8 ก.ย. 2020 เวลา 15:18 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
รีวิว : ฉลาดเกมส์โกง เดอะซีรี่ส์ "เมื่อความเหลื่อมล้ำทางสังคม การศึกษา จึงทำให้พวกเขาต้องเข้าสู่ด้านมืด"
หลังจากจบไปแล้วกับละคร "ฉลาดเกมส์โกง" เวอร์ชั่นละคร ที่ยกเครื่องนักแสดงหน้าใหม่ แต่คาแรคเตอร์เดิม จึงทำให้คุณดูคาดหวังกับละครเรื่องนี้มาก เพราะสร้างมาจากภาพยนตร์ ฉลาดเกมส์โกง ในปี 2017 ซึ่งได้รับเสียงคำวิจารณ์ที่ยอดเยี่ยม และกวาดรางวัลมาได้ทั่วโลก รวมถึงทำรายได้ทั้งในไทยและที่จีนค่อนข้างสูง จึงไม่แปลกที่คนดูจะอยากเห็นจักรวาล "ฉลาดเกมส์โกง" ที่ถูกขยายไปมากกว่านี้
ในแง่ของตัวละคร แทบจะทุกตัวได้ถูกขยายให้มีมิติ ที่มาที่ไปมากขึ้นไม่ว่าจะเป็น
- ครอบครัวของลิน ที่ได้พี่แท่ง มารับบทพ่อ ที่ดูหนุ่มขึ้นมาจากเวอร์ชั่นภาพยนตร์นิดหน่อย ดูซีเรียส และการได้ปรากฏตัวของแม่ของลิน ที่ได้เลิกลาจากพ่อของลิน เพราะอยากมีอนาคตที่ดีกว่านี้ จึงได้ทิ้งสามีและลินไว้ และตนมาเรียน ใช้ชีวิตในต่างประเทศ เพื่ออนาคตที่ดีกว่า ส่วนลิน เป็นเวอร์ชั่นที่เข้าถึงได้ง่าย อาจจะเป็นเพราะเสน่ห์ของ จูเน่ (อดีต BNK48) ที่ดูสวย น่ารัก กว่าเวอร์ชั่นขิงภาพยนตร์ที่ดูซีเรียส จริงจังกว่า
- ครอบครัวของแบงค์ เราได้เห็นการปรากฏตัวในบทแม่ของ แบงค์ ที่ดูหมดหวังกับชีวิตกับภาระหน้าที่ หนี้สิน และอาการเจ็บป่วยของตนเองมากขึ้น ส่วน แบงค์ ที่รับบทโดย เจ้านาย เป็นบทเจ้านายที่ดูซีเรียสพอๆ กับเวอร์ชั่นภาพยนตร์ (แต่อาจจะอ้วกไม่เก่งและรับบทโหด ต้องไปนอนในกองขยะแบบในหนัง) เป็นแบงค์ที่ดูสับสนในตัวเองมากขึ้น หลังจากโดนด้านมืดครอบงำในจิตใจเค้าไปแล้ว
- ครอบครัวของพัฒน์ เป็นการเห็นว่าครอบครัวของพัฒน์ ทั้งพ่อและแม่ ได้สร้างอาณาจักรตที่ยิ่งใหญ่ไว้ให้ ยกเว้นความสามารถและความฉลาด ทำให้พัฒน์ต้องเอาตัวรอด และรับฟังคำสั่งจากพ่อให้ได้ พ่อสั่งให้ทำอะไร ก็ต้องทำ ค่อนข้างเผด็จการด้วยซ้ำ ส่วนพัฒน์เอง ค่อนข้างจะกลัวพ่อมากๆ แต่ถึงจุดที่ทนไม่ไหว พัฒน์ก็จะระเบิดความรู้สึกออกมา และหนีออกจากบ้านไป
- ครอบครัวของเกรซ ในหนังค่อนข้างไม่มีที่มา ที่ไป แต่ในซีรี่ส์พบว่าครอบครัวของเกรซ ทำโรงพิมพ์ขนาดกลาง ไม่ค่อยมีสตอรี่มากมาย แต่ที่ยังเหมือนเดิมคือ เกรซ อยากเป็นนางเอกละครเวทีที่เคยใฝ่ฝัน เราจึงได้เห็นซีนการไปแคสละคร และเล่นละครเวทีไปด้วย แม้ในภาพยนตร์จะไม่มีก็ตาม
สิ่งที่ชอบมากกว่าในหนัง
