ก.ย. 2020 เวลา 05:47 • ท่องเที่ยว
เล่าอีกสักเรื่องนะ “เขาอังคาร” 10 ปีที่แล้ว
แทบจะเรียกได้ว่าเรื่องเล่าทุกเรื่องที่ผมเล่ามา ไม่มีเรื่องไหนจะพ้นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในเขตอีสานใต้ไปได้เลย อันที่จริงก็ไปเที่ยวทุกภาคนั้นแหละโดยเฉพาะภาคเหนือ จ.เชียงใหม่นั้นแทบจะเที่ยวทุกวันหยุดเลยก็ว่าได้ สมัยทำงานอยู่ภาคเหนือ แต่ทำไมเวลาจะหยิบมาเล่ามาเขียนเป็นเรื่องราวจะนึกถึงและอยากเล่าเรื่องราวของวัฒนธรรมคนอีสานใต้เป็นเสียส่วนใหญ่
ครั้งนี้ก็เหมือนกัน อยากจะเล่าถึงโบราณสถานที่น้อยคนนักจะเข้าไปถึง “วัดเขาอังคาร” จ.บุรีรัมย์ แค่ชื่อก็อยากไปละ ชื่อเหมือนวันเกิดคนเขียนไม่พอ ยังชอบที่ไปชื่อพ้องกับดาวอังคารอีก เรื่องเล่าตอนนี้ก็หลายปีผ่านมาละ หลังจากกลับมาจากเที่ยวเขาพนมรุ้ง เห็นมีเวลาเหลือเยอะ ขณะขับรถขากลับสุรินทร์บนเส้นทาง 24 ขับผ่านป้ายข้างทางเขียนว่า “วัดเขาอังคาร” ไม่รู้อะไรดลใจ ทำให้ผมจอดรถในทันที
“จอดรถทำไมพจน์” พี่แมวหัวหน้าคณะถาม
พี่แมว เราเข้าไปดูกันมั่ย วัดเขาอังคารอะไรนี้ ผมพูดกับพี่แมวหัวหน้าชุด
“ไปสิ เวลาเหลืออยู่เยอะกว่าจะค่ำ” พี่แมวตอบรับแล้วหันไปพูดกับน้องๆในทีมงานอีกคน
ไปมั่ยมน ลองเข้าไปดูเขาอังคารกัน พี่แมวหันไปถามน้องๆในคณะ
“พี่จะมาถามหนูทำไม รถคันเดียวกัน พี่เขาเป็นคนขับรถ พี่แมวว่าจะไป พี่เขาจะไป จะให้หนูปฎิเสฐยังงัย ถ้าหนูไม่ไปให้หนูเดินกลับคนเดียวนะ น้องมนตอบ
“พี่ถามคำเดียวมันตอบพี่จนจุก” พี่แมวหัวเราะพร้อมเอ่ยปากออกมา
สรุปมติเป็นเอกฉัน เราจะไปเขาอังคารกัน เลี้ยวรถเข้ามาตามทางลาดยาง เป็นทางหลวงชนบทที่ไม่ใหญ่โตสะดวกสบายแบบทางไปเขาพนมรุ้ง แถมครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราทุกคนจะไปเที่ยวเขาอังคารกัน อาศัยเพียงป้ายบอกระยะทาง สภาพถนนก็มีดีมีขุขระบ้างตามประสาถนนทางหลวงชนบท จากถนนที่คดเคี้ยวเลี้ยวไปเลี้ยวมา เริ่มเข้าสู่ถนนในชุมชน
“เดียวออกกำลังกายกันหน่อยนะครับ ต่อนี้ไปทางน่าจะตื่นเต้น สมแล้วที่บอกทางไปดาวอังคาร” ผมแกล้งพูดสร้างอารมขันให้ทีมงานเพราะมีบางคนเริ่มแสดงออกทางสีหน้าว่า กูไม่น่ามาเลย
ไม่ทราบว่าเราเข้ามาถูกทางหรือเปล่า เพราะพอมาถึงบริเวณเนินเขาแห่งนี้ ก็ไม่มีใครหรือนักท่องเที่ยวกลุ่มใดมาเลย เราหาที่พอจะจอดรถได้เป็นบริเวณราบตรงเนินทางขึ้นเขา และต้องเดินเท้าขึ้นต่อไปอีกสัก 300 เมตรเป็นทางลาดไม่มีขั้นบันได
