6 ก.ย. 2020 เวลา 11:53 • ประวัติศาสตร์
"ขังหลวง" หรือ "จำสนม" คือ การลงโทษแก่ฝ่ายในที่ทำผิด
"ขังวังหลวง" นั้น มีความหมายคือ การเชิญไปประทับที่ตำหนักในพระบรมมหาราชวัง แต่อาจเสด็จไปที่ต่างๆ ได้ ไม่ได้จำกัดอิสรภาพเช่นผู้ที่ถูกคุมขังทั่วไป เพียงแต่จำกัดอิสรภาพในการเลือกคู่ครอง เพราะถือว่า ได้ทรงถวายตัวเป็นคนของหลวงแล้ว จะไปเสกสมรสกับบุคคลอื่นไม่ได้เว้นแต่จะได้รับพระบรมราชานุญาต
ในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงพระราชทานโซ่ทองคำแก่นางเฒ่าแก่และท้าวนางจ่าโขลน ไปเกาะกุมพระองค์เจ้าวัลลภาเทวี อดีตพระคู่หมั้น มาติดศาลาภายในพระบรมมหาราชวัง แต่ด้วยทรงพระทิฐิมานะ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวีจึงไม่ทรงทูลขอพระราชทานอภัย ด้วยเหตุนี้ จึงทรงถูกจำขังลงโซ่ตรวนทองคำอยู่ในพระบรมมหาราชวังนับแต่นั้นจนตลอดทั้งรัชกาล
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี เป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ กับหม่อมอินทร์ วรวรรณ พระนามเดิมว่า หม่อมเจ้าหญิงวรรณวิมล วรวรรณ และมีพระนามเรียกกันในหมู่พระญาติว่า “เตอะ” หรือ “ขาว”
ส่วนเรื่องที่คาดเดากันว่าอาจจะเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ไม่ทรงพอพระทัยนั้น คือ เรื่องพระวรกัญญปทาน แสดงกริยาและกล่าวดูถูกมหาดเล็กหุ้มแพร คนสนิทของพระเจ้าอยู่หัว (พระยารามราฆพ) ก็มีการเล่าขานสืบต่อมาดังจะกล่าวนี้
ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 เสด็จฯ โดยรถยนต์หรือรถม้าไม่แน่ชัดพร้อมด้วยพระวรกัญญาปทาน โดยมีเจ้าพระยารามราฆพ ซึ่งเวลานั้นยังเป็นพระยาประสิทธิ์ศุภการ ผู้ช่วยสมุหราชองครักษ์โดยเสด็จฯ ตามตำแหน่ง
เมื่อถึงที่หมายเจ้าพระยารามฯ ลงไปรอรับเสด็จที่ประตูรถตามหน้าที่ เมื่อพระวรกัญญาปทานจะเสด็จลงจากพระราชพาหนะก่อนที่ล้นเกล้าฯ จะเสด็จลง เจ้าพระยารามฯ ได้ยื่นมือไปรอรับเสด็จเพื่ออำนวยความสะดวกในเวลาเสด็จลงจากรถตามธรรมเนียมฝรั่ง พระวรกัญญาปทานทรงชักพระหัตถ์หนีพร้อมมีรับสั่งตำหนิเจ้าพระยารามฯ ด้วยถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม ล้นเกล้าฯ จึงกริ้วและเป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระพิโรธ และประพันธ์กลอนเชิงบริภาษว่า
"อย่าทะนงอวดองค์ว่างามเลิศ สวยประเสริฐยากที่จะเปรียบได้
อย่าทะนงอวดองค์ว่าวิไล อันสุรางค์นางในยังมากมี
อย่าทะนงอวดองค์ว่าทรงศักดิ์ จะใฝ่รักแต่องค์พระทรงศรี
นั่งรถยนต์โอ่อ่าวางท่าที เป็นผู้ดีแต่ใจไพล่เป็นกา
อย่าดูถูกลูกผู้ชายที่เจียมตน อย่าดูถูกฝูงชนที่ต่ำกว่า
อย่าทะนงอวดองค์ว่าโสภา อันชายใดฤๅจะกล้ามาง้องอน"
ทางอีกฝ่ายหนึ่ง โดยสาเหตุที่ต้องโทษนั้น เป็นเพราะพระวรกัญญาปทานนั้นไม่พอพระทัยพระเจ้าอยู่หัว (ไม่แน่ชัดว่าเรื่องใด) จึงทรงคั่นหน้าบทละครเรื่องศกุนตลาและขีดเส้นเน้นข้อความในตอน ฤษีทุรวาสสาปท้าวทุษยันต์ให้ลืมนางศกุนตลา ว่า
"ทรงภพผู้ปิ่นโปรพฦาสาย
พระองค์เองสิไม่มียางอาย พูดง่ายย้อนยอกกรอกคำ
มาหลอกลวงชมเล่นเสียเปล่าๆ ทิ้งให้คอยสร้อยเศร้าทุกเช้าค่ำ
เด็ดดอกไม้มาดมชมจนช้ำ ไม่ต้องจดจำนำพา
เหมือนผู้ร้ายย่องเบาเข้าลักทรัพย์ กลัวเขาจับวิ่งปร๋อไม่รอหน้า
จงทรงพระเจริญเถิดราชา ข้าขอลาแต่บัดนี้"
จวบจนเสด็จสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ พระราชทานอภัยโทษแก่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี ในรัชกาลของพระองค์นั่นเอง โดยให้ปลดปล่อยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี ออกจากพระบรมมหาราชวัง และพระราชทานวังที่ประทับให้อยู่บริเวณสี่แยกพิชัย ซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ พระบิดา ประทานชื่อว่า พระกรุณานิเวศน์ ขณะทรงได้รับการปล่อยออกมานั้น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี มีพระชนมายุ 33 พรรษา ทรงประทับอยู่ที่พระกรุณานิเวศน์ และสนพระทัยในพระพุทธศาสนาตลอดมา
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี ได้เข้าประทับรักษาพระองค์ในโรงพยาบาลศิริราชด้วยโรคพระวักกะพิการ เป็นเวลา 60 วัน โดยพระองค์ได้สิ้นพระชนม์ด้วยพระอาการสงบ ในเวลา 06.07 นาฬิกาของวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2494 สิริพระชนมายุได้ 58 พรรษา 5 เดือน และทรงได้รับพระราชทานเพลิงพระศพ ณ วัดเบญจมบพิตร เมื่อวันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา