8 ก.ย. 2020 เวลา 11:15 • ปรัชญา
เรามาจากความว่างเปล่า
ทุกสิ่งอย่าง ในโลก ล้วนสมมุติ
ถึงที่สุด ที่เห็น ก็ต้องหาย
ก่อนเกิดมา เราไม่มี ร่างเรือนกาย
คราเมื่อตาย ก็สลาย ไปกับลม
หวนคิดถึง สมัย ตอนยังเล็ก
เรายังเด็ก รู้สุข ไม่ขื่นขม
จำรอยยิ้ม ที่ใคร คอยชื่นชม
เรามิเคย ระทม สักเวลา
พอเริ่มใหญ่ จิตปรุง ใจเริ่มคิด
สิ่งสะกิด คือกิเลส และตัญหา
อบายมุก มากมาย โลกมายา
ทุกชีวา โลภโกรธหลง คงเวียนวน
แบ่งเผ่าพงศ์ หลงไหล ในอำนาจ
สติขาด เผลอไผล ให้สับสน
เลี่ยงศีลธรรม หนุนค้ำ ประจำตน
สาละวน ยศสมบัติ มาเชยชม
มัวหลงไหล ในสิ่ง ที่สมมุติ
ยิ่งจะฉุด ความทุกข์ ให้ทับถม
สิ่งสมมุติ สูญหาย กายใจตรม
มัวชื่นชม หลงหา พาวอดวาย
ไม่พอใจ ในสิ่ง ที่ตนมี
ไม่พอดี ในสิ่ง ที่ตนได้
เมื่อมีแล้ว ยากมี อีกมากมาย
เมื่อตัวตาย ทรัพย์ทั้งหลาย ใช่ได้ครอง
รู้จักลด รู้จักหยุด รู้จักให้
เพื่อจะได้ เกลาใจ คลายหม่นหมอง
รู้พอดี รู้พอใจ ในสิ่งปอง
รู้ประคอง จิตใจ ไม่ต่ำลง
เห็นใครทุกข์ รู้จัก แบ่งเผื่อแผ่
คือสุขแท้ ทรัพย์นอกกาย อย่าไหลหลง
ไม่โกรธใคร รู้จักวาง รู้ปล่อยปลง
ชีพดำรงค์ สุขกาย สบายอุรา...
เราได้มี ตัวตน ในวันนี้
คุณความดี เราควร ต้องหมั่นหา
คราจะจาก ไม่รู้ วันเวลา
อย่ารอท่า เป็นผู้นำ ทำความดี
คนทั้งหลาย มากมาย ได้คิดถึง
มีคนรัก คอยรำพึง ชูศักดิ์ศรี
ประดับไว้ เป็นเกียรติ ในธานี
อีกหลายปี ก็ยังมี คนเชยชม..
แล้วก็ลืม ไปตาม นานเวลา
เศษผงดิน กลบหน้า พาทับถม
น้ำผสม จมกลาย เป็นโคลนตม
พอนานนม คนทั้งหลาย ก็ลืมเลือน...
คงมีค่า ให้พืช ได้งอกงาม
วนเวียนตาม วัฏจักร เปรียบเสมือน
จุดประกาย แสงสกาว แห่งดาวเดือน
ที่คอยเคลื่อน ในความมืด ของจักรวาล
@บทกลอนแสนดี
เธอคือดาวดวงไหน
โฆษณา