💥 5 ข้อ วางแผนทำสินเชื่อบ้าน ให้ได้วงเงินเต็ม-สูง❗️
🏠การมีบ้านเป็นของตัวเอง เป็นเรื่องใหญ่ และเป็นเรื่องที่ใครหลายๆคนต่างใฝ่ฝันถึงว่าจะมีเป็นของตัวเองให้ได้ 💭
.
⚠️ แต่มีอยู่หลายท่านเช่นกัน พอถึงเวลาจะซื้อบ้าน/คอนโดตัวเองแล้ว กับติดปัญหา กู้ไม่ได้ กู้ไม่ผ่าน เสียงั้นไป!! 😱 หรือบางท่านอาจกู้ได้ แต่ได้วงเงินสินเชื่อไม่พอ 💔 สุดท้าย เข้าเนื้อ จำใจต้องควักเงินตัวเองเพิ่มเข้าไป 😭😭
.
แต่ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป ถ้าเรามีการวางแผนประวัติการเงินที่ดี 📝 เตรียมความพร้อมไว้ก่อนตั้งแต่เนิ่นๆ
.
💢 และด้วยประสบการณ์ของทีมอสังหาคุ้มค่า ที่ผ่านการทำสินเชื่ออสังหามากกว่า 10 ปี 🔥🔥 ในบทความนี้ จะมาเผย “5 ข้อ วางแผนทำสินเชื่อบ้านให้ได้วงเงินเต็ม วงเงินสูง อนุมัติไว” กันครับ 😉😉
.
💡1 - รายได้ตัวเอง
.
สิ่งแรกเลยนะครับ ที่เราต้องรู้คือ เรามีรายได้แท้จริงเฉลี่ยต่อเดือนเท่าไหร่ มีแหล่งที่มาอย่างไร สามารถเป็นได้ทั้ง เงินเดือน / ค่าคอมมิชชั่น / Bonus / เบี้ยเลี้ยง / การเสียภาษี / สวัสดิการต่างๆ ฯลฯ หรือหากท่านใดประกอบธุรกิจส่วน ก็จะใช้เป็นใบจดทะเบียนการค้า ผลประกอบการธุรกิจ หลักฐานการเสียภาษีบิลยอดสั่งซื้อลูกค้า หลักทรัพย์ค้ำประกันที่มีราคาสูง เรียกได้ว่า เรามีรายได้อะไร เท่าไหร่ ก็ขนออกมาแสดงให้หมด
.
หลักฐานเหล่านี้ จะทำให้ธนาคารมั่นใจว่า เรามีรายได้ที่มั่นคงจริง มีความสามารถหาเงินมาผ่อนชำระกับทางธนาคารเขาได้ และธนาคารจะกำหนดประมาณวงเงินเราได้มาก และอนุมัติสินเชื่อได้ง่าย ได้ไวมากขึ้นครับ
.
⚠️ เทคนิคสำหรับข้อนี้คือ
(1) รายได้ของเรา ต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนรายได้จากการทำงานอย่างน้อย 2 ปี
(1A) สำหรับพนักงานประจำ หลักฐานรายได้ที่ต้องใช้ ได้แก่ สลิปเงินเดือน (เป็นสลิปคาร์บอนจะดีมาก) สลิปโบนัส หลักฐานการเสียภาษี เป็นต้น
(1B) หากคุณมีอาชีพอิสระ คุณควรเก็บหลักฐานเอกสารรายได้ของคุณอย่างต่อเนื่อง ใส่เงินรายได้ของคุณเข้ามาในบัญชีของคุณ ให้เงินที่เข้ามาอยู่ในบัญชีนิ่งๆ ไม่ไหลออกเร็ววัน ทำอย่างสม่ำเสมออย่างต่อเนื่อง และมีหลักฐานการชำระภาษีอย่างน้อย 1-2 ปี
(1C) หากคุณประกอบธุรกิจ เอกสารสำคัญที่ต้องใช้คือ ใบจดทะเบียนการค้า ใบภ.พ.30 บิลยอดขาย เป็นต้น
❗️เห็นได้เลยนะครับว่า การยื่นแบบภาษี มีประโยชน์อย่างมากกับการทำสินเชื่อบ้าน ❗️
(2) ประมาณวงเงินสินเชื่อจะขึ้นอยู่กับรายได้ในช่วง 1 ปีสุดท้ายมากที่สุด และในช่วงโค้งอันตราย 6 เดือนสุดท้าย บัญชีเงินคุณ ควรมีรายการเงินฝากมากกว่าการถอนเงิน
(3) คำเตือน!! อย่าคิดปลอมแปลงเอกสารรายได้เด็ดขาด หากธนาคารตรวจพบการทุจริต คุณจะถูกระบุเป็นบุคคลต้องระวังของสถาบันการเงินทันที ได้ไม่คุ้มเสียอย่างแน่นอน!
