Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เสียบสามเหลี่ยม
•
ติดตาม
11 ก.ย. 2020 เวลา 04:00 • กีฬา
เผลอแปปเดียว ศึกพรีเมียร์ลีกกำลังจะเปิดฤดูกาลใหม่ในคืนวันเสาร์นี้แล้ว โดยซีซั่น 2020-21 จะเป็นฤดูกาลที่ 29 ของฟุตบอลลีกสูงสุดอังกฤษ นับตั้งแต่เปลี่ยนจากดิวิชั่น 1 เดิมของพรีเมียร์ลีกในปี 1992
ศึกพรีเมียร์ลีกซีซั่น 2019-20 ปิดฉากลงไปเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2020 ส่วนซีซั่น 2020-21 จะทำการแข่งขันระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2020 จนถึง 23 พฤษภาคม 2021 ถือเป็นการทิ้งช่วงจากเกมนัดสุดท้ายฤดูกาลที่ผ่านมาแค่ 7 สัปดาห์เท่านั้น
ด้วยปัญหาที่ส่งผลกระทบชิ่งมาจากวิกฤติโควิด-19 เท่ากับว่านี่คือฤดูกาลที่มีระยะเวลาทิ้งห่างจากซีซั่นก่อนหน้าสั้นที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก และจะเป็นฤดูกาลที่มีช่วงเวลาแข่งขันสั้นกว่าปกติถึง 5 สัปดาห์เลยทีเดียว
จากการที่จำนวนเกมยังคงต้องฟาดแข้งกันให้ครบ 380 แมตช์เท่าเดิม ทำให้ทางพรีเมียร์ลีกประกาศยืนยันแล้วว่าจะยกเลิกการเบรกหนีหนาว 2 สัปดาห์ออกไปสำหรับซีซั่นที่กำลังจะเปิดฉากนี้
ขณะที่ศึก เอฟเอ คัพ ก็ยืนยันแล้วว่าจะไม่มีการรีเพลย์ เพื่อทำให้ทุกสโมสรในลีกสูงสุด มีช่วงกลางสัปดาห์ที่ว่างขึ้น สำหรับเตรียมรองรับการโดนอัดโปรแกรมลีก เพื่อให้เตะกันทีมละ 38 นัดกันให้ครบ ในระยะเวลาแข่งขันที่มันสั้นลงกว่าเดิม
พรีเมียร์ลีกมีข้อตกลงกับทุกสโมสรว่า แต่ละทีมต้องมีเวลาพักก่อนออกสตาร์ทซีซั่นใหม่อย่างน้อย 30 วัน นับจากลงเตะนัดสุดท้ายของฤดูกาล 2019-20 ไม่ว่าจะเป็นรายการไหนก็ตาม
นั่นทำให้ 2 ทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์ ได้สิทธิ์พักเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ ไม่ต้องลงเตะสัปดาห์แรก จากการที่เป็นตัวแทนจากเกาะอังกฤษที่เข้ารอบลึกที่สุดในรายการยุโรปอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และ ยูโรปา ลีก
ขณะที่ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส โชคร้ายที่ไม่ได้สิทธิ์นั้น ทั้งที่ตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายถ้วยยูโรปา ก่อนหน้า แมนฯ ซิตี้ ร่วงตกรอบ 8 ทีม UCL แค่ 4 วัน
ส่วน อาร์เซน่อล ที่คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม คือสโมสรที่มีเวลาพักเบรกปรีซีซั่นน้อยที่สุด เนื่องจากต้องลงเตะ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ พบกับ ลิเวอร์พูล ในวันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม ที่ผ่านมา
แถมทัพ เดอะ กันเนอร์ส จะต้องเป็นทีมแรกที่ลงสนามในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลใหม่อีกต่างหาก โดยจะประเดิมด้วยการบุกไปเยือนทีมน้องใหม่ร่วมกรุงลอนดอนอย่าง ฟูแล่ม
แน่นอนว่าทุกครั้งที่พรีเมียร์ลีกฤดูกาลใหม่กำลังจะออกสตาร์ท ประเด็นที่มักจะถูกพูดถึงมากที่สุดก็คือ “คิดว่าปีนี้ ใครจะเป็นแชมป์?”