1. ตัวละครถูกปูนพื้น มีมิติมากขึ้นกว่าเดิมมาก
2. ตัวละครมีเรื่องราวให้เล่ามากกว่าการไปโกงข้อสอบ คือ ความสัมพันธ์ที่มีให้กันระหว่าง เพื่อน แฟน ทั้ง ลิน - แบงค์ และ พัฒน์ - เกรซ
3. ในหนัง เราจะเจอตัวละคร บรรจง ที่อยากหาวิธีโกงข้อสอบ ในซีรี่ส์ จึงได้เพิ่มเพื่อน และเรื่องราวของผู้ที่ต้องการโกงข้อสอบ และช่วยกันโกงข้อสอบ ให้ดูเป็นการโจรกรรมระดับโลกไปเลย
4. โปรดักชั่นดีไซน์ นอกจากจะถ่ายทำแบบภาพยนตร์ ยังมีการวางมุมกล้อง จัดแสง ได้สวยอีกด้วย โดยเฉพาะฉากในโรงพิมพ์ ค่อนข้างทำออกมาดีที่เดียว
5. ฉากจบ จะไม่จบค้างคาแบบภาพยนตร์ มีการเพิ่มฉากกการโกงข้อสอบ GAT อีกด้วย ทำให้จุดนี้ คนที่อาจจะเบื่อๆกับการดำเนินเรื่องที่เห็นไปแล้วในภาพยนตร์ กลับมาสนใจในเวอร์ชั่นในละครมากขึ้น เพราะในหนังไม่มีฉากนี้เลย
ลิน เกรซ และพัฒน์
แบงค์ ลิน
โต้ง หนึ่งในลูกค้าในการโกงข้อสอบ และเป็น FC ของเกรซ ที่เกรซไม่เคยแยแส
ฉากการทำข้อสอบที่เราเห็นทั้งเรื่อง
การจัดไฟดีไซน์ของซีรี่ส์
ฉากขโมยข้อสอบ GAT
สิ่งที่ไม่ชอบ
1. บางฉากที่ควรจะเปลี่ยนให้ดูลุ้นในแบบละครกลับไม่มี
2. ตัวละครบางตัว ยังไม่ทำให้เราเชื่อและอินไปกับตัวละครนั้นๆ
3. ถ้าการทำละครฉลาดเกมส์โกงแบบที่ไม่เหมือนในหนัง ทั้งตัวละคร และบท มันจะดีมาก เพราะคุณจะเดพาอะไรไม่ได้สักอย่าง สักตอนเดียว
แต่โดยรวมแล้ว หนังก็ยังพูดถึงสิ่งที่มันกระทบต่อสังคมไทยคือ
1. ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา รวยก็เรียนโรงเรียนดีๆ จนก็เรียน รร ที่เราพอจ่ายไหว
2. ฉลาดแต่จน หนทางที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิต อาจจะต้องผ่านชีวิตที่ยากลำบาก ความซวย ความผิดพลาดอาจจะเกิดในชีวิต อย่างที่ตัวละครบอกว่า "แต่แกไม่โกง ชีวิตแม่งก็จะโกงเราอยู่ดี"
3. รวยแต่จน บางทีเด็กที่เกิดมารวย แต่ไม่มีความสามารถ ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากใช้เงินเพื่อซื้อความสำเร็จ ซื้อำนาจ ยังไม่รวยมพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยเงินอีก โดนพ่อแม่กดดันก็มี ชีวิตนี่ไม่ว่าจะฐานะไหนก็ไม่มีความพอดีเลยนะ
4. ความเชื่อใจกัน ความเชื่อใจ ต่อให้สร้างกันในหลายๆครั้ง แต่พอหายไปครั้งเดียว ทั้งหมดคือจบสิ้น
และนี่ก็คือบทสรุปทั้งหมดของ ฉลาดเกมส์โกง ในรูปแบบละครทีวี ในแบบของเรา ส่วนคนอื่น ดูแล้วรู้สึกอย่างไร มาเล่าให้ฟังกันได้ครับ : )
โฆษณา