13 ก.ย. 2020 เวลา 14:15 • ไลฟ์สไตล์
วันที่อากาศครึ้มๆ ในตอนเย็นผู้คนเริ่มกลับจากการทำงานมีกลิ่นกับข้าวโชยมาจากบ้านข้าง เสียงตะหลิวเคาะกะทะดังก๊อกแก๊ก แต่บ้านเราอยู่กันสอง ตา ยาย แวะซื้อกับข้าวมาจากตลาด กำลังแกะถุงกับข้าวอยู่นั้น ก็เหลือบไปเห็น..
ภาพประกอบโดยผู้เขียน
นั่นๆ มีอะไรสักอย่างสีเทาๆประมาณเท่ากำปั้นเคลื่อนที่ได้ จึงรีบเดินไปเปิดไฟเห็นชัดเลย"นก" มันเดินอยู่ในบ้าน และไม่กลัวคนมันบินมาแกะบนพนักเก้าอี้ที่ โต๊ะกินข้าว
เมื่อยายเตรียมอ่หารเย็นเรียบร้อย ก็เรียกตาคำ "ตาๆมากินข้าวได้แล้ว" พอตาคำนั่งเท่านั้นแหละ เจ้านกตัวนั่นก็บินไปจับบนไหล่ของตาคำทันที
ตาคำมองหน้ายายแอเหมือนจะบอกความในใจว่า "เลี้ยงมันไว้เถอะ" ซึ่งก็เป็นคำตอบในใจ ของ ยายแอเหมือนกัน สมาชิกใหม่ของครอบครัวได้ชื่อว่า..กุ๊ก..
ตอนเช้าตาคำ ยายแอ ออกไปทำงานกลับมาในตอนเย็นเหมือนเช่นเคย "กุ๊ก"ไม่ไปไหนรอรับตายายร้อง "กรู กรู" ทำท่าดีใจที่ได้เห็น
เมื่อเวลาผ่านไป กุ๊กเริ่มมีนกอีกตัวมาติดพันและสร้างลังอยู่กัน2ตัว
ภาพรังรักของ กุ๊ก
อยู่มาวันหนึ่ง.. กุ๊กหายไป..คนข้างบ้านมาเล่าให้ตาคำฟังว่า
"ลูกของคนงานร้องอยากได้ เพราะความเชื่องของมันก็เลยจับไป"
สามีกุ๊กมาบินวนเวียนหาและรอเป็นอาทิตย์แล้วก็หายไปเช่นกัน
วันออกพรรษาตอนเย็นได้ยินเสียง "กรู กรู" มาได้อย่างไรเป็น กุ๊ก จริงๆด้วย นับจากวันที่มันหายไปเวลา เป็นปี เขาคงปล่อยนกวันออกพรรษา
และก็แปลกสามีของกุ๊กมาหาในวันรุ่งขึ้น มันแกะกิ่งไม้ คู่กัน เหมือนแสนจากดีใจ ในการกลับมา ของภรรยาสุดที่รัก
แต่อนิจจาฟ้าฝ่าลงกลางดวงใจน้อยๆของกุ๊ก มีนกสีเทาอีกตัวหนึ่ง บินมาจับระหว่างกลางกุ๊กกับสามีและจิบทำร้ายกุ๊กด้วย ชั่งน่าสงสารเจ็บทั้งกาย เจ็บทั้งใจ
เป็นแบบนี้อยู่หลายวัน กุ๊กเศร้าๆ เหงาซึม และก็จากโลกนี้ไป อย่างไม่มีวันกลับ เรื่องจบลงด้วยความเศร้า
ไม่ว่าคนหรือสัตว์ล้วนแล้วแต่อยู่ในกฎ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รีบทำสิ่งดีๆ ให้คนที่เรารักหรือยัง ที่สำคัญคือ ต้องรักตัวเองด้วย
โฆษณา