ข้อมูลจากเว็บไซต์ oddschecker ที่รวบรวมอัตราต่อรองจากเว็บพนันถูกกฎหมายทั่วเกาะอังกฤษ เผยว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังคงถูกยกเป็นเต็งหนึ่ง
หมายความว่าทีมเรือใบสีฟ้าถูกยกเป็นเต็งหนึ่งจากบ่อนอังกฤษเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน และถูกยกให้เป็นเต็งแชมป์ก่อนเปิดฤดูกาลทุกครั้ง นับตั้งแต่ได้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เข้ามาเป็นกุนซือ ไม่ว่าพวกเขาจะจบซีซั่นก่อนหน้าด้วยผลงานแบบไหนก็ตาม
ขณะที่แชมป์เก่าอย่าง ลิเวอร์พูล ที่ฤดูกาลก่อนทิ้งห่างเรือใบสีฟ้าถึง 18 แต้ม ถูกยกเป็นเพียงเต็งสองเท่านั้น
สาเหตุหลักคงเป็นเพราะทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังไม่ยอมขยับเสริมทัพจริงๆ จังๆ นอกจากได้แบ็กซ้ายตัวสำรองคนใหม่อย่าง คอสตาส ซิมิคาส เท่านั้น ทำให้พวกเขาไม่ถูกมองว่าเหนือกว่าซิตี้
ทางด้าน เชลซี ของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ที่ติดอาวุธได้อย่างน่ากลัวที่สุดในช่วงซัมเมอร์นี้ ตามมาเป็นเต็งสาม ส่วนเต็ง 4 ได้แก่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ โดยที่เต็ง 5 คือ อาร์เซน่อล ส่วนเต็ง 6 คือ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์
สำหรับทีมที่ถูกคาดว่ามีโอกาสตกชั้นมากที่สุด ได้แก่น้องใหม่อย่าง เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ที่เป็นเต็งบ๊วยแบบเดี่ยวๆ ตามมาด้วยทีมที่เลื่อนชั้นผ่านการเพลย์ออฟอย่าง ฟูแล่ม ส่วนเต็ง 3 ที่น่าจะไม่รอดได้แก่ แอสตัน วิลล่า ที่ปีก่อนต้องลุ้นหนีตายจนถึงนัดสุดท้าย
ขณะที่ ลีดส์ ยูไนเต็ด ที่เลื่อนชั้นขึ้นมาได้เป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปีในฐานะแชมป์ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ถูกตั้งราคาลุ้นแชมป์ไว้แบบเซอร์ไพรส์สุดๆ นั่นคือเต็ง 7 เพราะสื่ออังกฤษเชื่อมั่นว่า ภายใต้การคุมทีมของ มาร์เซโล่ บิเอลซ่า ทีมยูงทองพร้อมสร้างความลำบากให้กับทุกทีมได้แน่
แน่นอนว่าการลุ้นแชมป์ลีก คงต้องติดตามกันไปเป็นระยะเวลานานหลายเดือนถึงจะรู้ดำรู้แดง
และการที่ทุกทีมจะต้องออกสตาร์ทโดยเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่กันหมด ทำให้แฟนบอลของแต่ละทีม มีสิทธิ์ฝันถึงตำแหน่งแชมป์ของทีมรักกันทั้งนั้น
ถ้าถามว่าปีนี้คิดว่าใครน่าจะคว้าแชมป์ คำตอบคงแตกต่างกันออกไปแน่ เพราะมันเป็นเพียงทรรศนะ ที่แฟนบอลคงจะมีความคิดเห็นแตกต่างกัน
แต่เราได้รวบรวมข้อมูลที่เป็น “ความจริง” มาฝาก ว่าทีมที่จะเป็นแชมป์ได้ต้องสามารถทำสถิติอะไรได้บ้าง
ข้อมูลนี้เราเก็บรวบรวมจากช่วง 4 ฤดูกาลหลังสุด ที่ว่ากันว่าเป็นช่วงที่แชมป์พรีเมียร์ลีกมีมาตรฐานสูงขึ้น เพราะเรานับจากฤดูกาลแรกตั้งแต่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เข้ามาทำงานบนเกาะอังกฤษนั่นเอง
และนี่ก็คือ “10 มาตรฐานขั้นต่ำ” ที่แชมป์พรีเมียร์ลีก 4 ซีซั่นหลัง ต้องมีให้ครบทั้งหมดครับ
.
