13 ก.ย. 2020 เวลา 05:02 • ท่องเที่ยว
เด็กบ้านนอกออกเที่ยว : พม่า
" ป้าของที่สั่งได้ครบมั้ยครับ " ผมถามป้าเจ้าของร้านอาหารตามสั่ง ถึงของที่สั่งแกไว้สองวันก่อน
" ครบจ้า มีน้ำพริกปลาแห้ง หมูแดดเดียวทอด แล้วก็ปลาสลิดทอดอีกโลนึง กินได้ทั้งอาทิตย์เลยแหละ " ป้าแกสาธยายให้ผมจนครบ
ผมจ่ายเงินแกเสร็จ กลับไปที่ห้องพร้อมแพ็คของทั้งหมดลงกระเป๋า สำหรับการเดินทางไปทำงานที่พม่าในวันพรุ่งนี้
" มึงจะเอาไปทำไมวะอาหารพวกนี้ ที่โน่นก็มีอาหารขายนะเว้ย " คำถามที่เพื่อนคนหนึ่ง ถามผมเมื่อวันก่อน
" อ้าว ก็'เหน่ง' มันไปมาแล้ว แล้วมันบอกว่าที่พม่า อาหารของเขากินไม่เหมือนบ้านเรา กูเลยเตรียมการไว้ก่อน กันเหนียวเว้ย " ผมตอบเพื่อนไปตามที่ได้ข้อมูลจาก' เหน่ง ' รุ่นน้องมา หลังจากที่มันเคยไป survey มาสองรอบแล้ว
พอถึงวันเดินทาง ทีมงานเราที่ได้รับมอบหมายให้ไปจัด งานเลี้ยงตอบแทน 'นักข่าวสายเศรษฐกิจ 'ของบริษัทแห่งหนึ่ง อยากมาจัดงานที่พม่า พวกเราเลยได้โอกาส ที่จะไปเที่ยวไหว้พระ สักการะสถานที่สำคัญๆของชาว' เมียนมาร 'ไปในตัว
พอลงจากเครื่องบินที่ใช้เวลาไม่นานมากประมาณ ' ชั่วเคี้ยวหมากแหลก' (ว่าไปนั่น ประมาณชั่วโมงครับ) รถตู้มาพร้อมกับไกด์สาว 'ชื่อน้อย' เป็นคนนำทางของเรา
รถสองคัน เราแบ่งกันนั่งทั้งทีมงาน และ 'คุณลูกค้า' ที่มาพร้อมกับเราด้วย คันที่ผมนั่งกับทีมงาน ไม่มีไกด์ เพราะไกด์ เราจ้างมาคนเดียว ตัวรถเป็นแบบเจ็ดที่นั่งพร้อมคนขับ รวมทั้งสัมภาระเรา ที่ขนทั้งเครื่องมืออุปกรณ์สำหรับ จัดงานให้ลูกค้า
ถึงที่พัก พวกเราจัดการตรวจเช็คอุปกรณ์เครื่องมือ ที่ขนเอามาจาก กทม. รวมทั้ง 'หม้อข้าว' ใบเล็กอีกใบด้วย
หลังจากนั้นก็ออกไปสำรวจพื้นที่ที่เราต้องจัดงาน คราวนี้ เรานั่งรถไปคันเดียวแค่ไม่กี่คน รถวิ่งผ่านตัวเมือง เลยได้โอกาสดูบรรยากาศบ้านเมืองของเขาไปในตัวด้วย ผมเห็นเจดีย์ ที่ตั้งตระหง่านกลางเมือง เลยออกปากถาม 'ไกด์' ของเราถึงที่มาที่ไปของเจดีย์นี้
" อ๋อพี่ เจดีย์ ที่ตั้งกลางเมืองย่างกุ้งนี้เรียกว่า 'เจดีย์สุเหร่' เป็นเจดีย์ ที่สร้าง มานานก่อน เจดีย์ ชเวดากองอีกนะคะ " เธอเริ่มทำหน้าที่ไกด' ด้วยสำเนียงไทยค่อนข้างชัด ฟังรู้เรื่องเลย
เจดีย์สุเหร่ กลางวัน-กลางคืน cre:agoda
ผมมีคำถามในใจ ที่อยากถามว่า 'ไปเรียนภาษาไทยที่ไหนเนี่ย' ทำไมถึงพูดได้ชัดขนาดนี้ แต่เก็บไว้ถามเป็นการส่วนตัว เพราะเธอกำลังทำหน้าที่อยู่
" สมัยที่' อังกฤษ ' เข้ามาปกครองพม่า แล้วสร้างผังเมืองใหม่ โดยการเอาตัว 'เจดีย์สุเหร่' เป็นจุดศูนย์กลาง เลยทำให้ ใครที่มา 'ย่างกุ้ง' ยังไงก็ต้องผ่าน เพราะเป็นจุดที่ที่ถนนหลักตัดกัน
"อยากลงไปไหว้กันไหมคะ "ไกด์ ถามพวกเรา
"เดี๋ยวก่อนก็ได้ เอาไว้ตอนเราเสร็จงานแล้วมาไหว้ทีเดียวเลยดีกว่า " คุณลูกค้า ตอบไกด์สาว เราไปพร้อมกับดับความหวังของผมเล็กๆลงไปด้วย
พอเราสำรวจ ตรวจดูพื้นที่พร้อมกับพูดคุยกับทางเจ้าของสถานที่เสร็จเรา เดินทางกลับโรงแรมที่พัก ระหว่างนั่งรถกลับโรงแรม ก็เลยได้ชมบรรยากาศตัวเมืองย่างกุ้งอีกรอบหนึ่ง สองข้างทางสังเกตุเห็น ผู้คนของที่นี่ยังมีการ 'นุ่งโสร่ง' มีให้เห็นอยู่มาก สำหรับผู้ชาย ถือเป็นการอนุรักษ์การแต่งกาย ประจำชาติไว้ในตัว
พอถึงโรงแรมที่เราพัก ไกด์แนะนำให้เราเดินไปจุดชมวิวของโรงแรม ซึ่งเราจะมองเห็นวิวของ' เจดีย์ชเวดากอง'ได้จากจุดนี้
ผมเดินไปตามคำแนะนำของเธอ พร้อมกับน้องๆในทีมงาน สิ่งที่พวกเรามองเห็นในระยะไกล คือ' เจดีย์ชเวดากอง ' ที่ถูกย้อมด้วยแสงไฟ ทำให้องค์เจดีย์ เปล่งประกายสุกสว่าง สีทอง เป็นภาพที่สวยงามมาก ' นี่ขนาดอยู่ระไกลยังสวยขนาดนี้ ถ้าได้ไปดูใกล้จะขนาดไหนวะเนี่ย' ผมรำพึงรำพันในใจ
เราเดินทางไปทำงานด้วยรถตู้ในตอนเช้า คราวนี้ผมนั่งไปพร้อมกับคันที่มี ไกด์ ด้วยเลยได้โอกาสซักถามเธอในสิ่งที่ผมอยากรู้
"ทำไมไม่เห็นมี มอ'ไซดวิ่งเลยอะน้อย " ผมยิงคำถามแรก
" อ๋อที่พม่าไม่ค่อยมีหรอกพี่ ถ้าใครที่จะซื้อรถ ซักคันเนี่ย ต้องซื้อด้วยเงินสดเท่านั้น บ้านก็เหมือนกัน และอีกอย่าง ส่วนมากคนที่มีรถที่เห็นวื่งๆกันอยู่เนี่ย ก็พอจะมีตังค์กัน แม้แต่แท็กซี่เองก็เถอะ ถ้าไม่มีเงินสดนี่ อดเลย "
" เออพี่ ถ้าพี่ต้องใช้รถแท็กซี่ที่นี่ มันมีสองแบบนะคะ คือแบบแรกพี่จะให้เขาเปิดแอร์ไหม ถ้าเปิดเขาจะคิดราคาพี่อีกราคาหนึ่ง แต่ถ้าไม่เปิดก็จะคิดอีกราคาหนึ่งนะคะ"
" อีกอย่างที่มะกี้ที่พี่ถามมา เรื่องรถ มอ'ไซด์ เขาไม่ขับกันเพราะว่าถ้าขับมาใกล้ๆรถเมล์ เดี๋ยวจะโดน 'น้ำหมาก' จากคนบนรถเมล์บ้วนลงมาใส่ เพราะคนพม่ายังกินหมากกันอยู่เลยนะ"
" ถ้าพี่ๆสังเกตุดูตามป้ายรถเมล์พี่ก็จะเห็นร่องรอยของ น้ำหมาก ตามพื้นทั่วไปเลยคะ"
ไกด์สาวเรา เล่าซะเห็นภาพเลย
"แล้วที่นี่เขา 'ห่อข้าว 'ไปกิน กันเหรอ พี่เห็นเขาหิ้วปิ่นโต กันเกือบทุกคนเลย " ผมยิงคำถามต่อ หลังจากได้รับอนุมัติจากลูกพี่ด้วยสายตา
