.
เราเข้ามาในตลาดการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น Forex หรือ ธุรกิจต่างๆนานา เราย่อมหวังผลตอบแทน และถ้าดียิ่งไปกว่านั้น คือ ได้ผลตอบแทนโดยที่เราแทบไม่ต้องลงแรงอะไรเลย ดังคำพูดติดหูว่า Passive Income
โดยเฉพาะตลาด Forex ที่เป็นตลาด OTC ไม่มีศูนย์กลางการแลกเปลี่ยน เป็นการตกลงราคาระหว่างผู้ซื้อผู้ขายกัน และยิ่งในประเทศเรานี้ยังไม่มีกฏหมายที่คุ้มครองนักลงทุน และ กำกับ Broker ในตลาดอย่างชัดเจน จึงเป็นช่องทางผู้ที่ไม่หวังดีสร้างกลลวงทางการเงิน
.
บุคคลเหล่านั้น อาศัยปัจจัยทั้ง 3 ข้อนี้ในการล่อลวงเราให้ติดกับ และทำให้เราไว้ใจยอมฝากเงินให้เขา ซึ่งในปัจจุบันมีความซับซ้อน และสร้างขึ้นมาดูสมจริงยิ่งขึ้นทุกวัน
.
สิ่งที่จะเป็นเครื่องป้องกันกลลวงนั้น ก็คือ ทำตรงกันข้ามกับ 3 ข้อนี้ และระลึกไว้เสมอก่อนการลงทุนทุกครั้ง และลองสังเกตุคำระหว่างบรรทัด ระหว่างคำ ที่ซ่อนให้ดี ในคำพูดล่องลวงเหล่านั้น
.
ก่อนการลงทุนทุกครั้ง ต้องรู้ให้ได้ว่าสิ่งที่เราไปลงทุนนั้น สามารถทำเงินได้อย่างไร มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน มีกระบวนการอย่างไรบ้าง เรามีแผนการลงทุนไหม ถ้าไม่เป็นไปตามคาดไว้ต้องทำอย่างไร
.
การลงทุนด้วย AI หรือ Machine Learning หรือ Robot ฟังดูเป็นคำพูดที่สวยหรู สำหรับคนพูดและคนได้ยิน เป็นคำที่ฮิตมากๆ แค่แต่งคำพูดให้ดูมีหลักการ แสดงผลลัพธ์อันน่าทึ่ง ก็สวยหรู แต่หารู้ไม่สิ่งที่ซ่อนภายใต้คำอันสวยหรูนี้ คือ “กล่องดำ”
ทำไมถึงบอกว่าเป็น “กล่องดำ” - AI, Machine Learning หรือ Robot เป็นคำหรูที่ดูเป็น Technology ขั้นสูง ชาวบ้านอย่างเราๆคงจะเข้าถึงยาก แถมจะเอาความสามารถไหนไปสู้ ไปแข่งกับมันได้ เราจึงยอมแพ้ให้มันอย่างง่ายๆ และคิดว่าถ้าลงทุนกับมันได้ เป็นเรื่องที่ฉลาดแน่ๆ
ผมเชื่อว่ามี กองทุนที่ลงทุนด้วย Technology เหล่านี้ มีอยู่จริง และจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนลงทุนลองเปรียบเทียบว่ากองทุนในเราไปลงนั้น กับกองทุนจากบริษัทระดับโลกที่ลงทุนในสินทรัพย์เดียวกันนี้ ผลตอบแทนใกล้เคียงกัน หรือ สมเหตุสมผลหรือไม่
.
คำถามต่อมาคือ ลงทุนแล้วเงินเราจะไปอยู่ที่ไหน ?? อยู่ในสถาบันทางการเงินที่น่าเชื่อถือหรือไม่ ไม่ใช่แค่เขาบอกว่าน่าเชื่อถือแล้วเชื่อ แต่ให้ไปสืบว่ามันจริงหรือเปล่า แล้วหากเกิดปัญหาขึ้นจริง เราสามารถดำเนินการถอนเงินจากสถาบันทางการเงินได้โดยตรงไหม ไม่ใช่ว่าเงินไปกองรวมแล้วสิทธิ์ขาดการถอนอยู่ในเขา ถ้าเราจะถอนต้องถอนผ่านเขา อันนี้ไม่ดีอย่างยิ่ง
.