1. ต้องชนะตั้งแต่นัดเปิดฤดูกาล
คำว่า “เริ่มต้นดี มีชัยไปกว่าครึ่ง” คือความจริง เพราะทีมที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกตั้งแต่ซีซั่น 2016-17 มาจนถึงฤดูกาล 2019-20 ล้วนเป็นทีมที่กวาด 3 คะแนนเต็มได้ตั้งแต่เกมนัดเปิดสนาม
อันโตนิโอ คอนเต้ ออกสตาร์ทการคุม เชลซี นัดแรกเมื่อ 4 ปีก่อนด้วยการเปิดบ้านเฉือน เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 2-1
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชุดที่คว้าแชมป์ด้วยการเก็บ 100 แต้มในซีซั่น 2017-18 ก็ประเดิมเกมแรกในฤดูกาลนั้นด้วยการบุกไปอัด ไบรท์ตัน 2-0
ฤดูกาล 2018-19 ที่เรือใบสีฟ้าคือทีมเดียวแห่งทศวรรษ 2010’s ที่ป้องกันแชมป์ลีกอังกฤษได้ พวกเขาก็บุกไปตบ อาร์เซน่อล ที่คุมโดย อูไน เอเมรี่ ถึง เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม 2-0 ในสัปดาห์แรกของฤดูกาล
ขณะที่ฤดูกาลล่าสุดที่ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรก และเป็นแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 19 ก็ประเดิมด้วยการถล่ม นอริช ซิตี้ 4-1 ที่แอนฟิลด์
ซึ่งถ้าจำกันได้ดี ในซีซั่น 2019-20 หงส์แดงคือทีมที่ลงเตะก่อนใครเพื่อนด้วย เพราะได้เปิดฤดูกาลในคืนวันศุกร์ ส่วนทีมอื่นลงเตะเกมแรกช่วงเสาร์-อาทิตย์กันหมด
สำหรับโปรแกรมนัดเปิดฤดูกาล 2020-21 ของทีมในกลุ่ม “บิ๊กซิกซ์” ยังไม่มีศึกยักษ์ชนยักษ์ จึงถือเป็นสัญญาณที่ดี ที่บรรดาบิ๊กทีมจะมีลุ้นออกสตาร์ทได้อย่างสวยงาม
คืนวันเสาร์ อาร์เซน่อล เล่นก่อนในคู่หัวค่ำ บุกเยือน ฟูแล่ม ส่วนแชมป์เก่าอย่าง ลิเวอร์พูล จะเปิดบ้านพบ ลีดส์ ยูไนเต็ด เป็นคู่ดึก
คู่เอกของวันอาทิตย์ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ของ โชเซ่ มูรินโญ่ เปิดบ้านเจอ เอฟเวอร์ตัน ชุดรีโนเวทใหม่ ภายใต้การคุมทีมโดย คาร์โล อันเชล็อตติ ส่วนคืนวันจันทร์ เชลซี จะบุกเยือน ไบรท์ตัน
สำหรับ 2 ทีมเมืองแมนเชสเตอร์ที่ได้พักเยอะกว่าใครเพื่อน จะลงเตะนัดแรกในสัปดาห์ถัดไป โดย แมนฯ ยูไนเต็ด จะพบ คริสตัล พาเลซ ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ ต้องบุกเยือน วูล์ฟแฮมป์ตัน
2. เปิดมา 4 นัดแรกต้องห้ามแพ้เลย
หากลองดูแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาลที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่คว้าได้ 2 ฤดูกาลติด หรือ ลิเวอร์พูล ที่เป็นแชมเปี้ยนทีมล่าสุด จะพบว่าพวกเขาต่างรักษาสถิติไร้พ่ายกันอย่างยาวนานทั้งนั้น กว่าจะโดนคู่แข่งยัดเยียดความปราชัยนัดแรกได้
หงส์แดงของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เกือบฝันถึงสถิติไร้พ่ายได้เลยด้วยซ้ำ เพราะฤดูกาลที่ผ่านมา พวกเขาเก็บไปถึง 79 แต้มจาก 27 เกมแรก ด้วยสถิติสุดอลังการชนะ 26 เสมอ 1 ก่อนมาพลาดท่าบุกไปโดน วัตฟอร์ด ยำใหญ่ 3-0 แบบช็อคโลก
ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในยุคของ เป๊ป จะไม่แพ้ใครจนกว่าจะถึงเดือนธันวาคม ในฤดูกาลที่พวกเขาเป็นแชมป์
โดยฤดูกาล 2017-18 ที่กวาด 100 คะแนนเป็นสถิติสูงสุดตลอดกาล พวกเขาไม่แพ้เลยใน 22 เกมแรก ขณะที่ซีซั่น 2018-19 ก็ออกสตาร์ทด้วยการแพ้ใครไม่เป็นยาวนานถึง 15 เกม
อย่างไรก็ตาม การแพ้อย่างรวดเร็วใช่ว่าจะหมดสิทธิ์ฝันถึงการเป็นแชมป์
เพราะ เชลซี ในฤดูกาล 2016-17 ของกุนซือคอนเต้ ปราชัยเป็นนัดแรกตั้งแต่เกมที่ 5 ด้วยน้ำมือ ลิเวอร์พูล 1-2 คา สแตมฟอร์ด บริดจ์ แถมยังโดน อาร์เซน่อล อัดเละ 3-0 ในเกมที่ 6 ที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม อีกต่างหาก
แต่เกมแพ้ทีมปืนใหญ่นั่นแหละ ที่มันกลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนให้ คอนเต้ ปรับแท็กติกเป็นแผน 3-4-3 ก่อนพาทีมโชว์ฟอร์มโหดแบบฉุดไม่อยู่ลากยาวไปจนจบฤดูกาล
.
