8 ก.ย. 2020 เวลา 12:21 • ประวัติศาสตร์
มนุษย์ต่างดาวโบราณ ตอนที่ 2: วิมานะ อากาศยานเก่าแก่ของอินเดีย & ไจโรสโคปปรอท ระบบต้านแรงโน้มถ่วง?
ปริศนามากมายในอดีตได้เคยถูกอธิบายเอาไว้โดยผู้คนในสมัยก่อนว่า พวกเขาได้พบเห็นเปลวไฟที่พวยพุ่งออกมา ราวกับลมหายใจของมังกร หรือได้เห็นรูปทรงโลหะที่ดูคล้ายกับเครื่องจักร ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีความเป็นไปได้ที่อาจบ่งบอกว่าในอดีต ได้เคยมีผู้มาเยือนโลกของเรามาแล้ว และดูเหมือนตำนานนิยายปรัมปราเหล่านั้นจะอิงอยู่บนบางสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นจริงอีกด้วย
แม้ว่าบางตำนานจะถูกเล่าขานต่อๆกันมาเกินจริงไปหน่อย แต่ก็มีในหลายๆกรณีที่อาจมีความจริงซุกซ่อนเอาไว้ เช่นในเรื่องการบินขึ้นไปในอากาศ เช่นเดียวกับที่เราได้สร้างเครื่องบินโดยสารผู้คนไปรอบโลกกันอยู่ทุกวันนี้
แต่สำหรับเรือบินโบราณที่เดินทางมาถึงโลกในยุคก่อนนั้น พวกเขาได้ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบเช่นเดียวกับที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันหรือไม่ ซึ่งคำถามนี้เราอาจค้นหาคำตอบได้จากตำนานที่เล่าขานของประเทศอินเดียในเรื่อง วิมานะ (Vimana) : อากาศยานอินเดียโบราณแห่งมหาภารตะยุค
ผู้คนกว่า 1 พันล้านคน ได้มารวมตัวกันอยู่ในเมืองศิวิไล และเขตพื้นที่ชนบท พวกเขามีภาษาที่หลากหลายนับร้อยภาษา และมีความแตกต่างทางด้านศาสนาอยู่เป็นจำนวนมาก
นี่คือประเทศอินเดีย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งที่มีอารยธรรมเก่าแก่ที่สุดเป็นลำดับต้นๆของโลก ซึ่งเราสามารถศึกษาย้อนหลัง การตั้งถิ่นฐานยังพื้นที่แห่งนี้ไปได้ไกลกว่า 11,000 ปีที่แล้ว
นอกจากนี้มันยังเป็นแหล่งที่มาของบันทึกเก่าแก่ทางเทคโนโลยีโบราณในหลายๆสิ่งอีกด้วย
จากจารึกผ่านข้อความภาษาสันสกฤตโบราณย้อนหลังไปกว่า 6,000 ปีก่อนคริสตกาลได้เคยอธิบายเอาไว้ว่า มีเครื่องจักรที่บินได้อยู่ แล้วมันมีชื่อว่า ‘วิมานะ’ (Vimana)
วิมานะ คืออากาศยานที่ถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีของเครื่องยนต์เจ็ทสุดล้ำสมัย จากคำอธิบายบอกว่าทุกครั้งเมื่ออากาศยานแห่งนี้ได้บินผ่าน มันได้สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ฝูงช้างได้วิ่งหนีเตลิดไป ใบไม้ใบหญ้าพลิ้วไหวและปลิวออกไป ด้วยแรงขับดันอันมหาศาลที่ออกมาจากเบื้องหลังของ วิมานะ
ซึ่งจากคำอธิบายดังที่ได้เอ่ยมานี้ ก็ดูเหมือนจะบ่งบอกได้ว่าสิ่งๆนี้ก็คือยานอวกาศอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้ว่านักประวัติศาสตร์กระแสหลักหลายท่านจะบอกว่าตำราวิมานะ นั้นมันเป็นเพียงแค่ตำนานที่เล่าขานต่อต่อกันมา อย่างไรก็ตาม จากคำอธิบายในหลายๆเอกสาร ก็ดูเหมือนจะบ่งบอกว่าพฤติกรรมดังกล่าวนั้นมันคือเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่มีความทันสมัยมากจริงๆ