วัดเขาอังคารเป็นวัดที่มีอายุเป็นพันปี อยู่บนภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้วตั้งแต่ยุคดึกดำบรร วัดนี้น่าจะสร้างมาตั้งแต่สมัยขอมเรืองอำนาจ คาดว่าจะมีอายุกว่า 1300 ปี เพราะมีการค้นพบปฎิมากรรมหลายยุคหลายสมัยผสมปนเปกันไปในสถานที่แห่งนี้ รวมถึงใบเสมาธรรมจักรในทางพุทธศาสนาที่ทำจากหินทรายอายุเก่าแก่กว่า 1000 ปี
เราทั้ง 3 คนเดินขึ้นตามทางลาดจนถึงยอดเขา ความสูงยอดเขาที่นี้คงพอๆกันกับเขากระโดงหรือเขาสวายในจังหวัดสุรินทร์ ธรรมชาติยังสวยงามแต่เสียดายช่วงที่นี้เป็นช่วงหน้าแล้งใบไม้กำลังผลัดใบ และทางวัดเองก็กำลังปรับปรุงทัศนียภาพของสถานที่ มีการสร้างโบสถ์ใหม่ครอบของเดิม ที่น่าสนใจคือพระประธานในโบสถ์น่าจะเป็นของดั้งเดิมศิลปะขอมอย่างขัดเจน ภายในบริเวณวัดมีใบเสมาธรรมจักรโบราณอายุนับฟันปี จำนวนหลายคู่ตั้งโดยรอบบริเวณวัด
อีกฝั่งของวัดมีหน้าผาแต่ไม่ชันมากเราสามารถเดินดูได้แต่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ อย่างที่บอกวัดนี้ตั้งอยู่บนภูเขาไฟที่ดับแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะพบกับหินเป็นชั้นบางๆหนาๆซ้อนกันเป็นแผ่นเกล็ดจำนวนมาก หลายๆคนหลายคู่ๆจึงนิยมเอาหินแผ่นเหล่านั้นมาตั้งซ้อนกันให้สูงที่สุดโดยห้ามล้มหรือฟัง ซึ่งมีความหมายถึงการช่วยกันสร้างรากฐานชีวิตให้มั่นคง
“มน มาช่วยพี่ตั้งเจดีย์หินหน่อย ชาติหน้าฉันใดเราจะได้ครองคู่กันทุกชาติไป” ผมตะโกนบอกน้องมนไป
“เสียใจค่ะ หนูมีคนที่จะรวมสร้างเจดีย์ด้วยกันแล้ว” น้องมนตอบกลับมาขณะพยายามก่อกองหินเป็นเจดีย์
“เพล้ง!!! หน้าแตกหมอไม่รับเย็บ” เสียงพี่แมวแซวมาข้างหลัง
เราเดินสักการะพระพุทธบาทจำลองและพระประธานโบราณ จนรอบ น้องมนและพี่แมวนั่งพักกันอาคารที่กำลังก่อสร้าง ซึ่งดูๆไปถ้าสร้างเสร็จคงสวยงามมากอีกแบบ มีหลายสิ่งหลายอย่างกำลังเปลี่ยนแปลงไปภายในวัดนี้
ในขณะที่2คนนั่งพักผมก็เดินลัดเลาะดูไปเรื่อยรอบเขา ผมรู้มาว่าที่นี้คือวัดที่ตั้งบนภูเขาไฟ(จากป้ายแนะนำนักท่องเที่ยวในวัด) ย่อมมีอะไรที่พิเศษกว่าที่อื่น แม้นจะผ่านมานานเป็นพันๆปีแต่สถานที่แห่งนีกลับไม่ค่อยมีคนมาย่างกรายมากนักไม่น่าจะยากที่ผมจะเจออะไรที่ผมจะตามหาอยู่
ขณะเดินลอดอาคารที่กำลังก่อสร้างฝั่งหน้าผา ผมก็เห็นพระภิกษุองค์หนึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่ ผมเลยเข้าไปกราบไหว้ท่าน