ทีนี้เมื่อโจทย์คือการห้ามแพ้เลยใน 4 นัดแรก เรามาดูโปรแกรมของทีมลุ้นแชมป์ในซีซั่นนี้กันดีกว่า ว่าหนัก-เบากันแค่ไหน
แชมป์เก่าอย่าง ลิเวอร์พูล ถือว่าเจองานไม่ง่าย เพราะหลังจากเปิดบ้านรับมือน้องใหม่อย่าง ลีดส์ ยูไนเต็ด ในวันเสาร์นี้ พวกเขาจะต้องพบ เชลซี (เยือน), อาร์เซน่อล (เหย้า) และ แอสตัน วิลล่า (เยือน)
ทางด้านเต็งหนึ่งอย่าง แมนฯ ซิตี้ ก็ใช่ว่าจะเจองานสบาย เพราะเกมลีกนัดแรกที่ได้แข่งช้ากว่าชาวบ้าน ในคืนวันจันทร์ที่ 21 กันยายน ต้องบุกเยือนทีมที่ล้มพวกเขาแบบไปกลับเมื่อปีก่อนอย่าง วูล์ฟแฮมป์ตัน
จากนั้นจะเป็นการเจอกับ เลสเตอร์ ซิตี้ (เหย้า), ลีดส์ ยูไนเต็ด (เยือน) และ อาร์เซน่อล (เหย้า)
เชลซี อาจเจองานเบาๆ ซะส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ไบรท์ตัน (เยือน), เวสต์บรอมวิช (เยือน) และ คริสตัล พาเลซ (เหย้า) แต่การที่นัดที่ 2 ต้องเปิดบ้านพบ ลิเวอร์พูล ถือว่าไม่ง่ายที่จะมีแต้ม
อาร์เซน่อล ของ มิเกล อาร์เตต้า จะประเดิมด้วยการเยือน ฟูแล่ม ต่อด้วย เวสต์แฮม (เหย้า), ลิเวอร์พูล (เยือน) และ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด (เหย้า) ถือว่าที่หนักๆ มีแค่เกมเยือนแอนฟิลด์
ทางด้าน แมนฯ ยูไนเต็ด ดูมีโอกาสดีที่สุดที่จะรักษาสถิติไร้พ่ายใน 4 เกมแรก เพราะไม่เจองานหนักมากเท่าไร ด้วยการพบ พาเลซ (เหย้า), ไบรท์ตัน (เยือน), สเปอร์ส (เหย้า) และ นิวคาสเซิ่ล (เยือน)
3. ห้ามแพ้ทั้ง 6 เกมที่เจอทีมน้องใหม่
ทีมที่จะเป็นแชมป์ต้องเป็นทีมที่มาตรฐานดีที่สุดของลีก และมันคงไม่ค่อยดีแน่ ถ้าคุณต้องมาแพ้ให้กับทีมที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาจาก แชมเปี้ยนชิพ
ในฤดูกาล 2016-17 เชลซี ทำสถิติชนะ 5 เสมอ 1 ในการพบกับ มิดเดิ้ลสโบรช์, ฮัลล์ ซิตี้ และ เบิร์นลี่ย์
ซีซั่น 2017-18 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ทำสถิติชนะ 5 เสมอ 1 เช่นกัน ในการเจอกับ นิวคาสเซิ่ล, ไบรท์ตัน และ ฮัดเดอร์สฟิลด์
ฤดูกาล 2018-19 เป็นอีกครั้งที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า พาทีมเก็บ 16 แต้มจาก 18 คะแนนเต็มในการเจอทีมน้องใหม่ ประกอบด้วย วูล์ฟแฮมป์ตัน, คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ และ ฟูแล่ม
ขณะที่ ลิเวอร์พูล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ สร้างมาตรฐานขึ้นมาใหม่ในซีซั่นที่ผ่านมา ด้วยการชนะทีมที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาได้ทั้งหมด โดยกวาด 18 คะแนนเต็มในการเจอ นอริช, เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และ แอสตัน วิลล่า ทั้งเหย้าและเยือน
ซึ่งในฤดูกาลนี้ มีถึง 2 ทีมในกลุ่มลุ้นแชมป์ที่จะได้เจอน้องใหม่ตั้งแต่วันเปิดฉากซีซั่น ได้แก่ อาร์เซน่อล ที่ต้องบุกเยือน ฟูแล่ม และ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านพบ ลีดส์ โดยทั้ง 2 คู่ต่างลงหวดคืนวันเสาร์ทั้งหมด