🚫 มาตรา 265 ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิ หรือเอกสารราชการต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท 🚫
.
💡2 - ภาระหนี้
.
เมื่อรู้รายได้ของตัวเองแล้ว ก็มาต่อที่ ภาระหนี้ของตัวเอง ว่าเรามีค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระต่อเดือนมากน้อยเท่าไหร่ (ย้ำนะครับ!! ว่าต่อเดือน ไม่ใช่ทั้งหมด) ซึ่งภาระหนี้สินเหล่านี้ สามารถคิดได้จากรายการดังนี้ ค่าบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ สินเชื่อธุรกิจ และสินเชื่ออื่นๆ ที่เราได้ทำกับธนาคาร
.
การที่เรามีภาระหนี้ต่อเดือนสูง จะส่งผลต่อประมาณวงเงินของเรา เพราะทางธนาคารประเมินว่าเรามีชำระเงินกับเขาได้น้อย เมื่ออ้างอิงกับรายได้ที่เรามีอยู่ในแต่ละเดือน ดังนั้นในข้อนี้ ยิ่งมีน้อยเท่าไหร่ ยิ่งดีเท่านั้น!!
.
⚠️ เทคนิคสำหรับข้อนี้คือ:
(1) ธนาคารจะคิดคำนวณภาระหนี้ จากหนี้ในระบบเท่านั้น ไม่รวมหนี้นอกระบบ
(2) การชำระสินเชื่อ - ยิ่งเราชำระตรงเวลา ชำระเต็มวงเงินมากเท่าไหร่ ธนาคารจะยิ่งมองว่าเราเป็นลูกค้าที่ดี มีเงิน ไม่มีภาระหนี้ มากเท่านั้น
(3) สินเชื่อบัตร - ไม่ควรใช้เงินเกิน 70% ของวงเงินที่มีในบัตร เพราะธนาคารจะประเมินว่าเราพฤติกรรมใช้เงินเกินตัวได้
(4) ภาระหนี้ - เราควรชำระหนี้ให้หมด ก่อนทำเรื่องสินเชื่อบ้านเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน
.
💡3 - ทรัพย์สินปลอดภาระ
.
คือทรัพย์สิน ปราศจากภาระผูกพัน หรือที่ผ่อนกับทางธนาคารครบหมดแล้ว การที่เรามีทรัพย์สินปลอดภาระเหล่านี้ อาจไม่ได้มีผลต่อวงเงินสินเชื่อของเรา แต่จะมีส่วนช่วยให้การอนุมัติสินเชื่อของเราง่ายมากยิ่งขึ้น เพราะธนาคารจะมองว่าเรา มีความมั่งคั่ง และมีความมั่นคงทางด้านการเงินที่ดี สามารถผ่อนชำระกับธนาคารได้ แม้ว่าเราจะไม่มีรายได้ในอนาคต
.
ทรัพย์สินปลอดภาระ ที่ธนาคารอาจนำมาคิด มีเพียงบางรายการ ดังต่อไปนี้ คือ เงินออม สลากออมทรัพย์ รถยนต์ บ้าน โฉนดที่ดิน (ไม่รวมทองคำ)
.
⚠️ สำหรับทริคในข้อนี้ คือ:
(1) เงินออม เราควรมีให้ถึงอย่างน้อย 10% ของราคาทรัพย์ที่เราต้องการจะซื้อ และมีคงค้างอยู่ในบัญชีของเราเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน
(2) ทองคำ ไม่ถูกนับว่าเป็นทรัพย์สินปลอดภาระของธนาคาร
.
