7 ก.ย. 2020 เวลา 15:47 • การศึกษา
" ย้อนกลับไปเมื่อราวๆ เกือบ30ปีก่อน
ประเทศไทย ได้มีการเติบโตทาง
เศรษฐกิจ มีการเข้ามาลงทุนทั้งชาว
ไทยและชาวต่างชาติอย่างมากมาย
เกิดนิคมอุตสาหกรรมขึ้น สภาพ
เศรษฐกิจของไทยพุ่งทะยานอย่าง
ต่อเนื่อง และไทยได้เป็นพี่ใหญ่
ในเวทีการเจรจาสันติภาพจนนำไป
สู่ประโยคอันลือลั่น แก่สายตา
นานาชาติ ในวิสัยทัศน์
ของนายกรัฐมนตรีไทยคนที่17ของ
ประเทศไทย
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ "
ภาพประกอบวิกิพีเดีย
+ เปลื่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า +
เป็นวลีเด็ดที่น่าจดจำของ
นายกชาติชาย ฯ
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในขณะนั้น
ได้ประกาศชู นโยบายที่สร้างความประหลาดใจแก่นานาชาติ ด้วยการชูนโยบาย เปลื่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า เค้าโครงของนโยบายดังกล่าว
เกิดขึ้นมาจากปัญหาการเมืองภายในของกัมพูชา ที่แตกแยกออกเป็น4ฝ่ายสู้รบกันอย่างรุนแรง และส่งผลกระทบ
ไทยในฐานะเป็นเทศที่ติดกั้นทางพรมแดน เมื่อพลเอกชาติชาย ฯ
ดำเนินนโยบายนี้ ก็มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วย
และเห็นต่าง จากในและต่างประเทศ
อยู่ไม่น้อย แต่กระนั้นการเจรจาเพื่อสันติภาพในเขมรยังคงถูกจัดขึ้น
โดยมีไทยเป็นตัวกลางในโต๊ะเจรจา
แม้เบื้องต้นจะมีความไม่ลงรอยกัน
ของฝ่ายเขมรที่แตกต่างทั้ง4 แต่ไทย
ก็ยังคงวางตัวเป็นตัวกลางเชื่อมความสัมพันธ์ในเขมร โดยไทยดึงฝ่ายฮุนเซ็นเข้าร่วมโต๊ะเจรจามาได้สำเร็จ
โดยการเจรจานั้น พลเอกชายชาติเผชิญแรงกดดันจากต่างชาติอยู่บ้าง
เมื่อผู้นำจีน อย่างนายเติ้งเสี่ยวผิง
มีความเห็นที่ไม่สอดคล้องกับนโยบายดังกล่าวเนื่องเกรง คอมมิวนิสต์สายโซเวียตจะเข้ามามีอิทธิพลในภูมิภาคนี้
หากดึงฝ่ายฮุนเซ็นเข้ามาร่วม
แต่กระนั้น พลเอกชาติชายก็ตอบกลับไปว่า มันเป็นอิสระของไทยที่จะดำเนิน
นโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยและสันติภาพโลก
และด้านสหประชาชาติในขณะนั้นจะสนับสนุนรัฐบาลเขมรแดงมากกว่าก็ตามที
ซึ่งในเวลาต่อมา การเจรจาสันติภาพครั้งนั้นก็ประสพผลสำเร็จ
รวมทั้งความคิดการเจรจาเพื่อสันติภาพ
ของพลเอกชาติชาย ก็ได้รับการยอมรับและยกย่องในระดับนานาชาติ
นอกจากนั้น รัฐบาลไทยในสมัย พลเอกชาติชายยังสนับสนุนส่งเสริม
เปิดการค้าขายกับประเทศเพื่อบ้าน
ในกลู่มอินโดจีน มูลค่าการค้ากับชายแดนหลังเปิดเสรี เติบโตแบบก้าวกระโดด จาก300ล้านบาทในปีพ.ศ 2531 เป็น1200ล้านบาทในปีพ.ศ2532
และเพิ่มขึ้นเป็น 2000ล้านบาทในปีถัดมา นอกจากนั้นรัฐบาลของ
พลเอกชาติชาย ยังได้มีนโยบายผลักดันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทย
ทั้งโครงการโทรศัพย์ พื้นฐาน3ล้านเลขหมาย โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ โครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานคร
โครงการทางด่วนยกระดับ และอื่นๆอีกมากมาย ส่งผลให้ไทยถูกจับตามองและพูดถึงว่าไทยอาจก้าวขึ้นมาเป็นเสือตัวที่5แห่งเอเชีย ตามหลัง เกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงค์โปร์และไต้หวันก่อนหน้านั้น
นอกจากนี้ยังได้ส่งเสริมก่อสร้างถนนหนทางพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจ
ตะวันออกตะวันตก
การสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน
รวมทั้งร่วมดึงต่างชาติ
สร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งแรก
จากนครหลวงเวียงจันทน์สู่หนองคาย
และจากนั้นก็สร้างแห่งที่2ขึ้นมาด้าน
มุกดาหาร-สุวรรณเขต เพื่อเชื่อมต่อดานังที่มีท่าเรือน้ำลึก ในการขนส่งสินค้าไปสู่ทิศทางต่างๆ
มีการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนจากเอกชนและชาวต่างชาติอย่างมากมาย
มีการเจรจาการค้าแบบพหุภาคีและทวิภาคีเกิดขึ้นมา เจริญสัมพันธไมตรีกับยุโรปตะวันออกและลู่มประเทศอินโดจีน และริเริ่มให้ทหารอเมริกา
ถอนกำลังออกจากประเทศไทยไปจนหมดในยุคต่อมา
เศรษฐกิจไทยเติบโตแบบสุดขีด
ราคาที่ดินบูมแบบสุดๆ เกิดโรงงานอุตสาหกรรมขึ้นมามากมายในช่วง
เวลานี้ การค้าขายการส่งออกของไทย
เติบโตทะลุเพดาน อัตตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพิ่มมากขึ้นถึง 13.2℅
ในปีพ.ศ 2532 และ11.2℅ ในปีถัดมา
ทำให้เงินคงคลังมีมากถึง 1.8แสนล้านบาทซึ่งถือว่าสูงมากที่สุดนับแต่
มีรัฐบาลจากระบอบประชาธิปไตย
ในขณะนั้น นับเป็นยุคสมัยแห่ง
ความรุ่งเรืองอย่างมากทางเศรษฐกิจไทย ในยุคของ
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
เจ้าของวลีฮิตที่ว่า "NO problem
นับเป็นยุคสมัยที่น่าจดจำยุคหนึ่ง
ที่ทำให้ไทยก้าวขึ้นมาจนเกือบกลายเป็นเสือตัวที่5แห่งเอเชีย ได้เกือบสำเร็จ
ชายกลางเขียนบท
โฆษณา