เจริญพรเถอะโยม นี้มาจากไหนละ หลวงพ่อท่านถาม
กระผมมาจากจังหวัดสุรินทร์ครับ พอดีขับรถผ่านเห็นป้ายเลย ใจก้อยากเข้ามาทันทีเลยเลยครับ ผมตอบหลวงพ่อไป
ดีแล้วละโยม แล้วไหว้พระประธานมาหรือยัง ท่านศักดิ์สิทธิ์มากนะ ท่านจำพรรษามาที่นี้ตั้งแต่โบราณกาลแล้ว หลวงพ่อท่านเสริมข้อมูลที่ผมสงสัย
ครับหลวงพ่อ ผมตอบออกไปขณะที่ผมจะถามอะไรออกไปอีกหลวงพ่อก็พูดออกมาก่อนว่า
“อย่าสงสัยอะไรให้มากเลยโยม เรื่องบางอย่างก็ไม่ควรรับรู้ ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่มีเรื่องบังเอิญ มันมีเหตุและผล หรือกรรมเป็นตัวชักนำให้โยมต้องเจอ” หลวงพ่อท่านเทศนาให้ฟัง ซึ่งทำให้ผมหมดคำถามไปโดยปริยาย
“เอายื่นมือมา เจอกันท่านบอกว่าย่อมมีวาสนา อาตมามีของให้โยมใว้ติดตัวนะ” หลวงพ่อบอก
ผมยื่นประคองมือยื่นออกไป แล้วหลวงพ่อก็วางของบางอย่างใส่มือผมแล้วให้ผมกำไว้
“เอาไว้ติดตัวนะ ถึงเวลาต้องไปกรุงเก่าอย่าลืมเอาติดตัวไปด้วย” ผมพนมมือสาธุ ว่าจะถามต่อที่หลวงพ่อพูดหมายถึงอะไร หลวงพ่อก็กล่าวออกมาก่อน
“ถึงเวลาโยมจะรู้เอง” หลวงพ่อบอก
“กลับไปได้แล้วโยม อาตมาจะอ่านหนังสือต่อ” หลวงพ่อบอก
ผมกราบหลวงพ่อแล้วขอตัวกลับ ขณะเดินไต่ขึ้นเพื่อจะไปหาพี่แมวและน้องมน มือยังกำของที่หลวงพ่อไว้แน่นโดยที่ยังไม่แบมือดูว่ามันคืออะไร ก็หันกลับไปดูหลวงพ่ออีกครั้ง ท่านยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เดิมโดยปกติ
“ไปไหนมาพจน์ ไอ้มนบอกว่าเห็นเองเดินมาหลังตึกแว๊บๆ” พี่แมวถาม
“ผมไปคุยกับหลวงพ่อ ท้ายตึกข้างล่างป่าตรงโน้นมาครับพี่” ผมตอบ
“พระที่ใหน วัดนี้ไม่มีพระจำพรรษาหรืออาศัยอยู่ที่นี้หรอก” พี่แมวตอบ
“มีสิพี่ผมไปคุยกับท่านมาแล้ว แถมหลวงพ่อท่านยังให้ของดีผมมาเลย” ผมตอบพี่แมวไปพร้อมแบมือให้ทั้ง 2 คนดู
สิ่งที่อยู่ในมือผมคือ หินภูเขาไฟหรือที่หลายคนๆรู้จักในชื่อ “ขี้เหล็กไหล”
หินอะไรพจน์ พี่แมวถาม
ผมไม่ตอบเพราะไม่รู้จะพูดอะไรออกไปเพราะสิ่งที่หลวงพ่อให้มาคือ สิ่งที่ผมตามหามาตลอด
“มันคือเหล็กไหลอัคคีครับพี่หรือก็คือขี้เหล็กไหล”
🙄🙄🙄ร่วมสนับสนุน เรื่องสั้นอิงประวัติศาสตร์อีสานใต้ผ่าน "ทรูวอลเลตหรือพร้อมเพย์" ได้ที่เบอร์ 0953319356 😍😍😍😍ขอบคุณล่วงหน้าครับ😂😂😂
ภาพเสมาพันปี CR:จากเพจกลุ่มวัดการท่องเที่ยวเชิงพุทธศิลป์
บันทึก
2
4
2
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย