13 ก.ย. 2020 เวลา 15:24 • กีฬา
เรื่องของคนบ้านเดียวกัน เป็นเหตุ สังเกตได้.. .
Cr. Google.com
อาจจะช้าไปสักวันสองวันเป็นแน่แท้ กับประเด็นของทีมวูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ กับนักเตะคนใหม่ล่าสุด เชื้อชาติ สัญชาติโปรตุเกสอีกแล้วครับท่าน
อันเนื่องมาจากผู้มีพระคุณของผมป่วยกะทันหัน ต้องพาเข้าโรงพยาบาล จึงไม่ได้โพสต์บทความลงบนเพจเสียสองวัน ประเด็นนี้อาจมีคนเขียนไปบ้างแล้ว สำหรับผู้อ่านทุกท่านที่อ่านบทความของผมแล้วชอบใจ สิบนิ้วน้อยๆขอกราบขอบพระคุณทุกท่าน ถ้าจะกดไลค์ กดติดตาม ก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
เอ้า!! เรามาว่ากันต่อถึงประเด็นของนักเตะรายล่าสุดของวูล์ฟ นั่นคือ วิตอร์ เฟร์เรยร่า "วิตินญ่า" ดาวรุ่งพุ่งแรงสัญชาติโปรตุเกสวัย 20 กะรัต ด้วยสัญญายืมตัว พร้อมออปชั่นซื้อขาด หากผลงานเข้าตาโดนใจในมูลค่า 18 ล้านปอนด์ จากสโมสรปอร์โต้ แชมป์ซูเปอร์ลีกา โปรตุเกส
นี่เป็นนักเตะโปรตุเกสรายที่ 9 ของสโมสรวูล์ฟเข้าไปแล้วครับ จะเรียกว่า "เอฟซี ปอร์ตุกีส" ก็ไม่ผิดนัก ถ้าได้อีกสักสองคน ตั้งทีมชาติโปรตุเกสแม่มมันเลยที่แผ่นดินผู้ดี
สำหรับเหตุผลที่วูล์ฟขยันดึงตัวนักเตะโปรตุกีสเข้ามาสู่ทีมนั้น เดาได้ไม่ยากครับ หาใช่ว่าท่านประธานสโมสร เจฟฟ์ ฉี ชอบรับประทานฝอยทองเป็นชีวิตจิตใจ หรือว่าแอบซุกกิ๊กไว้ที่แผ่นดินโปรตุเกสนะครับ ผู้จัดการทีมต่างหากล่ะ ที่เป็นเหตุผลสำคัญซึ่งนำมาสู่ "เอฟซี ปอร์ตุกีส" ในครั้งนี้
"นูโน่ เอสเปเรโต้ ซานโต้" คือผู้จัดการทีมคนปัจจุบันของวูล์ฟ และแกเป็นคนโปรตุเกส นอกจากมีฝีมือที่พิสูจน์ให้ชาวโลกเห็นแล้วกับทีมหมาป่า บารมีของแกก็ใช่ย่อย ดูได้จากประวัติการทำงานที่ผ่านมา
2012 - 2014/สโมสร ริโอ อเว/ซูเปอร์ลีกา โปรตุเกส
2014 - 2015/สโมสร บาเลนเซีย/ลา ลีกา สเปน
2016 - 2017/สโมสร ปอร์โต้/ซูเปอร์ลีก้า โปรตุเกส
2017 - ปัจจุบัน
จะเห็นนะครับว่า บนวัย 46 ปี ประสบการณ์การคุมทีมของแกนั้นจัดว่าค่อนข้างน้อย แต่สโมสรที่เคยให้โอกาสแกนั้นเป็นถึงระดับทีมดังอย่างบาเลนเซียในสเปน และมหาอำนาจภายในประเทศอย่างปอร์โต้ และด้วยเป็นเพราะเพิ่งจะเริ่มคุมทีมเมื่อปี 2012 นี่เอง แต่ละสโมสรที่พี่แกไปคุมมานั้นก็ทำทีมได้แค่ปีสองปี เหมือนจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จเป็นรูปธรรมเท่าไหร่ ดูจะมีสโมสรที่นานที่สุดก็วูล์ฟนี่แหละครับ อาจจะเป็นเพราะสไตล์การทำทีมของแกเหมาะและคลิกกับพรีเมียร์ลีกมากกว่าลีกโปรตุเกส และลีกสเปนที่เคยผ่านมา