"ความไม่รู้ จะแพ้ความโลภ"
หลายๆคำถามที่สงสัย ยังไม่ถูกไขความกระจ่างจนสบายใจ แต่เรามักจะแพ้ด้วยความโลภ
“พี่คนนี้ได้กำไรเท่านั้นเท่านี้” “น้องคนนู้น อายุยังน้อยตอนนี้เกษียณแล้ว” “ดูเพื่อนเราสิเขาซื้อ บลาๆๆๆๆ”
เขามักจะยกตัวอย่าง หลายๆคนเพื่อเปรียบเทียบ ทำให้ดูว่าหลายๆคนไปถึงไหนต่อมิอะไร สำเร็จไปแล้วแค่ไหน เพื่อให้เรานึกเปรียบเทียบกับตัวเองว่า ตอนนี้เรายังไม่ไปถึงไหนเลย และยิ่งในระยะแรกนั้น เขาเหล่านั้นจะทำให้เงินที่ลงทุน “ถอนออกมาได้จริง” เพื่อให้คนลงทุนก่อนหน้า เอาเงินไปใช้ และเป็นเครื่องยืนยันความน่าเชื่อถือ เพื่อดึงดูดคนเข้ามา
.
ความโลภ จะแพ้ “สติ”
ดึงสติตัวเองขึ้นมา ตราบใดที่เรายังไม่รู้ ยังไม่สบายใจ เราจะไม่ลงทุนในสิ่งนั้นเด็ดขาด เขาจะได้เท่าไร ก็ปล่อยเขาไป ยังไม่ใช่เวลาของเรา เมื่อเรารู้หมด รู้พร้อม และบริหารความเสี่ยงได้ ค่อยถึงเวลาของเรา
.
"ความโลภที่มักง่าย พาสู่หายนะ"
ความโลภที่เห็นว่าได้อะไรมาง่ายๆ จะมีกลิ่นอันหอมหวน ดึงดูดใจ จะสลัดสติเขาเราทิ้งไปให้จมดิ่งโดยไม่รู้ตัว
.
"รวยเร็วๆนั้นมี แต่ รวยง่ายๆนั้นไม่มี"
ทำไมเราแต่ฝากเงินให้กับเขา เรานอนรอรับเงิน ก็เรียกว่าเกษียณแล้วหรอ??? ทำไมเขาใจดีกับเราจังดูแลเงินเรา ดูแลตัวเรา ดูแลชีวิตเรา
Passive Income 100% ไม่มีในโลกนี้ครับ จะมีมันได้ ต้องมี “ปัญญาในการครอบครอง” การไม่ได้ใช้ “ปัญญา” ในการลงทุนผมเรียกว่า “ความมักง่าย”
.
ปัญญา แปลว่า ความรู้ทั่ว คือรู้ทั่วถึงเหตุถึงผล รู้อย่างชัดเจน, รู้เรื่องบาปบุญคุณโทษ, รู้สิ่งที่ควรทำควรเว้น เป็นต้น
.
ยิ่งเรามี “ปัญ
ญา” ในการดูแลมาก เรายิ่ง “ลงแรง” น้อยลง
.
แม้กระทั่งมหาเศรษฐี ที่ได้มรดกจากครอบครัว ก็ต้องใช้ความสามารถ และปัญญา ในการดูแลกิจการ ถึงจะมีลูกน้องมากมายคอยทำงานให้ แล้วเราไม่ต้องทำงานอะไรเลย แต่สุดท้ายเราก็ต้องมีวิธีควบคุมดูแลกิจการให้เจริญเติบโต ไม่เกิดการคดโกงขึ้น วิธีเหล่านั้น นั่นแหละคือ “ปัญญา”
.