4. ต้องมีช่วงไร้พ่ายในลีกอย่างน้อย 13 นัดติดต่อกัน
แน่นอนว่าการลุ้นแชมป์ลีก คือการต่อสู้ในระยะยาว และหลักฐานที่บอกได้ว่าทีมของคุณมีมาตรฐานดีที่สุด ก็คือการโชว์ความสามารถในการเก็บผลการแข่งขันที่ต้องการได้อย่างต่อเนื่อง
ในฤดูกาล 2016-17 เชลซี ของ อันโตนิโอ คอนเต้ พลิกฟอร์มจากที่ออกไปโดน อาร์เซน่อล ถล่ม 3-0 กลับมาคว้าชัยชนะ 13 นัดรวดด้วยแท็กติกใหม่ 3-4-3 จนเข้าป้ายซิวแชมป์ไปแบบเหนือชั้น
ฤดูกาล 2017-18 แมนฯ ซิตี้ แพ้ใครไม่เป็นตลอด 22 เกมแรกของฤดูกาล แถมมีช่วงทำสถิติชนะในพรีเมียร์ลีกติดต่อกันยาวนานที่สุด นั่นคือ 18 นัดซ้อน แต่น่าเสียดายที่เกมนัดที่ 23 มาเสียสถิติเพราะการออกไปแพ้ ลิเวอร์พูล 4-3 ที่แอนฟิลด์
ซีซั่น 2018-19 ที่เรือใบสีฟ้าเบียดหงส์แดงซึ่งกวาดไปถึง 97 แต้ม ป้องกันแชมป์ได้แบบเหลือเชื่อ ก็เพราะผลงานออกสตาร์ทสุดแกร่ง ไร้พ่าย 15 เกมแรก และกวาดชัยชนะได้แบบ 100% ในช่วง 14 เกมสุดท้าย
ส่วน ลิเวอร์พูล เมื่อฤดูกาลล่าสุดก็อย่างที่รู้กัน พวกเขาออกสตาร์ทซีซั่นด้วยสถิติที่ไม่เคยมีใครทำได้อย่างการชนะ 26 เสมอ 1 ใน 27 เกมแรก จนทุกคนยกแชมป์ให้พวกเขาอย่างไม่เป็นทางการตั้งแต่ก่อนโคโรน่าไวรัสจะแพร่ระบาดเสียอีก
5. ห้ามสะดุดติดกันเกิน 3 นัด
ทีมที่ดีพอจะเป็นแชมป์ นอกจากต้องเก็บแต้มให้ได้อย่างคงเส้นคงวาแล้ว อีกหนึ่งคุณสมบัติที่สำคัญก็คือ ต้องมีช่วงสะดุดที่ไม่ยาวนานเกินไป
ทีมสุดท้ายที่สามารถคว้าแชมป์ได้ ทั้งที่เคยมีช่วงชนะใครไม่เป็นนานเกิน 3 นัดติดต่อกัน คือ อาร์เซน่อล ซีซั่น 2001-02
แม้ในฤดูกาลนั้น ทีมปืนใหญ่จะไม่ชนะใคร 4 เกมซ้อน ระหว่างนัดที่ 9-12 แต่พอพ้นช่วงคริสต์มาส อาร์แซน เวนเกอร์ ก็พาทีมติดเครื่องยาวทันที
ฤดูกาล 2016-17 เชลซี ฟอร์มหลุดในเกมนัดที่ 4 ที่บุกไปเสมอ สวอนซี 2-2 ก่อนจะแพ้ ลิเวอร์พูล และ อาร์เซน่อล แต่หลังจากนั้นก็เปลี่ยนแผนจนชนะ 13 นัดรวดอย่างที่บอกไป
ซึ่งหลังจากนั้นมา ทีมที่ดีพอจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในบั้นปลาย ไม่เคยสะดุดเกิน 2 นัดในระหว่างซีซั่นให้เห็นอีกเลย
“ไม่สะดุดติดกันเกิน 2 นัด” นะครับ ถือว่าทำได้ยากยิ่งกว่า “ไม่สะดุดติดกันเกิน 3 นัด” เสียอีก
ฤดูกาล 2017-18 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำสถิติยอดเยี่ยม เพราะนอกจากจะคว้า 100 แต้มแล้ว พวกเขายังกลับมาคว้าชัยชนะได้ทันทีทุกครั้งที่ผ่านเกมที่เพิ่งพลาดท่าเสมอหรือแพ้
ซีซั่น 2018-19 ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็เค้นฟอร์มสุดยอด จากที่เคยแพ้ 2 นัดติดให้กับ คริสตัล พาเลซ คาบ้าน ตามด้วยบุกแพ้ เลสเตอร์ ในเดือนธันวาคม กลายเป็นว่าพอเข้าช่วงครึ่งซีซีซั่นหลัง ระเบิดฟอร์มโหดกวาดชัยชนะได้ถึง 18 เกมจาก 19 นัด
ขณะที่ฤดูกาล 2019-20 ลิเวอร์พูล ก็ไม่เคยสะดุด 2 นัดติดในช่วงก่อนการันตีแชมป์ ที่หลุดเจ๊า เบิร์นลี่ย์ 1-1 และออกไปแพ้ อาร์เซน่อล 2-1 นั่นเป็นเพราะเสียสมาธิจากการปิดจ๊อบคว้าแชมป์ไปครองได้แล้ว
.