ด้วยความที่ประสบการณ์น้อย แต่ฝีไม้ลายมือนั้นจัดว่าไม่ธรรมดาทีเดียว พาทีมอย่างวูล์ฟไปเฉิดฉายในถ้วยยูโรป้าลีกเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา แถมเข้ารอบลึกๆ ถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ ไปเจอเข้ากับกระดูกชิ้นมหึมา เซบีย่า เจ้าของถ้วยนี้ในปีล่าสุด เรียกได้ว่าก็สมศักดิ์ศรีทีมที่เพิ่งได้ไปเล่นถ้วยยุโรปในรอบ 39 ปี ทั้งๆที่เป็นทีมเล็กๆ เงินทุนมิได้หนามาก รวมถึงไร้เงาซูเปอร์สตาร์ระดับเวิร์ลดคลาส กลายเป็นของแสลงสำหรับทีมยักษ์ใหญ่ในพรีเมียร์ลีกอย่างหน้าตาเฉย
นับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงเลยทีเดียวสำหรับตัวเขา โดยสไตล์การทำทีมนั้น นูโน่วางหมากประจำ 3-4-3 เน้นการเล่นตั้งรับแล้วโต้กลับเร็ว เกมรับที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง ทุกตำแหน่งช่วยกันเล่น ช่วยกันกดดันฝ่ายตรงข้าม เกมรุกที่ถือว่าจัดจ้านพอตัว จากสามประสาน ดิเอโก้ โชต้า - ราอูล ฆิมิเนส - อดาม่า ตราโอเร่ ซึ่งสองรายหลังนั้น มีชื่อพัวพันกับสโมสรใหญ่ในตลาดซื้อขายนักเตะที่กำลังเปิดอยู่นี้
แต่ปัจจัยสำคัญที่ทีมมาถึงจุดนี้อีกประการหนึ่ง คือการที่ในทีมเมื่อฤดูกาลที่แล้วนั้น มีนักเตะโปรตุเกสอยู่ในทีมชุดใหญ่ 7 คน และเป็นแกนหลักของทีมมากถึง 4 คน มาถึงฤดูกาลนี้ (2020 - 2021) เมื่อรวมเข้ากับการย้ายทีมเข้าล่าสุดที่เป็นข่าวฮือฮา ในเรื่องราคาค่าตัว กับความคาดหวังถึงฝีเท้าในอนาคตของเด็กหนุ่ม บนวัยแค่ 18 ปีอย่าง ฟาบิโอ ซิลวา และสดๆ ร้อนๆ คือ "วิตินญ่า" ซึ่งก็เป็นปอร์ตุกีสด้วยกันทั้งคู่ เมื่อรวมกับปอร์ตุกีสรายอื่นที่ย้ายเข้า-ย้ายออกทั้งในแบบยืมตัว และแบบซื้อขายขาด เบ็ดเสร็จแล้ว รวมทั้งสิ้นวันนี้ ตอนนี้ มีถึง 9 ราย อันประกอบไปด้วย รุย ปาตริซิโอ, รูเบน วิเนเกร, ชูเอา มูตินโญ่, เปโดร เนโต้, รูเบน เนเวส, ดาเนียล โปเดนเซ่, ดิเอโก้ โชต้า, ฟาบิโอ ซิลวา และ วิตินญ่า
ผมเข้าใจว่า ส่วนหนึ่งนอกจากฝีเท้าจะจัดอยู่ในขั้นสอบผ่านเกือบทั้งหมด เพราะในทีมหมาป่านั้นมีขาประจำทีมชาติโปรตุเกสถึง 4 คน คือ รุย ปาตริซิโอ, ชูเอา มูตินโญ่, รูเบน เนเวส และดิเอโก้ โชต้า เรื่องประสบการณ์ในเกมระดับสูงสุด ไม่ต้องพูดถึง
เรื่องการสื่อสารกันภายในทีมนี่สิครับที่สำคัญ
ด้วยความที่นูโน่ เอสเปเรโต้ ซานโต้เป็นคนโปรตุเกส การสนทนา สื่อสารภายในทีมย่อมทำได้อย่างลื่นไหล และเข้าใจในแท็คติกต่างๆ อย่างถ่องแท้ เข้าเนื้อถึงกระดูก แม้ว่าตัวเขาเองก็จำเป็นจะต้องพูดภาษาอังกฤษให้คล่องแคล่ว ฉะฉาน เหมือนกับลูกทีมปอร์ตุกีสทุกคนที่เข้ามาสู่ทีม เพื่อเอาไว้ใช้เป็นภาษากลางในการสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีมทุกคน
แต่เผอิญว่า แกนหลักภายในทีมซะ 4 คน รวมที่ไอ้สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันลงสนามอีก มันก็เป็นโปรตุเกสซะส่วนมากอยู่ดี เมื่อนูโน่สอนแท็คติกในแบบเว้ากันโปรตุกีสบ้านเฮา แล้วให้ปอร์ตุกีสเพลเยอร์นำไปบอกเล่าส่งต่อสู่ทีมเมทคนอื่นๆ ตามแบบฉบับปะสาปะกิดอีกทีในสนาม หลังจากที่เทรนกันมาแล้วรอบนึงที่สนามซ้อมก่อนวันแข่ง
วิธีนี้ผมว่ามันทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อการทำทีมเป็นอย่างยิ่ง คงไม่มีใครหรอก ที่จะเข้าอกเข้าใจในภาษา วัฒนธรรมของตนเองได้ นอกจาก "คนบ้านเดียวกัน"
หลายๆเกมในสนาม รูปเกมที่วูล์ฟเป็นฝ่ายได้เปรียบและจังหวะเข้าทำ ส่วนหนึ่งมันก็มาจาก "ปอร์ตุกีส คอนเนคชั่น" นั่นเอง
หลายคนคงสงสัยว่า เฮ้ย!! แล้วแบบนี้ทีมเมทคนอื่นๆ ก็จะต้องหัดเข้าใจในภาษาโปรตุกีสรึป่าววะ? เช่นว่า เวลาเจอหน้ากันก็ต้องทักว่า "Olá!!!" หรือ "Tudo Bem?" (ว่าไง สบายดีรึปล่าว?) แล้วไอ้พวกปอร์ตุกีสนี่มันตั้งใจจะมาล่าอาณานิคมกันที่อังกฤษนี่อีกรึไง? ไล่ตั้งแต่ผู้จัดการทีมมัน จนถึงนักเตะดาวรุ่งเนี่ยนะ
ผมว่ามันคงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ก็อย่างที่ผมได้บอกไปแล้วข้างต้นว่า มันอาจจะเป็นคีย์เวิร์ดอย่างหนึ่งในการทำทีมให้ประสบความสำเร็จของนูโน่ เอสเปเรโต้ ซานโต้ ก็ได้ ดูสิครับฤดูกาลที่แล้วยังสามารถจบอันดับที่ 7 เหนือทีมอย่าง อาร์เซนอล หรือเอเวอร์ตันได้ ตอนท้ายฤดูกาลก็เกือบมีลุ้นไปเล่นถ้วยยุโรปอีกต่างหาก ไม่แน่นะครับ ดูจากการเสริมทัพในฤดูกาลใหม่นี้ บางทีพวกเขาอาจมีลุ้นได้ไปเล่นถ้วยยุโรปอีกครั้งก็เป็นได้
ก็ต้องมาเอาใจช่วยกันล่ะครับ สำหรับทีมเล็กๆทีมนี้ อย่างวูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ ให้ก้าวไกลไปข้างหน้าเหมือนกับเลสเตอร์ ซิตี้ (ขณะที่พิมพ์อยู่ตอนนี้ เลสเตอร์บุกไปนำน้องใหม่ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 0 ประตูต่อ 3) และบางทีพวกเขาทั้งสองทีม (เลสเตอร์กับวูล์ฟ) อาจจะเปลี่ยนหน้าของทีมบิ๊กซิกส์ไปอีกก็ได้ในอนาคตอันใกล้ ใครจะไปรู้ และก็อีกบางที ถ้าทีมรักมันเสือกเชียร์ไม่ขึ้น ผมอาจเปลี่ยนใจมาเชียร์วูล์ฟแม่มมันให้รู้แล้วรู้รอด
ต้องยอมรับครับ ความสำเร็จของวูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ ส่วนนึงมันเกิดมาจาก "เรื่องของคนบ้านเดียวกันเป็นเหตุ สังเกตได้".. .
โฆษณา