" ใช่ค่ะ ที่นี่เขาจะประหยัดกันมาก เพราะรายได้น้อย เลยต้องห่อข้าวไปกินเวลาทำงาน โดยส่วนมากก็จะใช้ปิ่นโตกันนี่แหละ แล้วที่ไทยไม่ห่อข้าวไปกินกันเหรอคะ " เธอเล่าเสร็จ พร้อมถามผมกลับมา
"อ๋อ ไม่ค่อยห่อข้าวไปกินกันหรอก ส่วนมาก' ไปซื้อกินกัน 'ข้างหน้า " ผมตอบน้องเขาไป พร้อมกับได้ยินเส่ยง ใครบางคนในกลุ่มเราขำออกมาเบาๆ
ช่วงเวลาทำงาน ทีมงานได้มีโอกาสได้ชิมอาหาร รสชาดแบบเมียนมาร ตามร้าน ข้าวแกงที่ถูกสร้างคล้ายกับโรงอาหาร แต่คนนิยมไปกินกันมาก เป็นร้านที่ไกด์ของเรา แนะนำให้ไปลอง
ผมเห็นหน้าตาอาหาร คล้ายกับบ้านเรามาก เลย จิ้มๆไป สองสามอย่าง แล้วสั่งเป็นกับข้าวมาแจมกับทีมงานอีกหลายอย่าง ในนั้นก็มีน้ำพริก กะปิ แบบพม่าด้วย ที่ผมอยากลอง
'เป็นไงพี่ 'ผมถามพี่ๆทีมงาน
'ก็พอกินได้ .... บางอย่างนะ ' พี่ทีมงานตอบ
ผมสังเกตุดูทุกคนกินแต่ 'น้ำพริกกะปิ' กับ ' ผักสด 'ที่รสชาดใกล้เคียงกับอาหารบ้านเราที่สุด ส่วนอย่างอื่น มันมีความเป็นเครื่องเทศมาก มีความคื่นคออยู่บ้าง เลยทำให้ไม่ถูกปาก ทั้งๆที่หน้าตาดูเหมือนอาหารบ้านเรามาก เหมือนกับที่ ' เหน่ง ' รุ่นน้องมันบอกมา
อีกอย่างที่พม่าไม่กินน้ำปลา ใช้เกลือแทน ถ้าอยากได้ ก็จะมี 'ซอสภูเขาทอง' หรือ' ซีอิ๊วขาว' ให้ ใช้แทนน้ำปลา (แต่ตามโรงแรมมีให้นะครับ ไกด์บอกมา)
นี่คือเหตุผลที่ผมแพ็คอาหารมาจากบ้านเรา ดังนั้น เกือบจะทุกเย็นหลังเลิกงาน ผมจึงจัดการ หุงข้าว และเอาไข่ ที่หาซื้อมาไว้จากร้านของชำใส่ในหม้อข้าว ข้าวสวยร้อนๆ เปิปพร้อมกับน้ำพริกปลาแห้งรสจัด ปลาสลิดทอด แพ็คมาอย่างดี กับหมูแดดเดียวทอด (อืมม... ที่สุดของแจ้ละครับ)
หลังจบงาน ผมขออณุญาตจากลูกพี่ ให้ไกด์พาทีมงานได้ออกไปกราบไหว้สถานที่สำคัญๆของพม่า ซึ่งทีมงานบางคนขอพักผ่อนที่ โรงแรมหลังเหนื่อยกับงานมาแล้ว
ไกด์สาวพาให้รถตู้ไปจุดหมายแรกเลยคือ 'มหาเจดีย์ชเวดากอง' ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักเรามากนัก ระหว่างทางก็ชมบรรยากาศของเมืองย่างกุ้งไปในตัว
สภาพเมืองของย่างกุ้ง ดูมีความเป็นระเบียบพอประมาณ เพราะถูกวางผังด้วย คนอังกฤษ ในช่วงที่เข้ามาปกครองพม่า แต่สภาพความเป็นอยู่ เท่าที่ผมเคยได้ยินว่า 'ล้าหลังกว่าบ้านเมืองเรา 30 ปี '
ซึ่งผมคิดว่าใกล้เคียงกับคำพูดเปรียบเปรยนั้นพอควร ด้วยตัวผมเอง เป็น 'เด็กบ้านนอก' เห็นบรรยากาศในเมืองย่างกุ้ง บริเวณชานเมือง ที่รถวิ่งผ่านแล้ว บอกเลยว่า 'ใช่' กับบรรยากาศแบบบ้านนอกที่ผมเคยอยู่มาตอนเด็กๆ
ตามชานเมืองนี่แทบจะเป็นชนบทของ ต่างจังหวัดบ้านเราเลยครับ วิถีชาวบ้าน เดินเท้าเปล่า ต้อนวัว ควาย ออกไปกินหญ้า บ้านช่องก็ยังเป็นแบบสมัยเก่า บางหลังยังเป็นกระท่อมอยู่เลย
แต่ในตัวเมือง ย่างกุ้งเองก็มีความเจริญประมาณหนึ่ง แต่คงเทียบกับ กรุงเทพฯเราไม่ได้ (แต่เดี๋ยวนะครับ พม่าก็มีรถติดเหมือนกัน เฉพาะในย่างกุ้งนะครับ)
" พี่ไม่ค่อยเห็นตำรวจในเมืองเลยอะ ทำไมเหรอ" ผมเปิดคำถามกับไกด์ของเราอีกครั้ง
" อ๋อพี่ ที่นี่ไม่ค่อยมีคนทำความผิดหรอกค่ะ เขากลัวกัน กฎหมายที่นี่แรง ตำรวจเลยไม่ค่อยออกมาเพ่นพล่านเท่าไร " ไกด์ตอบมาพร้อมกับชี้ให้ดูตามป้อมตำรวจ
"เขาจะอยู่ตามป้อม แต่น้อยมาก พอมีเหตุ ถึงจะออกมาจัดการทีเดียว "เธอพูดต่อ
พอมาถึงบริเวณด้านนอกของพื้นที่ เจดีย์ ซึ่งจะตั้งอยู่บนเนินเล็กน้อย ผมมองเข้าไป เห็นถึงความใหญ่โตขององค์เจดีย์ โดดเด่นเป็น 'องค์ประธาน ' ตั้งอยู่รายล้อมด้วย' เจดีย์บริวาร' รับกับแสงอาทิตย์ ส่งประกายสีทองอร่าม สะท้อนออกมา อย่างสวยงาม
"ถอดรองเท้าก่อนทุกคนนะคะ "ไกด์ บอกพวกเรา
"ทอดตั้งแต่ตรงนี้เลยเหรอ" ผมถาม
" ใช่ค่ะ ที่พม่าพอจะเข้าบริเวณสถานที่ศักดิ์สิทธิ จะต้องถอดรองเท้าก่อนทุกครั้ง ตั้งแต่ก่อนเข้าเลยคะ " ไกด์อธิบาย
พวกเราเดินขึ้นชมบรรยากาศรอบๆองค์เจดีย์ ซื้อดอกไม้ ธูปเทียน กราบไหว้สักการะ องค์เจดีย์ ที่ตั้งอยู่ตรงหน้า เสร็จ พร้อมกับเดินชมบรรยากาศรอบๆพร้อมกับฟังไกด์ทำหน้าที่เล่าเรื่องราวของ' มหาเจดีย์ชเวดากอง'
" ที่นี่ถูกสร้างมานานมาก ตั้งอยู่บนเนินเขา 'สิงคุตระ' คำว่า' ชเว ' หมายถึง 'ทอง ' 'ดากอง' หมาย 'ถึงชื่อเมืองเดิมของย่างกุ้ง' เชื่อกันว่าบรรจุ พระเกศาธาตุ ของพระพุทธเจ้า 8 เส้น ยอดเจดีย์ ประดับด้วยเพชร5448 ทับทิม 76 กะรัต "
"ส่วนทองนี่เป็นประเพณีของพระมหากษัตริย์องค์ก่อนๆ จะบริจาคทองน้ำหนักเท่าตัวเองเพื่อนำมาสร้าง หรือซ่อมแซมองค์เจดีย์จนเป็นประเพณีสืบต่อกันมา ไม่ใช่ทองที่เอามาจากอยุธยานะคะ"
เธอสาธยายยาว และตบท้ายด้วยมุก 'พม่าไม่ได้เอาทองมาจากอยุธยามาสร้างเจดียชเวดากอง'
"ชาวพม่าจะให้ความสำคัญกับเรื่องของศาสนามากเลยค่ะ อย่าง วันพระของที่นี่ เราจะปิดเรียน ให้นักเรียน เข้าวัดกันทุกวันพระเลย เพื่อให้เด็กนักเรียนได้ 'ซึมซับ ' ในเรื่องของพระพุทธศาสนาคะ" เธอเล่ายาวด้วยความภาคภูมิใจในชาติของเธอ เรื่องศาสนา
ผมสังเกตุว่าเท้าเปล่าที่เราเดินในช่วงเวลาที่แสงแดดจัดขนาดนี้ ไม่มีใครบ่นเรื่องร้อนเท้าเลย เพราะด้วยพื้นที่ทำจากหินอ่อนช่วยให้มีความเย็น จนไม่รู้สึกถึงความร้อนจากพื้นที่ได้รับจากแสงแดด
ผมเดินมาถึงจุดที่สำหรับกราบไหว้คนที่' เกิดวันอังคาร 'ผมก็จัดแจงเข้าไปทำพิธีกราบสักการะนมัสการ ขณะนั้นเองได้ยินเสียงคนกลุ่มหนึ่ง นำมาโดย ตำรวจ-ทหาร พร้อมกับคณะของคนญี่ปุ่น กำลังจะเข้ามากราบไหว้จุดเดียวกับผม ตำรวจเดินมาเชิญให้คนที่กำลังไหว้อยู่ออกไปก่อน เพื่อให้ คณะของคนญี่ปุ่นกลุ่มนี้ได้เข้ามากราบไหว้ สักการะพระประจำวันเกิดก่อน
ด้วยความ'กวน'ของผม กับรุ่นน้อง ที่ไม่ยอม เดินออก แม้ตำรวจจะทำท่าส่งสัญญาน 'เชิญ ' เราหลายครั้งแล้วก็ตามจนชาวญี่ปุ่นทำไม้ทำมือยอกไม่ต้องก็ได้ ในที่สุดคณะของคนญี่ปุ่น ที่ดูท่าน่าจะเป็น ' แขกบ้านแขกเมือง ' กลุ่มนั้นก็ได้ กราบไหว้ นมัสการ อยู่ข้างๆผม พร้อมด้วยสายตา ของเหล่าตำรวจ-ทหาร กลุ่มนั้น ที่มองมายังผม อย่างกับ จะกินเลือดกินเนื้อให้ได้
หลังจากเดินดูรอบๆบริเวณ จนครบรอบองค์เจดีย์ แบบอิ่มเอมกับบรรยากาศเต็มที่แบบไม่ต้องรีบเร่งเพราะมีเวลาเหลือ เราก็เดินทางไปจุดหมายต่อไป
เจดีย์ 'โบตาทาวน์ ' เป็นจุดหมายสำคัญอีกที่หนึ่ง เพราะเป็นที่ประดิษฐานของ 'เทพทันใจ' ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ที่นักท่องเที่ยวที่มาพม่า-ย่างกุ้งแล้ว ต้องแวะมาให้ได้ นอกเหนือจากมหาเจดีย์ชเวดากองแล้ว โดยเฉพาะคนไทย ที่มาของ 'หวย' ขอ'โชค 'กันค่อนข้างเยอะ
ทางเข้าเจดีย์โบตาทาวน์
พวกเราเข้าไปกราบไหว้ บูชา ตามวิธีการที่ไกด์แนะนำมา ด้วยเครื่องบูชาที่มีขายอยู่ด้านหน้า พร้อมกับ คำอธิฐาน ที่ขอได้อย่างเดียว ซึ่งผมก็ได้ตั้งจิตอธิฐาน ' ขอ ' ไปเป็นที่เรียบร้อย
หลังจากนั้นไกด์ พาเราเดินข้าม ถนนไปฝั่งตรงข้าม ที่เป็นที่ประดิษฐานของ ' เทพกระซิบ' อีกองค์ที่มีความสำคัญไม่น้อยกว่าเทพทันใจ
พวกเราก็เข้าไปกราบไหว้ บูชาตามที่ไกด์แนะนำ พอถึงคิวผม เดินเข้าไปกระซิบ ที่ข้างหู องค์เทพ เบาๆว่า " ท่านครับ ช่วยบอกเทพทันใจว่า' อย่าลืม 'ที่ผมขอไว้นะครับ "