6. ตลอดทั้งฤดูกาลห้ามแพ้เกิน 5 นัด
จากการที่ อาร์เซน่อล คือทีมเดียวในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก ที่คว้าแชมป์ได้ด้วยสถิติไร้พ่าย เราจึงบอกได้ว่าการหลีกเลี่ยงความปราชัยในฤดูกาลที่ต้องแข่งกันถึง 38 นัด มันแทบจะเป็นไปไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ทีมที่จะเป็นแชมป์จะมีสิทธิ์แพ้ได้ แต่โควตาสำหรับความแพ้พ่าย ตามมาตรฐานแล้วคือต้องห้ามเกิน 5 นัดอย่างเด็ดขาด
ทีมสุดท้ายที่แพ้มากกว่า 5 นัดแต่สามารถคว้าแชมป์ได้สำเร็จคือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่พ่ายไป 6 นัดในฤดูกาล 2013-14 ซึ่งทุกคนคงจำกันได้ดีว่า นั่นคือปีที่ ลิเวอร์พูล สะดุดหัวทิ่มจนวืดแชมป์ไปเองในช่วงท้ายซีซั่น
7. ต้องชนะอย่างน้อย 30 นัด
นับตั้งแต่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เข้ามาเป็นกุนซือของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่เคยมีแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลไหน เก็บได้น้อยกว่า 90 แต้มมาก่อน
เชลซี (2016-17) ทำได้ 93 แต้ม : ชนะ 30 เสมอ 3 แพ้ 5
แมนฯ ซิตี้ (2017-18) 100 แต้ม : ชนะ 32 เสมอ 4 แพ้ 2
แมนฯ ซิตี้ (2018-19) 98 แต้ม : ชนะ 32 เสมอ 2 แพ้ 4
ลิเวอร์พูล (2019-20) 99 แต้ม : ชนะ 32 เสมอ 3 แพ้ 3
การจะการันตี 90 แต้มที่แน่นอนที่สุด จะมีอะไรดีไปกว่าชนะให้ได้ 30 นัด แม้มันจะเป็นเรื่องยากมากก็เถอะ
สำหรับสถิติชนะมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกหนึ่งฤดูกาล ตกเป็นของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ฤดูกาล 2017-18 กับ ลิเวอร์พูล 2019-20 ครองไว้ร่วมกันที่จำนวน 32 นัด
สิ่งนี้น่าจะแสดงให้เห็นชัดเจนว่า การจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกให้ได้ในยุคหลังๆ ชัยชนะทุกนัด มันสำคัญมากๆ เลยทีเดียว
8. คลีนชีตอย่างน้อย 15 นัด
“เกมรุกทำให้คุณชนะ แต่เกมรับทำให้คุณเป็นแชมป์”
นี่คือประโยคคลาสสิคที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตตำนานบรมกุนซือของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ครองสถิติผู้จัดการทีมที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมากที่สุดตลอดกาลถึง 13 สมัย เคยกล่าวเอาไว้
ป๋าเฟอร์กี้กล่าวไว้ไม่ผิด เพราะสิ่งที่มันเป็นจริงในเกมฟุตบอลแน่นอน 100% ก็คือตราบใดที่ทีมของคุณไม่เสียประตู คุณไม่มีทางแพ้
ในรอบ 4 ฤดูกาลหลังสุด ทีมที่คว้าโทรฟี่พรีเมียร์ลีก จะเสียประตูไม่เกิน 33 ลูก นั่นหมายความว่าพวกเขามีค่าเฉลี่ยการโดนยิงต่อเกม ไม่ถึงนัดละ 1 ประตู
ทีนี้มาดูสถิติคลีนชีตของแชมป์พรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่ปี 2016-17 กันว่าเป็นอย่างไรบ้าง
2016-17 : เชลซี 16 นัด
2017-18 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 18 นัด
2018-19 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 20 นัด
2019-20 : ลิเวอร์พูล 15 นัด
ถึงแม้ 3 ฤดูกาลหลังสุด ผู้รักษาประตูที่เก็บคลีนชีตเยอะที่สุดในลีกจะไม่ใช่นายทวารของแชมเปี้ยน (เด เคอา 2018, อลีสซง 2019 และ เอแดร์ซอน 2020) แต่มันชัดเจนว่าคุณต้องมีนายประตูและแผงหลังที่ไว้ใจได้จริงๆ เท่านั้น ถึงจะกล้าหวังแชมป์
หากยึดเกณฑ์นี้ถือว่าแนวรับของ ลิเวอร์พูล ยังดูดีที่สุด จากการที่มีผู้เล่นระดับโลกถึง 4 คน ทั้ง อลีสซง เบ็คเกอร์, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน
ทีมที่น่าเป็นห่วงคือ เชลซี เพราะแม้จะได้ตัวเซนเตอร์แบ็กประสบการณ์สูงอย่าง ติอาโก้ ซิลวา มาคุมแดนหลัง แต่ตำแหน่งนายประตูยังคงเป็นเครื่องหมายคำถาม เพราะซีซั่นก่อน เกปา อาร์รีซาบาลาก้า มีสถิติเป็นนายทวารที่แย่ที่สุด ไม่รู้ว่าพอเปิดฤดูกาลใหม่จะกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้มั้ย
ขณะที่ เอดูอาร์ เมนดี้ ผู้รักษาประตูของ แรนส์ ที่มีข่าวว่าทีมสิงห์บลูส์ต้องการดึงตัวเข้ามาเสริมเร็วๆ นี้ ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นคนที่ใช่แค่ไหน และไม่แน่ใจว่าจะเข้ามายึดมือหนึ่งได้ทันทีหรือไม่ด้วย
9. ต้องมีผู้เล่นยิงเกิน 15 ประตูอย่างน้อย 2 คน
ถึงเกมรับจะดีแค่ไหน แต่คุณจะชนะคู่แข่งได้ ก็ต้องยิงประตูได้มากกว่าเขาเท่านั้น
ซึ่งหน้าที่ส่งบอลเข้าสู่ก้นตาข่าย หลักๆ คงต้องฝากความหวังไว้ที่แนวรุก และทีมที่มีเกมรุกไว้ใจได้มากที่สุด ก็จะมีโอกาสเป็นแชมป์มากกว่าใครเพื่อน
ในฤดูกาล 2016-17 เชลซี มี ดีเอโก้ คอสต้า เป็นดาวซัลโวประจำทีมด้วยการซัดไป 20 ประตู ขณะที่พระเอกในแผนกโจมตีอย่าง เอแด็น อาซาร์ ก็ไม่น้อยหน้า ยิงเองไปถึง 16 ลูก
ซีซั่น 2017-18 และ 2018-19 ที่ แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์ 2 ปีติด พวกเขามี เซร์คิโอ อเกวโร่ ยิงได้ซีซั่นละ 21 ประตู โดย ราฮีม สเตอร์ลิ่ง พัฒนาสกิลจบสกอร์เพิ่มขึ้น ด้วยการซัดได้ 18 ลูก และ 17 ลูกตามลำดับ
อันที่จริง ฤดูกาลที่ผ่านมา ทีมเรือใบสีฟ้ายังคงมีแนวรุกที่อันตราย จากการที่ สเตอร์ลิ่ง ยิงถึงหลัก 20 ลูก ส่วน อเกวโร่ ก็ซัดไป 16 ประตูก่อนเจ็บยาว แถมยังมีราชาแอสซิสต์อย่าง เควิน เดอ บรอยน์ อีกต่างหาก
เกมรุกของพวกเขาไม่ใช่ปัญหา แต่จุดอ่อนในเกมรับของพวกเขาในเกมสำคัญ คือปัจจัยหลักที่ทำให้ทีมพลาดแชมป์
ขณะที่ตำแหน่งแชมป์ลีกหนแรกในรอบ 30 ปีของ ลิเวอร์พูล นอกจากจะมีเกมรับที่สุดยอดแล้ว อีกจุดสำคัญก็คือการมีปีกดาวยิงไว้ในครอบครองถึง 2 คน ทั้ง ซาดิโอ มาเน่ (18 ประตู) และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (19 ลูก)
.
การมีนักเตะแนวรุกที่ฝากความหวังในการยิงประตูได้หลายๆ คน จะช่วยให้คู่แข่งรับมือได้ยากขึ้น
นั่นคือเหตุผลว่าทำไม เชลซี ถึงลงทุนหนักกับการคว้าตัว ฮาคิม ซิเย็ค, ติโม แวร์เนอร์ และ ไค ฮาแวร์ทซ์ แม้จะมี คริสเตียน พูลิซิช, เมสัน เมาน์ท และ แทมมี่ อับราฮัม อยู่แล้ว
แมนฯ ยูไนเต็ด แม้จะมี 3 ประสาน เมสัน กรีนวู้ด, มาร์คัส แรชฟอร์ด และ อองโตนี่ มาร์กซิยาล ที่พร้อมเรียงหน้าสลับกันมีชื่อบนสกอร์บอร์ด ร่วมกับมือสังหารจุดโทษคนเก่งอย่าง บรูโน่ แฟร์นันเดส…
แต่การที่เกมรุกของพวกเขายังจับทางได้ง่าย ทำให้ เจดอน ซานโช่ ยังคงเป็นผู้เล่นที่พวกเขาต้องปิดดีลให้สำเร็จ
สำหรับ อาร์เซน่อล แม้จะมีทรงการเล่นที่ดีขึ้นด้วยแท็กติกของ มิเกล อาร์เตต้า แต่ถ้าจะหวังสูงถึงขั้นท้าชิงแชมป์ พวกเขาจำเป็นต้องมีใครสักคน เค้นฟอร์มขึ้นมาช่วยแบ่งเบาภาระจาก ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง บ้าง
เพราะ 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา สตาร์ทีมชาติกาบองคือคนเดียวของทีม ที่ยิงในลีกได้ไม่น้อยกว่า 15 ประตู
10. ต้องเปิดบ้านชนะ สเปอร์ส และ เลสเตอร์