💡4 - รู้ศักยภาพตัวเอง
.
ข้อนี้สำคัญมากเลยครับ นอกเหนือจากรู้รายได้ และภาระค่าใช้จ่ายของตนเองแล้ว การประเมินศักยภาพความสามารถในการกู้ และการผ่อนชำระของตัวเราเอง จะช่วยให้การทำสินเชื่อของคุณประสบความสำเร็จได้อย่างแม่นยำ เปรียบเสมือนการลับขวานให้คมอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เราสามารถตัดท่อนไม้ให้ขาดได้ในครั้งเดียว
.
สำหรับการประเมินศักยภาพของตัวเอง จะมีอยู่ 2 ขั้นตอน
.
4.1) ประเมินวงเงินสินเชื่อของธนาคาร
- คือการประเมินว่า เราสามารถได้วงเงินสินเชื่อบ้านเท่าไร่ จากรายได้ที่เรามีต่อเดือน โดยปกติแล้วธนาคารแต่ละสถานบันจะมีกฎเกณท์การคิดวงเงินสินเชื่อที่แตกต่างกัน แต่โดยเฉลี่ยแล้วจะคิดวงเงินจากรายได้ต่อเดือนของเราที่ 70% และลบภาระหนี้ของเราออกไป ส่วนที่เหลือคือรายได้สุทธิ สำหรับคิดวงเงินสินเชื่อที่แท้จริงของเรา โดยเฉลี่ยแล้ว ธนาคารให้วงเงินสินเชื่อ 1 ล้านบาท ต่อรายได้สุทธิ 7,000 บาท ผลลัพธ์ที่ได้ คือวงเงินสินเชื่อที่คุณสามารถขอได้จากทางธนาคาร หากใครยังไม่เข้าใจ ลองดูจากสูตรสรุปนี้ดูครับ
.
วงเงินสินเชื่อบ้าน (ลบ.) = (((รายได้รายเดือน * 70%) - ภาระหนี้รายเดือน) / 7,000)
.
4.2) ประเมินความสามารถในการผ่อนชำระ
- คือการประเมินตัวเองว่า เราสามารถผ่อนสินเชื่อธนาคารต่อเดือน ไหวอยู่เท่าไหร่ โดยเฉลี่ยแล้ว ธนาคารคิดค่าผ่อนไม่เกิน 7,000 บาทต่อเดือน ต่อวงเงินสินเชื่อ 1 ล้านบาท หรือสามารถดูสูตรสรุปนี้ครับ
.
วงเงินสินเชื่อบ้านที่เราผ่อนไหว (ลบ.) = (ค่าผ่อนต่อเดือนที่เราสามารถรับได้ / 7,000)
.
⚠️ ทริคในข้อนี้คือ:
(1) ราคาบ้าน/คอนโด ควรเลือกในราคาที่ตนเองผ่อนชำระต่อเดือนไหวเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะเกิดผลกระทบต่อผู้กู้ในระยะยาว
(2) เพื่อให้การซื้อบ้าน/คอนโดของเรา ได้วงเงินสูงหรือเต็ม 100% เราควรเลือกบ้าน/คอนโดที่มีราคาไม่สูงกว่าวงเงินสินเชื่อธนาคาร
(3) หากวงเงินสินเชื่อของเราต่ำกว่าราคาบ้าน/คอนโดที่เราเล็งเอาไว้ ให้ปรับแก้ปริมาณรายได้ หรือแก้ภาระหนี้ของเรา เพื่อขยายวงเงิน - เพิ่มศักยภาพการทำสินเชื่อของเรา ขอคำปรึกษาเพิ่มเติม inbox เข้ามาถามอสังหาคุ้มค่าได้ครับ
.
💡5 - ประวัติการชำระหนี้ หรือ เครดิตบูโร
.
