12 ก.ย. 2020 เวลา 02:04 • ประวัติศาสตร์
ความรักของสองพี่น้อง: เรื่องจริงของ “สุสานหิ่งห้อย”
ภาพของเด็กชายชาวญี่ปุ่นที่แบกร่างไร้ชีวิตของน้องไว้บนหลังซึ่งนักข่าวอเมริกัน Joe O’Donnell ได้บันทึกไว้ระหว่างทำข่าวในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สองที่เมืองนางาซากิ ถือเป็นภาพ iconic อีกภาพหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความปราชัยของประเทศผู้แพ้ สะท้อนผลพวงของสงครามที่สุดท้ายผู้รับเคราะห์กลับเป็นชาวบ้านตาดำๆ และประชาชนผู้บริสุทธิ์
 
ตั้งแต่เดือนกันยายน 1945 ถึงเมษายน 1946 Joe ทำงานให้กับกองทัพสหรัฐ ต้องเดินทางในพื้นที่หลายจังหวัดทางภาคตะวันตกของญี่ปุ่นเพื่อเก็บข้อมูลและภาพถ่ายของผู้คนแต่ละท้องถิ่นที่ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตในรูปแบบต่างๆ กันเนื่องจากการทิ้งระเบิดโจมตีทางอากาศโดยกองทัพพันธมิตร และสองเมืองที่ราบเป็นหน้ากลองจากระเบิดนิวเคลียร์ เหยื่อผู้เคราะห์ร้าย ความทุกข์ระทมทั้งร่างกายและจิตใจจากการสูญเสียพ่อแม่พี่น้อง Joe บันทึกไว้ในสมุดเล่มใหญ่ รวมถึงในหัวใจที่ห่อเหี่ยวของตน
ในภาพเด็กน้อยคนนี้ยืนตัวตรง ภารกิจสำคัญของการนำร่างน้องชายมายังที่เผาศพได้เสร็จสิ้นลง การยืนนิ่งถือเป็นการรอรับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาคล้ายทหาร มือสองข้างแนบลำตัว ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง ดูเหมือนเด็กน้อยคนนี้กำลังแสดงความองอาจ ทว่าด้วยหัวใจที่แตกสลายไม่มีชิ้นดี
Joe เขียนไว้ว่า “ผมเห็นเด็กชายอายุราว 10 ขวบคนนี้เดินผ่านมา แบกเด็กเล็กคนหนึ่งไว้บนหลัง ในประเทศญี่ปุ่นสมัยก่อนเรามักเห็นเด็กที่มักจะเอาน้องตัวเล็กกึ่งอุ้มกึ่งสะพายไว้ด้านหลัง เพราะพ่อกับแม่อาจขอให้ช่วยเลี้ยงน้องหรือเล่นกับน้องตอนแม่ไม่ว่าง แต่เด็กในภาพคนนี้ดูแตกต่าง ดูคล้ายว่าเดินทางมา ณ ที่แห่งนี่ด้วยเหตุจำเป็น ไม่สวมรองเท้า หน้าตาจริงจัง ส่วนน้องชายที่อยู่ด้านหลังศีรษะหงายไปจนเกือบสุด เหมือนกับเด็กที่กำลังหลับสนิทคอพับคออ่อนในอัอมกอดของแม่ .. เด็กชายผู้พี่ยืนสงบนิ่งอยู่ประมาณ 10 นาที”
“กลุ่มชายสวมหน้ากากสีขาวเดินไปหาเด็กชายคนนี้ ช่วยกันปลดเชือกที่ผูกน้องตัวเล็กด้านหลังออก ตอนนั้นเองผมถึงเพิ่งสังเกตได้ว่าเด็กเล็กคนนั้นไม่มีลมหายใจแล้ว พวกนั้นค่อยๆ ช่วยกันอุ้มร่างเด็กน้อยวางบนกองฟอนและจุดไฟ ผมมองดูเด็กผู้พี่เห็นยืนนิ่งตัวตรง สายตาจ้องมองเปลวไฟ เขากัดริมฝีปากแน่นและแรงจนช้ำเลือด ครู่ใหญ่เปลวไฟจึงค่อยมอดลงเหมือนดวงตะวันลับฟ้า เด็กชายหันหลังและเดินจากไปอย่างเงียบๆ”
“I saw a boy about ten years old walking by. He was carrying a baby on his back. In those days in Japan, we often saw children playing with their little brothers or sisters on their backs, but this boy was clearly different. I could see that he had come to this place for a serious reason. He was wearing no shoes. His face was hard. The little head was tipped back as if the baby were fast asleep. The boy stood there for five or ten minutes”.
“The men in white masks walked over to him and quietly began to take off the rope that was holding the baby. That is when I saw that the baby was already dead. The men held the body by the hands and feet and placed it on the fire. The boy stood there straight without moving, watching the flames. He was biting his lower lip so hard that it shone with blood. The flame burned low like the sun going down. The boy turned around and walked silently away”.
ภาพนี้ดูเหมือนชีวิตจริงของพี่น้อง Seita กับ Setsuko ในภาพยนตร์แอนิเมชันปี 1988 “Grave of the Fireflies” ที่สร้างมาจากนวนิยายกึ่งอัตชีวประวัติของนักประพันธ์ชาวญี่ปุ่น Akiyuki Nosaka ในปี 1967 ภาพยนตร์ซาบซึ้งแต่แสนเศร้าที่หลายๆ คนไม่กล้าดูจนจบเรื่อง
Verse credit: นลินมณี
ใจหายละลายไปกับกาลเวลา
วันที่โลกนี้บ้าล้างฆ่ากันและกัน
ทำชีวิตร้อยพันดับสลาย
ทำหัวใจที่ยังไม่ตายตายไปพร้อมกัน
แม้เวลาผ่านพ้นไปแสนนาน
แต่ความเจ็บไม่เคยผ่านไปจากภาพนั้น
วันนี้เหลือเพียงภาพจากวารวัน
ความร้าวรานนั้นก็กลับคืนมา
ให้ฉันกอดเธอได้ไหม
ผู้ผ่านไปในหนทางกล้า
ให้ฉันรักเธอได้ไหม
ผู้จากไปในกาลเวลา
ให้ฉันเช็ดน้ำตาเธอได้ไหม
ผู้จากไปและไม่กลับมา
แด่หิ่งห้อยแสงน้อยที่สิ้นใจในวันที่ระเบิดถล่มนางาซากิ
โฆษณา