7 ก.ย. 2020 เวลา 03:35 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Come and See
Elem Klimov, 1985, Soviet Union
บันทึกความโหดร้ายของสงครามโดยชาวรัสเซีย
Come and See เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่ม ‘ฟลีโอรา’ ที่ต้องจากบ้านในเขต ‘เบียโลรัสเซีย’ (Bellarussia) ไปเข้าร่วมกองทัพโซเวียตเพื่อต่อต้านการรุกรานของเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเหตุการณ์นี้ก็ทำให้เขาได้รับรู้ถึงความรุนแรงโหดร้ายของกองทัพนาซีเยอรมัน ทั้งการรีดไถ ข่มขืน และสังหารหมู่ชาวบ้าน ประสบการณ์นี้ของฟรีโอร่าจึงเปรียบเสมือนบันทึกความแค้นของคนรัสเซียที่มีต่อกองทัพนาซีเยอรมัน
หนังเรื่องสุดท้ายของผู้กำกับ Elem Klimov ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลสหภาพโซเวียต ในวาระฉลองครบรอบ 40 ปีที่โซเวียตได้รับชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาบอกว่าจริงๆหนังเรื่องนี้ไม่ใช่ความภาคภูมิใจของเขาเลยที่จะส่งต่อ ‘ความชั่วร้าย’ เหล่านี้ให้กับลูกหลานของตนเองได้ดู ว่าครั้งนึงเคยมีเรื่องประเภทนี้เกิดขึ้น อีเลมเป็นผู้กำกับที่ประสบกับภัยจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยตนเอง ทำให้หนังปรากฏทัศนคติของผู้กำกับที่อยู่ในงานอย่างเห็นได้ชัดว่าผู้กำกับรู้สึก ‘แค้น’ นาซีเยอรมันมากๆ รวมถึงแค้น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ซึ่งอารมณ์เหล่านี้เราจะนำไปพูดในพารากราฟถัดๆไป
Elem Kilmov (คนซ้าย) ผู้กำกับ Come and See
บทหนังใช้เวลาถึง 8 ปีในการเขียน อันเริ่มต้นจากหนังสือ I am from the Burning Village พอหนังเข้าฉายก็มีผู้ชมล้นหลาม จนถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของโซเวียตไปประกวดรางวัลออสการ์หนังต่างประเทศในปีนั้น สำหรับชื่อเรื่อง ตอนแรกหนังจะใช้ชื่อว่า ‘Kill Hitler’ แต่เปลี่ยนเป็น ‘Go and Look’ หรืออ่านเป็นภาษารัสเซียว่า ‘Idi i smotri’ (อิดี อี สโมตรี) และในท้ายที่สุดกลายเป็น Come and See ซึ่งอ้างอิงจากหนังสือวิวรณ์ในศาสนาคริสต์ โดยเป็นคำเชื้อเชิญให้ ‘มาและดู’ การทำลายล้างโลกของสี่จตุรอาชาแห่งวันโลกาวินาศ
นักแสดงหลักของเรื่องชายหญิงเป็นการแคสติ้งที่ใช้เด็กที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อน ทั้งตัวนักแสดงชายอย่าง Aleksey Kravchenko และนักแสดงหญิง Olga Mironova ที่ให้แววตาของหนุ่มสาวที่เพ้อฝัน อยากจะหนีจากโลกแห่งความเป็นจริงได้เยี่ยมยอด มีข้อมูลว่า Aleksey Kravchenko เกิดอาการเครียดมากจากหนังที่มีเนื้อหาที่รุนแรงเต็มไปหมด จนส่งผลให้ผมของเขากลายเป็นสีขาว โดยหากเราสังเกตในตอนท้ายของเรื่อง ผมของคราฟเชนโกก็เป็นสีขาวจริงๆเพราะได้รับผลกระทบจากการแสดง (ตรงนี้ทำให้นึกถึง Oliwia Dabrowska ที่แสดงเป็น ‘เด็กชุดแดง’ ในหนังสงครามอีกเรื่องอย่าง Schindler's List ที่พอได้ดูหนังที่ตัวเองเล่นก็แทบทนดูไม่ไหวเนื่องจากหนังมันโหดร้ายเกินไป)
Aleksey Kravchenko เครียดจนผมกลายเป็นสีขาว
การถ่ายภาพ
เท่าที่ได้ดูหนังของโซเวียตรัสเซียมาก็จะเห็นถึงความโดดเด่นของการถ่ายภาพ ทั้งการจับบรรยากาศในขณะนั้น และการใช้ขนาดภาพเพื่อสื่อสารอารมณ์ หนังถ่ายภาพโดย Aleksei Rodionov ช็อตส่วนใหญ่ที่ปรากฏในหนังมักจะเป็น Close-Up Shot หรือให้ตัวละครหันมาหากล้องโดยดื้อๆ เป็นการสื่อสารถึงความจริงที่พวกเขากำลังเจออยู่ นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง การใช้เทคนิคการสื่อสารลักษณะนี้ทำให้ความสะเทือนใจเกิดขึ้นแก่ผู้ชม ทั้งกล้องยังถ่ายในระยะ Close-up ก็ยิ่งทำให้เราได้มองเห็นหน้าของตัวละคร เห็นริ้วรอย เห็นน้ำตาของตัวละครได้ชัดเจนขึ้นอีก ทั้งนี้เรื่องริ้วรอยบนใบหน้าต้องชื่นชมทีม Make up ด้วยที่สามารถสร้างสรรค์ใบหน้าอันบอบช้ำของผู้คนในสงครามได้อย่างเข้าถึงอารมณ์ และนอกจาก Close Up Shot ดังกล่าวแล้ว หนังยังสร้างพื้นที่ในการสร้างช็อตที่สวยออกมาได้อย่างหมดจด ซึ่งจะเป็นงานภาพที่เป็นภาพขนาดกว้าง ให้อารมณ์แบบธรรมชาตินิยม จับไปที่ทิวทัศน์ ต้นไม้ใบหญ้า เหมือนงานภาพของผู้กำกับรุ่นพี่อย่าง Andrei Tarkovsky ซึ่งหนังจะใช้งานภาพที่ให้อารมณ์ลักษณะนี้ในขณะที่ตัวละครรู้สึกเพ้อฝัน
หนังรัสเซียมักจะมาพร้อมงานภาพที่สวยงาม
การตัดต่อ
การตัดต่อเป็นแบบเรียงซีเควนซ์ตั้งแต่ต้นเรื่องถึงกลางเรื่อง หนังไม่ได้มีการเล่าแบบจะให้อารมณ์พลุ่งพล่านสวิงสวาย แต่จะค่อยๆเรียงลำดับเป็นสถานีให้ตัวละครค่อยๆพบเจอกับความโหดร้ายของสงครามที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ จนถึงไคลแมกซ์ที่หนังระเบิดออกในฉากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ในเรื่องการตัดต่ออาจจะพูดได้ว่านี้เป็นหนังที่มีประเด็นของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่แข็งแรงอยู่แล้ว ที่สะเทือนจิตใจคนดูอยู่แล้ว พอมาอยู่ในการตัดต่อแบบเรียงลำดับปกติมันจึงเป็นการตัดต่อที่ไม่หวือหวาแต่ทรงประสิทธิภาพมากๆ ที่สำคัญคือหนังมักจะสร้างกลิ่นของความสยองขวัญอยู่เป็นระยะๆ โดยการตัดภาพเร็วๆ 3-5 วินาทีในการแทรกภาพของฝูงชนที่นอนตายกันเกลื่อนเข้ามา ท่ามกลางภาพอื่นๆที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันเงียบสงบ เป็นต้น และในองก์สุดท้ายของหนัง หนังก็ใช้รูปแบบการตัดต่อที่ค่อนข้างจะอัพเกรดความหวือหวาขึ้นมา คือหนังแทรกฟุตเทจเหตุการณ์จริงในสงครามโลกครั้งที่ 2 ลงไป และเน้นไปที่ตัวอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ตัดสลับกับภาพ Close up shot ของตัวละครที่แสดงอารมณ์แค้นฮิตเลอร์มากๆ เพราะฮิตเลอร์หรือนาซีเยอรมันทำให้ชีวิตของเขาสูญเสียทุกอย่าง ในการตัดต่อส่วนนี้คนดูจะรู้สึกถึงความแค้นของผู้กำกับต่อฮิตเลอร์ได้เลย แม้จะไม่รู้ประวัติเขามาก่อน ว่าชีวิตเขาต้องยากลำบากเพราะสงครามเหมือนกัน
การตัดต่อในช่วงสุดท้ายของหนังเป็นภาษาสากลที่นำเสนออารมณ์ 'แค้น' ของผู้กำกับอย่างเห็นได้ชัด
ซาวด์ดีไซน์ / ซาวด์แทร็ก
เสียงในเรื่องคืออีกสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นไม่แพ้การตัดต่อและการถ่ายภาพ และหนังสามารถนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง ทั้งเรื่องของการสร้างเสียงรบกวนที่ให้อารมณ์หลอนๆเหมือนอยู่ในนรก การใช้เสียงในส่วนนี้หนังจะใช้เสียงที่ไม่ดังมาก แต่เราจะได้ยินเหมือนคลื่นที่รบกวนเราอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้เกิดอารมณ์ของความไม่ไว้วางใจหรือไม่ปลอดภัยได้ดียิ่ง หากได้ดูในโรงภาพยนตร์คงจะให้อรรถรสด้านเสียงได้เต็มอิ่มกว่านี้ ทั้ง soundtrack ยังใช้เพลงคลาสสิคที่ให้อารมณ์คร่ำครวญ อย่าง Lacrimosa dies illa ของ Mozart ที่เข้ากับหนังบทสรุปของหนัง ที่ตัวเพลงสื่อความหมายถึงการอ้อนวอนต่อพระเจ้าให้นำแสงสว่างแก่ผู้ตาย
บทสรุป
Come and See เป็นหนังที่ผู้กำกับหลายคนยึดเอาเป็นแม่แบบสำหรับหนังสงครามเลยก็ว่าได้ Steven Spielberg บอกว่าแรงบันดาลใจของการทำ Schindler's list (1993) และ Saving Private Ryan (1998) ก็ได้มาจาก Come and See นี่แหล่ะ โดยรวมไม่ใช่หนังที่ให้ความบันเทิง ไม่ได้ให้ความผ่อนคลายได้แน่นอน แต่ก็เหมาะที่ซักครั้งหนึ่งเราควรหามาดูกันให้ได้ ว่าโลกเรามีสิ่งแบบนี้เกิดขึ้น แล้วเราต้องทำยังไงไม่ให้โลกหมุนไปเป็นแบบนั้นอีก ทั้งหมดถูกบันทึกไว้แล้ว ใน Come and See
โฆษณา