ความหมายในข้อนี้ ตรงตามชื่อหัวข้อเลยนะครับ เป็นประวัติการชำระสินเชื่อที่เราได้เคยทำเอาไว้กับธนาคารต่างๆทั่วประเทศไทย โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกบันทึกเก็บไว้ที่สำนักงานเครดิตบูโรแห่งชาติ หากเรามีประวัติการชำระสินเชื่อที่ดี ไม่มีประวัติค้างชำระหนี้ เราจะเป็นบุคคลที่มีวินัยทางการเงินสูง มีความน่าเชื่อถือในสายตาของธนาคาร และเขาก็จะอยากอนุมัติสินเชื่อกับเรา ใครกันหล่ะ จะอยากมีลูกหนี้ที่ชอบยืมเงิน แต่ไม่ยอมคืน เบี้ยวค่าผ่อน ค้างค่าจ่ายกัน จริงไหมครับ
.
⚠️ ทริคในข้อนี้คือ:
(1) หากคุณไม่เคยมีประวัติเครดิตบูโรเลย แนะนำให้สร้างขึ้นมาก่อนอย่างน้อย 1 รายการ เพื่อทำให้ธนาคารรู้จักคุณ และเห็นวินัยทางการเงินของคุณมากขึ้น
(2) สินเชื่อต่างๆที่คุณได้ทำไว้กับธนาคาร คุณควรชำระให้ตรงตามเวลาที่กำหนด หากจ่ายเต็มวงเงินได้ จะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด
(3) หากคุณชำระล่าช้าไปแล้ว ก็ไม่ควรล่าช้าเกิน 30 วัน
(4) ถ้าคุณมีประวัติค้างชำระที่ยาวนานเกิน 30 วัน เป็นเรื่องยากที่ธนาคารจะไว้วางใจ และอนุมัติสินเชื่อให้คุณได้ คุณควรปิดชำระหนี้ให้หมดไปเสียก่อน แม้ปิดหนี้ไปแล้ว ประวัติการค้างชำระของคุณจะไม่หมดไป คุณจะต้องสร้างประวัติการชำระที่ดีขึ้นมาใหม่ และบางธนาคารจะรอดูประวัติการชำระที่ดีของคุณหลังจากนั้นอีก 1 ปี (ขั้นต่ำ)
.
เป็นอย่างไรบ้างครับ กับ “5 วิธี เตรียมความพร้อม ทำสินเชื่อบ้านให้ได้วงเงินเต็ม” ที่อสังหาคุ้มค่าได้นำมาบอกทุกคนกัน ไม่ยากเลยใช่ไหมครับ อาจมีใช้ระยะเวลาบ้าง แต่อสังหาคุ้มค่าขอรับรองว่า ผลลัพธ์ที่คุณจะได้มา มันหอมหวานมากอย่างแน่นอนครับ
.
สำหรับใครที่มี 5 ข้อข้างต้นนี้ไม่สมบูรณ์ อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าจะทำสินเชื่อไม่ได้นะครับ คุณยังมีสิทธิได้วงเงินเต็ม หรือวงเงินที่สูงอยู่ เพราะธนาคารแต่ละสถาบัน มีกฎเกณท์ที่ต่างกัน แนะนำให้ขอคำปรึกษาจากฝ่ายสินเชื่อธนาคาร หรือผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านสินเชื่อ หรือเข้ามาขอปรึกษากับทีมอสังหาคุ้มค่า ได้เช่นกันครับ เราให้บริการคำปรึกษาฟรี ไม่คิดเงินครับ!! ส่วนในโพสต์นี้ อสังหาคุ้มค่าขอลาไปก่อน สวัสดีครับ
.
"อสังหาคุ้มค่า” - ให้ทุกการลงทุนของคุณคุ้มค่ามากที่สุด!
.
🎯 ขอรับปรึกษาอสังหากับผู้เชี่ยวชาญ พร้อมข้อเสนอพิเศษ จากเรา ฟรี!!
.
ติดตามเราได้ที่:
FB: Wealth Estate : อสังหาคุ้มค่า
Youtube: Wealth Estate Thailand
Blockdit: Wealth Estate : อสังหาคุ้มค่า
#อสังหาคุ้มค่า #wealthestate #ปรึกษาอสังหา
.
#บทความ #อสังหา #ลงทุนอสังหา #ธุรกิจ #ลงทุน #ปรึกษา #การเงิน
#ให้คำปรึกษาอสังหาครบวงจร