จากงานเขียนวิทยาศาสตร์การบินอย่างไม่เป็นทางการ (Pseudoscience) ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 ที่มีชื่อว่า ‘ไวมานิกะ ศาสตร์’ (The Vymaanika-Shaastra – वैमानिक शास्त्र) ได้ออกมาพูดถึงเครื่องจักรโลหะขนาดยักษ์นี้เกี่ยวกับระบบไฟฟ้า, แหล่งพลังงาน, ชุดแต่งกายของนักบิน, อาหารการกิน แล้วรวมถึง อาวุธสงครามที่ถูกซ่อนเอาไว้อยู่บนเรือเหล่านี้
โดยแผนผังการบินของ วิมานะ หากดูเผินๆแล้วก็ดูคล้ายกันกับผังธุรกิจการบินสมัยใหม่ยังไงยังงั้นเลย
เช่นเดียวกัน หากเราไปดูเครื่องบินเจ็ทของกองทัพอากาศ แน่นอนว่าการที่พวกเขาจะขึ้นบินในแต่ละครั้ง นักบินก็จำเป็นจะต้องรู้ก่อนว่าแผนการบินของเขานั้นจะบินไปเพื่ออะไร และที่สำคัญนักบินจะต้องมีความรู้และความเข้าใจในเป้าหมายของเขาได้อย่างลึกซึ้ง
และจากข้อมูลยังอ้างอีกว่า วิมานะ นั้นถูกควบคุมโดยพลังนึกคิด ซึ่งนี่เป็นเทคโนโลยีที่ทางการทหารสมัยใหม่เพิ่งจะได้เริ่มพัฒนา
ทุกวันนี้ความก้าวหน้าที่เราคิดว่าเรามีอยู่ จะว่าไปแล้วมันก็มีความคล้ายคลึงกับคำอธิบายในอารยธรรมเก่าแก่ ที่นักมนุษย์ต่างดาวโบราณวิทยาเชื่อว่า ในอดีตนั้นได้มีอารยธรรมจากนอกโลกเคยมาตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่ตามแหล่งอารยธรรมรุ่งเรืองต่างๆของมนุษย์ ยกตัวอย่างเช่นในเรื่องของเวทมนต์ ซึ่งในความเป็นจริงมันก็คือ มันเป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับระบบแม่เหล็กไฟฟ้า แน่นอนว่าเมื่อผู้คนในสมัยก่อนได้เห็นสิ่งนี้ครั้งแรกและพวกเขาไม่สามารถหาคำอธิบายนั้นได้ ดังนั้นคำจำกัดความสำหรับสิ่งที่ดูเหมือนเหนือธรรมชาติเช่นนี้ จึงถูกเล่าขานต่อๆกันมาว่ามันคือ ‘เวทมนต์’ (magic)
ในหนังสือ ไวมานิกะ ศาสตร์ ยังกล่าวถึงวิทยาศาสตร์การบินอีกว่า ระบบขับเคลื่อนของ วิมานะ นั้น จะอิงอยู่บนการผสมผสานระหว่าง ไจโรสโคป (Gyroscope), พลังงานไฟฟ้า และธาตุปรอท
แต่มันเป็นไปได้หรือ ที่เราจะสามารถนำสารปรอทอันเป็นองค์ประกอบธาตุที่ไม่ปกตินี้นำมาใช้
อย่างที่เรารู้กันก็คือว่า ปรอท นั้นคือธาตุโลหะชนิดเดียวที่เรารู้จัก ที่สามารถคงอยู่ในสถานะของๆเหลวในสภาวะอุณหภูมิและความดันมาตรฐาน อีกทั้งมันยังเป็นตัวนำความร้อนและนำไฟฟ้าที่ดีอีกด้วย
ด้วยความเป็นเอกลักษณ์ของปรอทดังที่ได้เอ่ยมานี้ หากคุณใส่มันลงไปอยู่ใกล้ๆกับอุปกรณ์ ไจโรสโคป ปรอท ก็จะหมุนควงอยู่โดยรอบ และให้พลังไฟฟ้าออกมา
โดยในเรื่องนี้ได้เคยมีการศึกษาและวิจัยกันอย่างละเอียดโดยนาซ่าและนักวิทยาศาสตร์ท่านอื่นๆมาแล้ว เพื่อหาคำตอบว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นมาจากการหมุนควงนั้นจะก่อให้เกิดการลอยตัว หรือประเภทของแรงต้านความโน้มถ่วงได้อย่างไร
ไวมานิกะ ศาสตร์ อ้างว่า กำลังขับเคลื่อนของวิมานะ นั้นมาจากการทำงานของ ไจโรสโคป หลายตัว ที่วางอยู่ภายในกระแสวนปรอทเหลวที่ปิดผนึก นี่เป็นเพียงตัวอย่างนึงของการหมุนวนใน ไจโรสโคป เหล่านี้
หากยังไม่เข้าใจว่า หลักการทำงานของ ไจโรสโคป นั้นคืออะไร ก็ให้คุณลอง หมุนล้อที่มีน้ำหนักรอบจุดศูนย์กลางแกน แล้วเราก็จะพบว่าเพียงแค่หลักการพื้นฐานง่ายๆนี้ ไจโรสโคป ก็จะแสดงผลอันน่าอัศจรรย์ออกมา ด้วยการต้านแรงโน้มถ่วง ปัจจุบันในเรื่องนี้มีคำอธิบายอยู่บนความรู้ทางฟิสิกส์ ในเรื่องการหมุนหรือโมเมนตัมเชิงมุม ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็คือไม่ว่าคุณจะกดมันให้ล้มลงหรือไปในทิศทางอื่น มันก็จะทรงตัวหวนกลับมาที่ตำแหน่งเดิมเสมอ หรือก็คือมันจะรักษาโมเมนตัมเชิงมุมของตัวเองเอาไว้อยู่เสมอไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใดๆขึ้นกับมัน
ทุกวันนี้ ไจโรสโคป ได้ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายไม่ว่าจะเป็น ในเครื่องบิน, ยานอวกาศ หรือแม้แต่เรือดำน้ำ
อุปกรณ์นี้มีส่วนช่วยสำคัญเป็นอย่างมากต่อการระบุตำแหน่งของพวกเขาเมื่อเทียบกับจุดเริ่มต้นที่พวกเขาออกเดินทางมา อีกทั้งนักบินยังสามารถใช้มันในการติดตามหาความเร็วหรือแม้แต่ทิศทางของยานขณะอยู่ในอวกาศได้
สำหรับ วิมานะ มีการพูดถึงการหมุนของปรอท ซึ่งทำให้เกิดเป็นผลลัพธ์ของกำลังลมที่ออกมาได้อย่างรุนแรง เราอาจจะเรียกสิ่งนี้ได้ว่าคือ ที่เก็บพลังงานล้อเลื่อน (flywheel energy storage) ก็ได้ ที่คุณจะสามารถดึงพลังงานออกมาจากมันได้อย่างช้าๆจากปรอท แล้วหมุนเวียนเปลี่ยนมันกลับเข้าไปใช้เป็นพลังงานขับเคลื่อนซ้ำๆ ส่วนระบบขับดันนั้นคาดว่าน่าจะใช้ใบพัดขนาดใหญ่ที่ถูกติดตั้งอยู่โดยรอบยาน มาเป็นตัวผลักดันให้ตัวยานได้เคลื่อนไปในทิศทางที่ต้องการ
เมื่อเล่ามาถึงจุดนี้เราก็จะรู้ว่าปรอทนั้นใช้ได้ผลค่อนข้างดี เพราะมันมีความหนาแน่นสูง และมีขนาดที่กะทัดรัดเหมาะสำหรับการติดตั้งไว้ให้กับเครื่องบินใดๆก็ตามที่ถูกสร้างขึ้น อย่างไรก็ตามระบบการจัดเก็บพลังงานนั้น มีแนวโน้มที่จะสูญเสียพลังงานได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งสำหรับนักเดินทางจากห้วงอวกาศอันไกลโพ้น ระบบจัดเก็บพลังงานจะมีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยอิงอยู่บนแนวคิดพื้นฐานอันเรียบง่ายดังนี้ เมื่อคุณมีพลังงานส่วนเกินออกมาและไม่จำเป็นต้องใช้ คุณก็เพียงแค่นำพลังงานดังกล่าวไปจัดเก็บเอาไป แล้วเมื่อเกิดมีความจำเป็นที่ต้องใช้พลังงานขึ้นมา คุณก็เพียงแค่ดึงมันกลับมาใช้ใหม่
อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่า วิมานะ นั้นจะสามารถบินได้จริงๆหรือไม่ เพราะปัจจุบันเรามีแต่เพียงแค่ข้อมูลสันนิษฐาน ที่พยายามอธิบายถึงสิ่งที่ดูคล้ายกับการทำงานดังกล่าว
ซึ่งอันที่จริงมันอาจจะไม่ใช่ ปรอท จริงๆก็ได้ เช่นมันอาจจะเป็นโลหะเหลวชนิดอื่นที่เรายังไม่เข้าใจ เพราะถ้าหากเป็นเครื่องยนต์หมุนวนปรอท ก็ดูเหมือนว่าจะมีความล้มเหลวของการแปลงเปลี่ยนพลังงานอยู่ และไม่เหมาะสมที่จะนำมันมาใช้เป็นวัสดุสำหรับในองค์ประกอบของเครื่องยนต์เจ็ทที่มีความเสถียร
หนึ่งในประเด็นคำถามพื้นฐานสำคัญของการเดินทางโดยอารยธรรมเหล่านี้ก็คือ พวกเขาใช้วิธีไหนในการเดินทางได้เร็วกว่าแสง และถ้า วิมานะมีตัวตนอยู่จริง สิ่งนี้จะสามารถพิสูจน์ได้ไหมถึงในเรื่องของเครือข่าย ที่เชื่อมโยงโลกของเราเมื่อกว่า 1,000 ปีก่อนที่จะมีอารยธรรมโคลัมเบีย คำตอบนี้เราอาจค้นหามันได้จากบนยอดเขานอกกรุงเม็กซิโกซิตี้
ในศตวรรษที่ 21 การขนส่งและวิธีการสื่อสารของเราได้เชื่อมโลกทั้งใบเอาไว้อย่างไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นผลผลิตทางความคิด สิ่งของ ทุกอย่างสามารถแพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็วในยุคสมัยใหม่ แต่คำถามก็คือสิ่งเหล่านี้คือเรื่องใหม่อย่างนั้นหรือ
นักโบราณคดีเชื่อว่า อารยธรรมโบราณสามารถพบเจอได้คล้ายๆกันตามแถบหมู่เกาะแปซิฟิกอันห่างไกล ทวีปเอเชีย และทวีปอเมริกาใต้ ทั้งๆที่ดินแดนเหล่านี้เป็นอิสระจากกันอย่างชัดเจน
ในขณะที่นักดาราศาสตร์อวกาศโบราณ (ancient astronaut theorists) ก็ออกมายืนยันว่ามีความคล้ายคลึงกันในส่วนของงานสร้างต่างๆ รวมถึงความเชื่อ ที่สามารถพบเจอได้ในวัฒนธรรมเหล่านี้ที่แพร่กระจายไปอยู่ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงเส้นทางการค้าที่อาจเชื่อมโยงพวกเขาไว้ด้วยกัน
ในลักษณะนี้ก็คล้ายกับการที่เรามีสนามบินที่กระจายไปอยู่ทั่วโลก ในอดีตก็เช่นกัน วิมานะ อาจเป็นโรงเก็บอากาศยานที่ลอยอยู่บนฟ้า เป็นเหมือนกับสนามบินไว้สัญจรไปมาระหว่างพื้นดินและอากาศ ซึ่งสนามบินเหล่านี้จะตั้งอยู่ตามจุดสถานที่เชิงยุทธศาสตร์ต่างๆรอบโลก จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงสามารถมองเห็นการเชื่อมโยงกันของในแต่ละสถานที่ๆห่างไกลกันได้ในยุคโบราณ
นี่คือหลักฐานที่หลงเหลืออยู่ของเส้นวาดบนพื้นที่มีชื่อว่า นัสก้าแห่งเปรู (Peru’s Nazca) สิ่งลึกลับเหล่านี้ตั้งอยู่บนที่ราบสูงเหนือหุบเขา โออาซากา Oaxaca Valley ของเม็กซิโก บ้างก็เชื่อว่านี่คือหลักฐานของรันเวย์สำหรับระบบขนส่งทางอากาศทั่วโลก