เราคงต้องขออภัย ที่ต้องบอกตามตรงว่า เลสเตอร์ ซิตี้ ของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ของ โชเซ่ มูรินโญ่ ยังมีความพร้อมไม่มากพอที่จะเป็นแชมป์ฤดูกาลนี้ได้ เราถึงต้องพูดถึงสถิตินี้ขึ้นมา
ถึงแม้ เลสเตอร์ จะเคยสร้างปาฏิหาริย์คว้าแชมป์แบบไม่มีใครคาดคิดในฤดูกาล 2015-16 แต่หลังจากนั้นก็อย่างที่เห็น ว่าพวกเขาไม่เคยดีพอแม้กระทั่งติดท็อปโฟร์ได้อีก
ขณะที่ สเปอร์ส ยังคงเป็นทีมเดียวในกลุ่ม “บิ๊กซิกซ์” ที่ยังไม่เคยคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก
อย่างไรก็ตาม ถ้าจะบอกว่า 2 ทีมนี้คือสโมสรที่ดูจะมีมาตรฐานสูงที่สุด นอกเหนือจากบรรดาทีมเต็งแชมป์ก็คงไม่ผิดนัก และถือเป็นโจทย์สำคัญที่จะชี้วัดได้ดีที่สุดสำหรับทีมที่จะเป็นแชมเปี้ยน ว่าเก่งพอจริงๆ ที่จะสามารถเอาชนะ 2 ทีมนี้ที่สนามของตัวเองได้หรือไม่
ฤดูกาล 2016-17 เชลซี เปิดบ้านอัด เลสเตอร์ 3-0 และเฉือนสเปอร์ส 2-1
ฤดูกาล 2017-18 แมนฯ ซิตี้ ถล่มทั้ง 2 ทีมได้แบบขาดลอยในการเล่นที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม โดยชนะ สเปอร์ส 4-1 และยำใหญ่ เลสเตอร์ อีก 5-1
ซีซั่น 2018-19 เรือใบสีฟ้าป้องกันแชมป์ได้แบบหืดจับ แต่นั่นก็เพราะพวกเขาไม่พลาด 3 แต้มสำคัญในการเฉือนทั้ง สเปอร์ส และ เลสเตอร์ ด้วยสกอร์ 1-0 ทั้งคู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คงไม่มีใครลืมลูกยิงไกลปลิดวิญญาณของ แว็งซ็องต์ ก็องปานี ที่ทำให้แฟนหงส์ฝันสลายกันเป็นแถว ขณะที่ในฤดูกาลนั้น หงส์แดง โดนทีเด็ด แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ซัดแบ่งแต้มจนเสมอ 1-1 ที่แอนฟิลด์ นี่คือจุดแตกต่างว่าทำไม แมนฯ ซิตี้ ถึงคว้าแชมป์ไปครองได้ด้วยช่องว่างแต้มเดียว
ขณะที่ฤดูกาล 2019-20 ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ต้องเหนื่อยหนัก กว่าจะโค่นทั้ง เลสเตอร์ และ สเปอร์ส ได้ที่แอนฟิลด์ โดยได้ประตูชัยจากจุดโทษช่วงท้ายเกมทั้ง 2 นัดที่เฉือนชนะไปด้วยสกอร์ 2-1 ทั้ง 2 เกม
ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เสียโมเมนตัมอย่างรวดเร็วจากการโดน สเปอร์ส บุกเสมอ 2-2 ตั้งแต่เกมลีกนัดที่ 2 จากการที่โดนพิษ วีเออาร์ ริบประตูชัยอย่างเจ็บปวดในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
เท่าที่ดูจาก 10 มาตรฐานที่เรายกมา จะเห็นได้ว่าการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกในช่วงหลังๆ คือสิ่งที่ทำได้ยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน
แต่เพราะแบบนี้นี่แหละ ที่ทีมที่สามารถคว้าแชมป์ได้ ถึงคู่ควรกับการยกย่องอย่างแท้จริง
ไม่รู้ว่าแชมป์พรีเมียร์ลีกซีซั่น 2020-21 จะยังรักษามาตรฐานทั้ง 10 ข้อที่เราพูดถึงไว้ได้หมดหรือไม่
แต่ทุกคนคงต้องคาดหวังว่ามันจะเป็นฤดูกาลที่ลุ้นแชมป์กันสนุกแน่ๆ...
#เสียบสามเหลี่ยม #Liverpool #LFC #ManCity #MCFC #Chelsea #CFC #ManUtd #MUFC #Arsenal #Tottenham #Leeds #Leicester #PremierLeague
ชอบกดไลค์ ถูกใจกดแชร์ และเพื่อไม่พลาดบทความคุณภาพจากเรา อย่าลืมกดไลค์เพจ และติดตามเพจแบบ See First ไว้เลยนะครับ
..สนใจติดต่อลงโฆษณา, สนับสนุนเพจ ติดต่อจ้างงานเขียนบทความฟุตบอล งานแปลข่าว เขียนสคริปต์สำหรับ Content ฟุตบอล หรือแปลหนังสือฟุตบอล ทักอินบ็อกซ์ สอบถามได้ตลอดเวลาครับ
2 บันทึก
10
1
2
10
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย