13 ก.ย. 2020 เวลา 01:56 • ประวัติศาสตร์
มารู้จักกษัตริย์อาณาจักรล้านนากันเถอะ
3
ตามที่เคยบอกไปว่าอยากจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับกษัตริย์ล้านนาสักครั้ง แต่ก็ดึงมานานเพราะความรู้น้อย เกรงว่าจะผิดพลาด แถมผู้ที่รู้กว่าก็มีมากและหนังสือทางนี้ก็หาซื้อไม่ง่ายเสียด้วย แต่เมื่อภารกิจถ่างตาดูบอลโลกเบาลง ก็คิดว่าเป็นฤกษ์ดีที่จะได้พูดคุยกันเสียคราวนี้น่าจะดี
เริ่มเรื่องขอเท้าความกลับไปยังสมัยผมเด็กๆ 30 ปีก่อน ตอนนั้นเรียนเราจะได้รับคำสอนว่าประเทศไทยมีมหาราชคือ 1. พ่อขุนรามคำแหง 2.พ่อขุนมังราย 3.พระนเรศวร 4.พระนารายณ์ 5.พระเจ้าตาก 6.พระพุทธยอดฟ้า 7.พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 8.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช แต่พอมาในทุกวันนี้ดูเหมือนจะมีการตัดดัดแปลงเพิ่มพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไปและไม่มีพ่อขุนมังรายเสียแล้ว ตรงนี้ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดจึงทำเช่นนั้น เพราะหากถือว่าดินแดนตอนเหนือคือประเทศไทย การยอมรับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและอารยธรรมต่างๆ ยอมเป็นไทยทั้งสิ้น พระบารมีและคุณงามความดีจึงสมควรได้รับการยกย่องในฐานะบูรพกษัตริย์ไทยเสมอด้วยกษัตริย์ในดินแดนภาคกลาง ดังนั้นในการจะไปรอให้ใครยกย่องอย่างพวกรัฐบาล ก็คงจะไปกล่อมไปเสนอความคิดกันยาก เพราะพอจะเดาเหตุผลที่ตั้งข้อแย้งไว้แล้ว ก็เลยคิดว่าเราเองที่เป็นคนไทยด้วยกันทั้งหมดนี่ล่ะ ที่ควรรำลึกและนำเสนอพระเดชพระคุณเกียรติยศกันเสียเองไม่ต้องรอใคร นี่คือเหตุที่อยากเล่าเรื่องนี้
เรื่องคงต้องเริ่มที่ดินแดนทางเหนือของเมืองไทยนั้นเป็นดินแดนอารยธรรมเก่าแก่ มีชนพื้นเมืองอยู่อาศัยมาช้านาน มักจะเรียกกันว่าชาว ลั๊วหรือลวะ(แต่คนยุธยาจะเรียกยวนหรือโยน) มีกษัตริย์ในตำนานซึ่งเป็นผู้ยิ่งใหญ่นามว่าพระเจ้าลวะจักราชเป็นผู้ปกครอง ในนามว่าแคว้นจกหรือเรียกกันในนามหิรัญนครเงินยาง ที่แม้ไม่ทราบที่ตั้งแน่ชัดแต่เชื่อว่าอยู่ในเขตจังหวัดเชียงราย สืบต่อวงษ์มาเรื่อยๆ จนถึงยุคกษัตริย์หนุ่มพระองค์หนึ่งนามว่าพ่อขุนมังรายหรือพ่อขุนเม็งราย โอรสของเจ้าลาวเมงกับนางเทพคำขยาย ราชธิดาแห่งอาณาจักรหอคำเชียงรุ้ง(ปัจจุบันอยู่ในสิบสองปันนา ประเทศจีน) ซึ่งได้รับราชบัลลังก์มาในปี พ.ศ.1804 พระองค์เห็นว่าตนเองสืบวงษ์มาจากปฐมกษัตริย์แดนเหนืออย่างพระเจ้าลวะจักราช สมควรต้องรวบรวมดินแดนต่างๆ ในอาณาจักรโยนกนาคพันธุ์ที่กระจัดกระจายไม่รวมเป็นหนึ่งเดียว ได้แก่เมืองมอบ เมืองไล่ เมืองเชียงคำ สำเร็จภายในปีแรกที่ครองราชย์ และทรงให้สร้างเมืองเชียงรายขึ้นในปีถัดมา แล้วทรงเสด็จมาครองราชย์ที่เชียงรายนับแต่นั้น
โดยสาเหตุหลักที่อพยพเมืองลงใต้เพราะเหตุภัยสงครามมองโกลที่รุกรานเขตตังเกี๋ยและพม่า รวมทั้งประชากรหิรัญนครเงินยางมีมากขึ้น แต่ทรงอยู่ได้เพียง 5 ปีก็ทรงย้ายมาประทับที่ฝาง เพื่อทำสงครามยึดเมืองเชียงของซึ่งก็สำเร็จในปี พ.ศ. 1812 หลังจากนั้นมีแผนจะเข้าตีเมืองพะเยาแต่ก็ล้มเลิกไป เพราะพระยามังรายได้ตกลงเป็นมิตรกับพระยางำเมืองและพ่อขุนรามคำแหง ทำให้แคว้นพะเยายังเป็นอิสระ
หลังจากรวบรวมเขตแดนเดิมในโยนกนาคพันธุ์หรือล้านนาเหนือไว้ได้แล้ว ก็ทรงคิดรวบรวมเขตแดนเหนือตะวันตกที่อยู่ใต้ปกครองของแคว้นหริภุญไชยอันอุดมสมบูรณ์ต่อไป ซึ่งใช้เวลานานนับ 20 ปีเลยทีเดียว โดยแผนในช่วงท้ายพระองค์ตัดสินใจสร้างเมืองใหม่ขึ้นที่เชิงดอยสุเทพ เพื่อระดมพลในการทำสงครามให้ชื่อว่า นพบุรีศรีเวียงพิงค์เชียงใหม่ ในปี พ.ศ. ๑๘๓๙ จนสามารถตีหริภุณไชยแตกในที่สุด ซึ่งต่อมาที่เมืองเชียงใหม่นี้เองที่พญาเบิกยกทัพจากเขลางค์นครลำปางมาหวังโจมตีเพื่อฟื้นคืนอาณาจักรหริภุญไชย แต่พลาดท่าสิ้นชีวิต ทำให้การรวมอาณาจักรเหนือจึงสำเร็จ และพระยามังรายถือเป็นมหาราชผู้ก่อตั้งอาณาจักรล้านนาขึ้นมาและพระองค์ใช้เวลาตลอดพระชนม์ชีพประทับที่เชียงใหม่เพื่อรักษาความสงบและพยายามประสานประชาชนทั้งแคว้นโยนกนาคพันธุ์และแคว้นหริภุญไชยให้เป็นหนึ่งเดียว
ต่อเมื่อปฐมกษัตริย์ล้านนาอย่างพ่อขุนมังรายมหาราชสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ.1854 พระญาชัยสงครามราชบุตรได้ครองบัลลังก์ต่อ ตัดสินใจย้ายไปครองราชย์ยังเมืองเชียงรายและยกเมืองเชียงใหม่ให้พระญาแสนภูพระโอรสผู้เป็นอุปราชย์ครองเมือง สาเหตุนั้นเชื่อกันว่าล้านนาตะวันตกมีความเรียบร้อยแล้ว แต่ทางตะวันออกยังมีแคว้นพะเยาเป็นเอกราช หากทิ้งเชียงรายไปก็จะอ่อนแอและอาจจะถูกโจมตีเอาได้
รัชกาลต่อมาคือพระญาแสนภูก็ทรงมาประทับที่เชียงรายและตั้งพระญาคำฟูเป็นอุปราชครองเชียงใหม่ต่อมา ทำให้เชียงใหม่ขณะนั้นเปนเมืองลูกหลวงในฐานะที่ประทับของมหาอุปราชเท่านั้น ส่วนเชียงรายคือนครหลวง และรัชกาลนี้ยังได้ให้สร้างเมืองเชียงแสนขึ้นบริเวณหิรัญนครเงินยางเดิมขึ้นอีกด้วย
1
พระญาคำฟูได้ราชบัลลังก์มาก็ตั้งพระญาผายูเป็นอุปราชครองเชียงใหม่ ส่วนพระองค์ย้ายไปครองเมืองเชียงแสนและเป็นพันธมิตรกับแคว้นน่าน ยกไปตีพะเยาและรวบรวมพะเยาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของล้านนาได้ในที่สุด แต่การยกทัพไปตีเมืองแพร่กลับล้มเหลวทำให้ทั้งแพร่และน่านยังเป็นเอกราชอยู่
หลังจากนั้นพระญาผายูได้ครองราชย์ทรงตัดสินใจไม่ย้ายไปเชียงรายหรือเชียงแสน ทรงตัดสินใจครองเมืองที่เชียงใหม่ คงจะด้วยว่าแคว้นพะเยาที่กล้าแข็งถูกทำลายลง เหลือเพียงแพร่และน่านที่ไม่เป็นอันตรายต่ออาณาจักร จึงตัดสินใจครองเชียงใหม่อันเป็นเมืองศูนย์กลางของอาณาจักร เชียงใหม่จึงได้กลายเป็นนครหลวงของล้านนานับแต่นั้นมา
กษัตริย์พระองค์ต่อมาคือพระยากือนาในปี พ.ศ. 1898 ถือได้ว่าเข้าสู่ยุคทองของล้านนาที่เจริญรุ่งเรืองทั้งด้านการค้าและศาสนา โดยได้เชิญพระสุมนเถระจากสุโขทัยมาเผยแพร่พุทธศาสนาลัทธิเถรวาท นิกายลังกาวงศ์ ซึ่งมาพำนักที่วัดสวนดอก จึงกลายเป็นสถานที่สำคัญทางการเผยแพร่ศาสนาพุทธในล้านนา และพระญากือนาให้ความสำคัญต่อศาสนาพุทธมากขนาดให้พระสงฆ์ร่วมตัดสินคดีความของชาวบ้านร่วมกับข้าราชการเลยที่เดียว
1
รัชกาลถัดไปคือพระญาแสนเมืองมา ทรงครางราชย์ช่วงปี พ.ศ.1928-1944 ทรงได้บัลลังก์ขณะพระเยาว์ 14 ชันษาเท่านั้น พระมาตุลาคือเจ้ามหาพรหมแห่งเชียงรายยกทัพมาทำกบฏแต่ถูกปราบไว้ได้ ทางเจ้ามหาพรหมตัดสินใจขอความช่วยเหลือเข้าสวามิภักดิ์อยุธยาในรัชสมัยพระบรมราชาที่ 1 (ขุนหลวงพะงั่ว) ทางยุธยาจึงตัดสินใจยกทัพไปตีกำแพงเพชร แต่ทัพอยุธยาที่ยกไปกลับถูกตีแตกพ่าย เจ้ามหาพรหมต้องเข้าขอรับพระราชทานอภัยโทษต่อพระญาแสนเมืองมา โดยได้นำพระพุทธสิหิงค์จากกำแพงเพชรขึ้นไปประดิษฐานที่เชียงใหม่นับแต่นั้น ซึ่งพระญาแสนเมืองมาตัดสินใจยกทัพไปตีสุโขทัยเพื่อล้างแค้น แต่ก็พ่ายแพ้เพราะอยุธยายกทัพมาช่วย ทำให้เกิดความขัดแย้ง อยุธยา-สุโขทัย-ล้านนานับแต่นั้นมา
สิ้นแผ่นดินพระญาแสนเมืองมาราชบุตรคือพระญาสามฝั่งแกนได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ช่วย พ.ศ. 1945-1984 เป็นรัชสมัยที่เกิดสงครามทั้งเหนือใต้ เริ่มด้วยพระเชษฐาคือท้าวยี่กุมกามแห่งเชียงรายหวังแย่งราชสมบัติ ขอความร่วมมือจากสุโขทัยยกทัพมาช่วย แต่สุโขทัยพ่ายแพ้จึงต้องยอมจำนน จากนั้นฝ่ายฮ่อก็ยกทัพจากเหนือเข้าตีเชียงราย แต่ทัพล้านนาต้านเอาไว้ได้ ก่อนไล่ตีตามไปถึงเขตแดนสิบสองปันนาเลยทีเดียว
ในรัชสมัยนี้เกิดพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์สายใหม่เข้ามาเรียกว่าสายสีหล โดยเชียงใหม่ ลพบุรีและรามัญได้ส่งพระไปเรียนพุทธศาสนาจากลังกาโดยตรง จึงเกิดพุทะศาสนา 3 นิกายในล้านนาคือนิกายหริภุญไชยเดิม นิกายรามัญหรือลังกาวงศ์สายเก่าเรียกกันว่าสายวัดสวนดอก และนิกายสีหลหรือลังกาวงสายใหม่เรียกกันว่าสายวัดป่าแดง
พระญาสามฝั่งแกนมีโอรสถึง 10 พระองค์โดยลำดับที่ 6 คือเจ้าลก ได้ก่อกบฏชิงบัลลังก์จากพระบิดาขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อมาพระนามว่าพระมหาศรีสุธรรมติโลกราชหรือรู้จักในนามพระเจ้าติโลกราช ซึ่งแม้จะขึ้นสู่อำนาจด้วยวิธีที่ไม่สง่างามนัก แต่พระองค์เป็นกษัตริย์ที่มากด้วยพระอัจฉริยภาพ ทั้งทางการเมือง สงครามและศาสนา โดยอาณาเขตล้านนาขยายยิ่งใหญ่ที่สุด ทางเหนือได้เชียงรุ้ง ตะวันออกได้ทั้งแพร่และน่าน ตะวันตกเข้าไปถึงรัฐฉานไทยใหญ่ เมืองสีป่อ บ้างก็ว่าเข้าไปถึงในเขตพุกามก็มี ส่วนทางใต้จรดกำแพงเพชร ที่สำคัญพระองค์สามารถเอาชนะอาณาจักรได๋เวียตที่ขยายอำนาจมาตีล้านช้างและจีนได้ ทั้งที่จักรวรรดิจีนยังไม่อาจปราบลงได้ และเพราะเหตุนี้เองจักรพรรดิเฉินฮวาแห่งราชวงศ์หมิง จึงได้มีตราสารแต่งตั้งให้พระเจ้าติโลกราชเป็น ราชาผู้พิทักษ์ตะวันตก มีอำนาจเป็นรองเพียงฮ่องเต้ ให้มีอำนาจทำสงครามปราบดินแดนทางตะวันตกได้ทั้งสิ้น โดยเรียกพระองค์ว่า “ด่าวล่านนา”
แต่ถึงกระนั้นเองในรัชสมัยของพระองค์ก็ต้องพบกับเมืองคู่อริสำคัญ คืออยุธยาที่มีสงครามตั้งแต่ต้นรัชสมัยกับเจ้าสามพระยากษัตริย์แห่งอยุธยา และยาวนานต่อเนื่องมาถึงคู่แข่งสำคัญของพระองค์ คือพระบรมไตรโลกนารถ ผู้ที่มีพระนามมีความหมายว่าเป็นหนึ่งในสามโลกเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายทำสงครามผลัดกันแพ้ชนะไปมา จนถึงขั้นว่ามีตำนานที่ว่าครั้งหนึ่งพระบรมไตรโลกนารถบวชเพื่อขอบิณฑบาตเมืองเชลียงหรือสวรรคโลกคืนแต่พระเจ้าติโลกราชเตรียมพร้อมไว้แล้วแจ้งกลับว่าเกรงว่าจะทำให้พระต้องลำบากเรื่องทางโลก รวมไปถึงการล้อมพิษณุโลกจนพระบรมไตรโลกนารถต้องลอบหนีในคืนเดือนมืดก่อนยกกำลังมาตีทัพที่ล้อมเมืองลงได้ ก่อนที่ช่วงสุดท้ายพระบรมไตรโลกนารถได้จ้างภิกษุชาวมอญ ให้ทำเล่ห์จนพระเจ้าติโลกราชมีคำสั่งให้ตัดไทรที่เป็นขวัญเมืองทิ้ง จนทำให้เกิดความวุ่นวายถึงขั้นประหารท้าวบุญเรืองราชโอรสพระองค์เดียว รวมถึงการสิ้นอำนาจของหมื่นด้งนครขุนพลคู่พระทัย และเพราะสงครามที่ยาวนานทำให้เศรษฐกิจของล้านนาตกต่ำลง พระองค์จึงตัดสินใจขอหย่าศึกกับชาวใต้อย่างอยุธยา จึงได้ทำสนธิสัญญาสงบศึก สงครามนานนับ 40 ปีจึงยุติลงนับแต่นั้น
มหาราชแห่งล้านนาได้สิ้นพระชนม์ลงใน พ.ศ. 2030 โดยได้ตั้งพระยายอดเชียงรายพระราชนัดดาขึ้นสู่บัลลังก์ แต่อยู่ในบัลลังก์ได้ 8 ปี ขุนนางได้ร่วมกันปลดเหตุว่าไม่สร้างความเจริญให้บ้านเมือง ตั้งราชบุตรพระยาเมืองแก้วครองราชย์แทน ซึ่งแสดงถึงความเข้มแข็งของสถาบันขุนนางซึ่งเป็นจุดที่ผลักให้ล้านนากลับสู่ความเจริญอีกครั้ง เพราะรัชสมัยพระยาเมืองแก้วนี้กินเวลา 30 ปีช่วง พ.ศ. 2038-2068 ถือได้ว่าเป็นยุครุ่งเรืองที่สุดของล้านนา
รัชสมัยนี้เกิดสงครามกับอยุธยาอีกครั้ง โดยฝ่ายล้านนาลงมาตีสุโขทัย กำแพงเพชร เชลียง ฝ่ายอยุธยาขึ้นไปตีถึงเขลางค์นครลำปางได้ แต่ยึดครองเมืองไม่ได้คงทำได้แค่กวาดต้อนผู้คงลงมา ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระบรมเชษฐาหรือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ด้านการศาสนาทรงส่งเสริมให้ลูกหลานชาวล้านนาบวชจำนวนมาก และยังมีการแข่งขันกันทางศาสนาของนิกายต่างๆ รวมไปถึงงานวรรณกรรมทางศาสนาจึงเกิดงานขึ้นอย่างชินกาลมาลีปกรณ์ เวสสันตรทีปนี จักวาฬทีปนี และอีกมาก ที่ถือว่าเป็นงานวรรณกรรมชั้นสูงของล้านนา
อย่างไรก็ดีท้ายรัชกาลทรงทำสงครามปราบเชียงตุงแต่พ่ายแพ้ ขุนนางระดับเจ้าครองเมืองสิ้นชีพในสงครามถึง 5 คน และมีคำสั่งประหารแสนยีพิงค์ไชย แม่ทัพใหญ่ จึงทำให้เริ่มเข้าสู่จุดเสื่อมของอาณาจักร
เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ พระยาเมืองเกษเกล้าพระอนุชาได้ครองบัลลังก์ต่อมา แต่เป็นช่วงที่บ้านเมืองอ่อนแอ อำนาจปกครองตกแก่ข้าราชการเกือบหมด เมื่ออยู่ในอำนาจเพียง 13 ปี เจ้าซายคำราชบุตรรวมกับขุนนางก่อกบฏชิงอำนาจพระบิดา แต่ก็อยู่ในบัลลังก์ได้แค่ 5 ปี เพราะประพฤตผิดราชประเพณี ข้าราชการจึงปลดและทูลเชิญพระยาเมืองเกษเกล้ากลับสู่ราชสมบัติ แต่ก็ครองราชย์ได้สองปีเกิดทรงเสียพระสติทำจลาจลจนเดือดร้อน ข้าราชการจึงประหารเสียอีก นับว่าเป็นช่วงแห่งความวุ่นวายโดยแท้
แล้วก็เกิดความโกลาหลต่อเนื่อง เพราะขุนนางต้องการให้เจ้านายฝ่ายตนขึ้นเป็นกษัตริย์ จนต้องกวาดล้างกันเอง เสียขุนนางฝีมือดีไปมาก และจบลงด้วยการเชิญพระนางจิรประภามาครองเมืองไปชั่วคราวระหว่างปี 2088-2089 ซึ่งเวลานั้นเองพระไชยราชายกทัพอยุธยามาตีเชียงใหม่ พระนามจิรประภาจึงต้องยอมแพ้และส่งบรรณาการให้แก่อยุธยา
ต่อมาพระไชยเชษฐาหลานตาของพระยาเมืองเกษเกล้า เป็นอุปราชแห่งอาณาจักรล้านช้างได้รับการทูลเชิญเสด็จมาครองล้านนา พระนางจิรประภาจึงถวายราชสมบัติให้ แต่พระไชยเชษฐาครองราชย์ได้เพียงสองปี ทรงเห็นว่าไม่อาจจะขจัดความไม่ลงรอยของขุนนางได้ กอร์ปกับพระเจ้าโพธิสารแห่งล้านช้างผู้เป็นพระราชบิดาสวรรคต จึงเสด็จกลับไปครองราชย์ที่ล้านช้าง บัลลังก์ล้านนาจึงว่างลงอีกครั้ง ฝ่ายขุนนางจึงไปเชิญพระยาเมกุฎแห่งเมืองนาย ผู้สืบเชื้อสายต้นวงศ์มาจากพ่อขุนมังรายมาเป็นกษัตริย์ และนับเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์มังราย เพราะในรัชกาลนี้ระว่างปี พ.ศ. 2094-2107 พระเจ้าบุเรงนองได้กทัพพม่ามาตีล้านนาในปี พ.ศ. 2101 เพียง 3 วัน เชียงใหม่ก็แตก
โดยระยะแรกก็ให้พระญาเมงกุฏิครองราชย์ไป ก่อนสุดท้ายจะปลดเนื่องจากพยายามตั้งตนเป็นอิสระ แล้วส่งพระนางวิสุทธเทวี สตรีเชื้อสายราชวงศ์มังรายมาปกครองแทน จนเมื่อพระนางสิ้นพระชนม์ ก็ได้ส่งพระเจ้าอโนรธามังช่อพระโอรสองค์หนึ่งของพระเจ้าบุเรงนองมาปกครอง หลังจากนั้นก็ส่งเจ้านายหรือข้าราชการชั้นสูงมาปกครอง สลับไปกับเจ้าหรือขุนนางล้านนี่พยายามตั้งตนเป็นเอกราชขึ้นมาเป็นกษัตริย์หรือเจ้าช่วงสั้นๆ ที่กินระยะเวลาร่วม 200 ปี อันถือว่าเป็นยุคมืดของอาณาจักรล้านนาที่กลายเปนเพียงเมืองขึ้นหรือส่วนหนึ่งของพุกามเท่านั้น
จนถึงปี พ.ศ.2314 จึงได้เกิดการกู้เอกราชของล้านนาขึ้น โดยพระยาจ่าบ้านบุญมา ขุนนางเมืองเชียงใหม่ กับพระยากาวิลา โอรสเจ้าฟ้าเขลางค์นครลำปาง เชื้อสายตระกูลเจ้าเจ็ดตน ร่วมมือกันกู้เอกราชจากฝ่ายพม่าสำเร็จ โดยการขอความช่วยเหลือจากพระเจ้ากรุงธนบุรี และขอเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภาร พระเจ้าตากสินมหาราชจึงส่งเจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ขึ้นมาตีเชียงใหม่ และยึดเอาไว้ได้ จึงตั้งพระยาจ่าบ้านเป็นพระยาวิเชียรปราการ เจ้าเมืองเชียงใหม่ และพระยากาวิละเป็นเจ้าเมืองลำปาง
แต่พม่าก็ไม่ยอมแพ้ เพียงหนึ่งเดือนก็ส่งทัพมาล้อมเชียงใหม่ ทางพระยาวิเชียรปราการได้ขอทัพลำปางมาช่วยรั้งเมือง สามารถต้านทัพได้แปดเดือน จนทัพธนบุรียกมาช่วย พม่าจึงถอยทัพกลับไป แต่ทางเชียงใหม่เสียหายและทรุดโทรมมาก เหลือกำลังจะรักษาและทำนุบำรุง ทางพระยาวิเชียรปราการจึงเกณฑ์คนอพยพมาอยู่ลำปางไปพราง ก่อนจะย้ายกลับมายังเมืองลำพูน ทางเชียงใหม่จึงร้างลงนานถึง 21 ปี
จากนั้นทัพล้านนาตอนเหนือที่อยู่ในอำนาจพม่าได้ยกทัพจากเชียงแสนและเชียงรายมาปล้นและยึดเมืองเชียงใหม่และลำพูน พระยาวิเชียรปราการจึงต้องยกไพล่พลหนีลงใต้ ขณะที่ทัพเชียงแสนและเชียงรายตัดสินใจยกไปตีน่านจนแตกเช่นกัน ส่วนแพร่และพะเยาเมื่อได้ยินข่าวทัพพม่าและเชียงแสนเชียงรายจะยกมา ก็เกณฑ์คนหนีจากเมืองทิ้งเมืองให้ร้างแต่บัดนั้น จนกระทั่ง พ.ศ.2347 ด้วยความช่วยเหลือจากกรุงรัตนโกสินทร์โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทำให้พระยากาวิละสามารถเข้าตีพม่าและล้านนาเหนือเอาไว้ได้ สามารถยึดเชียงใหม่และหัวเมืองล้านนาต่างๆ ไว้ได้ ก่อนสุดท้ายจะตามตีและเอาชนะทัพพม่าและล้านนาเหนือที่เชียงรายและเชียงแสนไว้ได้ทั้งหมด เป็นการจบอำนาจพม่าในล้านนา ล้านนาจึงได้อยู่ภายใต้บรมโพธิสมภารพระเจ้ากรุงสยาม แบ่งการปกครองเป็นหัวเมืองอิสระจากกัน มีเจ้านายของเมืองต่างๆ ในลักษณะเครือญาติ แบ่งเป็นล้านนาตะวันตกและตะวันออก เจ้ากาวิละได้ครองเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ และถือว่าล้านนาได้รวมเป็นอาณาจักรภายใต้พระบรมโพธิสมภารแห่งราชวงศ์จักรีนับแต่นั้นสืบมา
โฆษณา