นี่เป็นหนึ่งในแหล่งโบราณคดีที่ไม่ปกติสามารถพบหาเจอได้ในเม็กซิโก มันถูกเรียกว่า ‘มอนที อัลบานเน็ท’ (Monte Albán)
ลักษณะเด่นก็คือ มันเป็นภูเขาที่ยอดเขาของมันได้ถูกตัดออก และถูกปรับเปลี่ยนสภาพพื้นที่ให้มีความแบนราบเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นสถานที่ตั้งของเมืองหินโบราณอีกด้วย ซี่งนี่อาจมีความเชื่อมโยงกันกับสนามบิน วิมานะก็ได้
วิมานะ อาจเป็นการเชื่อมโยงที่สำคัญ ที่จะมาเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไประหว่างวัฒนธรรมเดียวกันในโลกของเรา เพราะว่าพวกเขาใช้เวลาที่สั้นมากๆสำหรับการเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งของโลก
อีกทั้งตำนานการเดินทางอากาศ ยังสามารถพบเจอได้ในแอฟริกาโบราณ และในตะวันออกกลางอีกด้วย
จากบันทึกของ ‘เคบรา เนกัสท’ (The Kebra Nagast) ซึ่งเป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์ของชาวเอธิโอเปีย ที่ถูกเขียนขึ้นในช่วงระหว่างศตวรรษที่ 5 ถึงศตวรรษที่ 2 แห่งราชินีชีบา (the queen of Sheba) ที่เคยกล่าวไว้ว่า ครั้งหนึ่งพระองค์ทรงได้รับพรมของขวัญ ที่บินมาจากกษัตริย์โซโลมอนแห่งอิสราเอล (King Solomon of Israel) มาแล้ว
จึงถือได้ว่า The Kebra Nagast คือหนึ่งในตำราที่มีความสำคัญที่คุณอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อน โดยชื่อของมันมีความหมายว่า หนังสือของพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือเป็นหนังสือที่มีความศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของชาวเอธิโอเปีย
ในนั้นมีการอธิบายถึงกษัตริย์โซโลมอน ที่เขามีความสามารถในการขับเครื่องจักรบินได้บางประเภท และเป็นที่เข้าใจกันในปัจจุบันก็คือ ‘พรมบินได้’ นั่นเอง (flying carpet)
แต่คำถามก็คือ สิ่งที่พวกเขาหมายถึงจริงๆนั้นมันคือพรมบินอย่างนั้นหรือ หรือว่าแท้จริงแล้วมันอาจจะเป็นในอีกความหมายอื่น ที่อธิบายได้ถึงเครื่องจักรบินบางชนิดกันแน่
ซึ่งอาจรวมไปถึงคำอธิบายในหนังสือ “ราชรถแห่งพระเจ้า” (Chariots of the Gods) โดย ‘อีริก วอน แดนิเคน’ (Erich von Daniken) ด้วย ที่เขาได้พูดถึงเรื่องราวของพรมวิเศษที่บินได้แห่ง Arabian Nights หนังสือเล่มนี้ ส่วนใหญ่จะพูดถึงในเรื่องของทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศ (Gods from space) หรืออีกนัยหนึ่งก็คือมนุษย์ต่างดาว ซึ่งได้เดินทางมายังโลก และได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับมนุษย์ยุคโบราณ โดยมีหลักฐานและเรื่องราวซุกซ่อนอยู่ในหลาย อารยธรรมโบราณ ทั้งอารยธรรมอียิปต์ อารยธรรมมายา และอารยธรรมอินคา
โฆษณา