หลังจากเสร็จเราเดินทางต่อไปที วัดพระหินอ่อน ที่มีองค์พระพุทธรูปที่ทำด้วยหินอ่อนทั้งองค์ จากหินก้อนเดียว พวกเราลงไปกราบสักการะ พร้อมกับ 'ชักภาพหมู่' ที่ด้านหน้า ขององค์พระ ที่ถูกล้อมด้วย กรอบกระจก ที่ต้องคอยปรับอุณหภูมิไว้ตลอด เพราะกลัวองค์พระแตก เพราะอุณหภูมิที่ร้อน
องค์พระมีขนาดใหญ่โตมาก น้องไกด์ของเราเล่าที่มาที่ไปขององค์พระว่า ถูกแกะสลักด้วยช่างฝีมือ จากเมืองมัณฑะเลย์ ที่ถือว่าเป็นช่างแกะสลักที่เก่งที่สุดของพม่าเลยทีเดียว
หลังจากนั้นพวกเราได้แวะกราบ นมัสการ ' พระนอนตาหวาน ' ที่เป็นพระนอนที่ใหญ่ที่สุดของพม่า โดยมีความโดดเด่น ที่ดวงตา ที่มีความหวาน ฉ่ำ ตามสไตล์ ศิลปแบบพม่า
' ตลาดสก๊อต 'เป็นที่สุดท้าย ของทริปนี้ ลักษณะของตลาด คล้ายกับตลาดนัด ' จตุจักร' บ้านเราเลย ของที่นำมาขายมีครบถ้วนกระบวนความ ' สากเบือยันเรือรบ ' ราคาไม่แพงมาก
หลังจากนั้นพวกเราได้นั่งรถกลับมายังโรงแรม ก่อนกลับได้มีโอกาสเข้าไปชิมรสชาดร้าน อาหารไทย ที่มาเปิดอยู่ที่ย่างกุ้ง เป็นร้านดัง เคยออกทีวีหลายครั้ง
ลักษณะเปิดเป็นกึ่งคาเฟ่ มีลูกค้าที่เป็นต่างชาติ มาใช้บริการค่อนข้างเยอะ รสชาดอาหารนั้นบอกเลยว่า ' ใช่ ' รสชาดไทยจริงๆ
ผมมีโอกาสได้กลับไปทำงานที่พม่า-ย่างกุ้งอีก สองสามครั้ง และก็ได้กลับไหว้ 'มหาเจดีย์ชเวดากอง 'ทุกครั้งที่กลับไป รวมทั้งที่อื่นๆอีกด้วย
ช่วงที่เราไปทำงาน 'น้องน้อยไกด์สาว' ของเรา ชี้ให้ดู ทางยกระดับ ที่กำลังก่อสร้างอยู่ เธอบอกว่านี่คือทางยกระดับ เส้นแรกของพม่าเลย พอเรากลับไปครั้งที่สอง เรามีโอกาสได้ใช้เสันทางยกระดับนี้พอดี กับช่วงที่เปิดให้ใช้เลยครับ
ยังมีสถานที่ในพม่าสำคัญๆอีกหลายจุดนะครับ แต่ที่ผมไป-มา ที่ย่างกุ้งนี้ ก็เยอะพอสมควร อย่าง'ปางช้างเผือก' ที่ไกด์ แนะนำให้ไปชมกัน สถานที่ที่ ' สังคยานาพระไตรปิฎก ' (มีต้นไม้ที่ในหลวงรัชกาลที่เก้าทรงปลูกไว้บริเวณด้านหน้าด้วย ) ถ้าใครมีโอกาส ลองไปดูครับ สวย ประหยัด ใกล้บ้านเราด้วย ใช้เวลาเดินทาง พอๆกับไปเชียงใหม่เลยครับ สวัสดี..
**โดนอาหารตามสั่งข้าวกระเพราไก่-ไข่ดาว (ร้านตามสั่งคนไทย )ไปกล่องละ 150 บาทไทย ลูกพี่บอกกินอย่าให้เหลือนะ 555 หากใครไประวังหน่อยก็ดีครับ
**ไกด์สาวเราเรียนคอร์สภาษาไทย เพื่อเป็นไกด์โดยเฉพาะ เพราะคิดว่าคนไทยชอบมาไหว้พระและสถานที่สำคัญที่พม่า จึงเลือกเรียนภาษาไทย
**ตอนหน้าที่ไหน ยังไง เดี๋ยวติดตามกันต่อนะครับ
ฝากติดตาม กดไลค์ กดแชร์ ได้นะครับ
#เด็กบ้านนอกออกเที่ยว
โฆษณา